ช่วงนี้เป็นช่วงแถลงผลประกอบการประจำปี ข่าวปลดคนงานรับข่าวขาดทุน-กำไรลดเลยออกมาค่อนข้างเยอะ
AOL ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและเว็บพอร์ทัลรายใหญ่ของอเมริกา ซึ่งกิจการย่ำแย่มานาน ประกาศปลดพนักงาน 10% หรือ 700 คน ด้วยเหตุผลเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจ, รายได้จากค่าโฆษณาลดลง และการปรับโครงสร้างองค์กร
AOL เคยยิ่งใหญ่ขนาดซื้อกิจการ Time Warner เจ้าของสื่อขนาดยักษ์ และถูกคาดหมายว่าจะกลายมาเป็นคู่แข่งสำคัญของไมโครซอฟท์ แต่ภายหลังกิจการย่ำแย่เสียเอง จนต้องเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก AOL Time Warner มาเป็น Time Warner เฉยๆ และมีข่าวว่าจะขาย AOL ออกไป ซึ่งผู้ซื้อที่มีข่าวก็คือยาฮูนั่นเอง
การลดคนในอุตสาหกรรมไอทียังมีต่อไป ล่าสุด SAP AG บริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์สำหรับองค์กรธุรกิจรายใหญ่ ก็ร่วมวงประกาศลดพนักงานลงมากกว่า 3,000 อัตรา หรือคิดเป็น 6% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด ประมาณการว่าจะช่วยลดต้นทุนได้ถึง 350 ล้านยูโร ซึ่งนี่ถือเป็นการลดพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 36 ปีของ SAP นอกจากนี้บริษัทยังประกาศงดขึ้นเงินเดือนพนักงานตลอดปีนี้ด้วย
SAP แถลงว่าในปีนี้บริษัทไม่สามารถคาดการณ์รายรับทั้งจากธุรกิจซอฟต์แวร์ และส่วนการให้บริการที่เกี่ยวข้องได้ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนสูงมากในปีนี้ แต่มองภาพรวมว่าการขยายตัวจะเป็นไปอย่างจำกัด โครงการใหม่ๆ ก็น่าจะเกิดได้ยากขึ้นในปีนี้
หลังจากที่ยาฮูได้ซีอีโอคนใหม่ แถมไม่ทันไรก็มีกระแสเล็กๆ ว่ายาฮูเริ่มกลับไปเจรจากับไมโครซอฟท์อีกรอบ ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงสองสัปดาห์หลังเข้ารับตำแหน่งของ Carol Bartz ทำให้หลายคนเริ่มเชื่อว่าสุดท้ายยาฮูจะเลือกการขายเป็นทางออก
ยาฮูเพิ่งรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 โดยมาพร้อมตัวเลขขาดทุน 303ล้านดอลลาร์ สาเหตุหลักจากการปลดพนักงานและการลงทุนเพิ่มเติมช่วงที่ผ่านมา
แล้ววิกฤติเศรษฐกิจก็ลุกลามไปถึงยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ เมื่อบริษัทประกาศวันนี้ว่ามีแผนปรับลดพนักงานลง 5,000 คนภายในเวลา 18 เดือนนับจากนี้ โดยพนักงาน 1,400 คนจะถูกเลิกจ้างทันที และค่อยๆทยอยเลิกจ้างไปเรื่อยๆจนครบ 5,000 คนภายในเดือนมิถุนายนปีหน้า
โดยนาย Chris Liddell ซึ่งเป็น CFO ของไมโครซอฟท์ออกมายอมรับว่าเศรษฐกิจในไตรมาสที่ผ่านมาได้ชะลอตัวลงมากกว่าที่ไมโครซอฟท์คาดการณ์เอาไว้มาก และทางบริษัทจำเป็นต้องรีบปรับลดโครงสร้างค่าใช้จ่ายต่างของบริษัททันที่เพื่อลดผลกระทบให้น้อยที่สุด
การปรับลดพนักงานของไมโครซอฟท์ครั้งนี้ทางบริษัทคาดว่าจะสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านการจัดการได้ราวๆ 1.5 พันล้านดอลลาร์
Seagate นั้นเริ่มประสพปัญหาด้านเศรษฐกิจมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว และมีแผนที่จะเลิกจ้างพนักงานทั่วโลกกว่าสามพันคน (ข่าวเก่าโดยคุณ mk: Seagate ปลดพนักงาน 2,950 คน) บัดนี้ผลกระทบดังกล่าวก็มาถึงประเทศไทยเรียบร้อยแล้วครับ
ในวันศุกร์ที่ผ่านมา Sony Ericsson ได้ออกมาประกาศว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2008 บริษัทขาดทุนไปกว่า 187 ล้านยูโร (8,700 ล้านบาท) โดยการขาดทุนนี้เกิดขึ้นจากการขายที่ลดลงเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้โดยรวมแล้วในปี 2008 บริษัทขาดทุนไปกว่า 73 ล้านยูโร (3,400 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ได้กำไรกว่า 1.1 พันล้านยูโร (51,000 ล้านบาท)
Hideki Komiyama ประธานบริษัทได้ให้สัมภาษณ์ว่า ปี 2008 นั้นเป็นปีที่โกลาหลมาก และในปี 2009 ตลาดยังน่าจะซบเซาอยู่โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรก
เพื่อแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น บริษัทจึงกำลังจะเพิ่มมาตรการจำกัดค่าใช้จ่ายด้านการประกอบการอีกกว่า 180 ล้านยูโร อย่างไรก็ดียังไม่เป็นที่เปิดเผยว่ามาตรการนี้จะประกอบด้วยอะไรบ้าง
ปัญหาเศรษฐกิจยังซัดเข้าใส่อุตสาหกรรมไอทีอย่างต่อเนื่อง Seagate ซึ่งเป็นผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์รายใหญ่ที่สุดของโลกได้ประกาศปลดพนักงาน 6% ของพนักงานทั้งหมดทั่วโลก หรือคิดเป็น 2,950 ตำแหน่ง โดยในจำนวนนี้อยู่ในอเมริกา 800 ตำแหน่ง
นอกจากปลดพนักงานแล้ว Seagate ยังประกาศลดเงินเดือนของพนักงานระดับบริหารด้วย โดยซีอีโอคนใหม่ซิงๆ คือ Stephen Luczo ซึ่งเป็นอดีตซีอีโอกลับมารับตำแหน่งใหม่ (เทร็นด์นี้กำลังฮิต) จะได้รับเงินเดือนน้อยกว่าเดิม 25%
Seagate คาดว่ามาตรการปลดพนักงานรอบนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ 130 ล้านดอลลาร์ ส่วนการลดเงินเดือนผู้บริหารจะลดได้ 80 ล้าน
ข่าวเก่า กูเกิลเตรียมเลิกจ้างพนักงานชั่วคราว 10,000 ตำแหน่ง ตอนนี้วิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐร้ายแรงเกินคาด ลามมาถึงพนักงานประจำที่ทำงานแบบเต็มเวลาของกูเกิล ซึ่งถือได้ว่าเป็นตำแหน่งงานที่มั่นคงมากเป็นอันดับต้นๆ ของซิลิคอน วัลเลย์
แถมพนักงานชุดแรกที่ปลด 100 คนนี้จะเป็น recruiter หรือฝ่ายที่สรรหาพนักงานใหม่เข้ามาทำงาน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่ากูเกิลไม่ต้องการพนักงานใหม่มากเท่าไรนักในช่วงนี้
ที่มา - Valley Wag
จากสภาวะการอันย่ำแย่ของยาฮูในช่วงหลังๆ ทำให้ยาฮูต้องออกมาเปลี่ยนตัวผู้บริหารเล็กน้อย โดยทางกรรมการบริหารได้เลือกให้ Carol Bartz อดีตผู้บริหารของ AutoDesk มาแทนที่ Jerry Yang ที่ลาออกไปเมื่อสองเดือนก่อน (ข่าวเก่าโดยคุณ mk: เจอรี่ หยาง ลาออกจาก CEO ยาฮูแล้ว) แล้วครับ
Bartz เคยเป็นผู้บริการของ Autodesk ในช่วงปี 1992-2006 และก่อนหน้านี้เธอเคยทำงานที่ Sun, Cisco และ Intel มาก่อน เธอมีความชำนาญในด้านซอฟต์แวร์สำหรับธุรกิจมากกว่าอินเทอร์เน็ต อย่างไรก็ดี เป็นที่คาดการณ์ว่าเธอจะต้องนำยาฮูออกจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ให้ได้ ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้อีกครั้งที่จะขายยาฮูให้ไมโครซอฟท์
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าในปีนี้ โซนี่มีรายการขาดทุนที่เกิดจากการดำเนินงาน (Operating Loss) ที่จะประกาศในเดือนมีนาคมที่จะมาถึงมากกว่า 1 แสนล้านเยน (ประมาณ 37,000 ล้านบาท) แทนที่คาดการณ์เดิมไว้ว่าจะกำไร 200 ล้านเยน ซึ่งเป็นครั้งแรกของโซนี่ในรอบ 14 ปี ที่ขาดทุนขนาดนี้
โดยสาเหตุของการขาดทุนในครั้งนี้เชื่อว่ามาจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ทำให้สินค้าขายได้น้อยลง นอกจากนี้ค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ ก็มีส่วนทำให้เรื่องแย่ลงด้วย นักวิเคราะห์มองทางออกของโซนี่ว่าอาจจะต้องทำการลดจำนวนพนักงานลง, ปรับปรุงโครงสร้างองค์กรเสียใหม่ หรือแม้กระทั่งขายบางส่วนของบริษัทออกไป
เมื่อวานนี้ เว็บ Cult of Mac ได้ออกมารายงานว่าแอปเปิลได้ตัดสินใจที่จะเข้าร่วมจัดแสดงในงาน Consumer Electronics Show (CES) 2010 ในปีหน้า หลังจากนั้นไม่นาน AppleInsider ก็ได้ออกมาฟันธงอีกครั้งว่าแอปเปิลเตรียมตัวที่จะมาออกงาน CES 2010 จริง ๆ
ก่อนหน้านี้ ข้ออ้างของแอปเปิลในการถอนตัวจากงาน MacWorld คือแอปเปิลเริ่มไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องออกงานลักษณะนี้อีกต่อไป แม้กระทั่งตัว Schiller เองก็ยังได้ออกมาบอกว่าอีกหนึ่งสาเหตุคือแอปเปิลไม่มีแผนการที่จะออกสินค้าต่าง ๆ ในช่วงเดือนมกราคมแต่อย่างใด
บริษัทธุรกิจที่ปรึกษา Pierre Audoin Consultants รายงานว่าบริษัทต่าง ๆ เริ่มมองหาที่ตั้งในการเอ้าท์ซอร์สในแหล่งอื่น ๆ แล้ว นอกเหนือจากมุมไบและบังกาลอร์ในประเทศอินเดีย
หากดูจากบริษัทที่เอ้าท์ซอร์สมากที่สุด 50 อันดับของโลก จะเห็นได้ว่าอินเดียยังเป็นที่นิยมสำหรับธุรกิจการเอ้าท์ซอร์ส โดยในขณะนี้ หัวเมืองที่เล็กลงมาหน่อยอย่างเชนไน นอยดา เริ่มเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น
สาเหตุหลักของการย้ายฐานเอ้าท์ซอร์ส เกิดจากการแข่งขันแย่งตัวนักศึกษาที่จบใหม่จากสถานศึกษาต่าง ๆ ทำให้ต้องเริ่มมองหาแหล่งทรัพยากรมนุษย์แห่งใหม่ในเมืองอื่น ๆ
TechMeme เป็นเว็บรวมข่าวไอทีจากเว็บไซต์อื่นๆ แล้วคัดเลือกด้วยอัลกอริทึมของตัวเอง (เท่าที่ผมทราบจะใช้น้ำหนักของเว็บไซต์ต้นฉบับ + ความเร็วในการเสนอข่าว + เว็บอื่นๆ ที่ลิงก์มา แต่ก็มีปัจจัยอื่นๆ ด้วย)
10 อันดับนี้มาจากสถิติของ TechMeme โดยตรง ต่างจากอันดับของเว็บอื่นๆ ที่ใช้ความคิดเห็นของผู้เขียนข่าวหรือบรรณาธิการเป็นหลัก
ข่าวอันไหนเคยลง Blognone ผมจะใส่ลิงก์ไว้ให้ด้วยเผื่อจะมีใครสนใจย้อนไปอ่าน
หลังจากบริษัทอื่นเลิกจ้างพนักงานเพราะวิกฤตเศรษฐกิจกันถ้วนหน้าแล้ว ก็มีข่าวลือหนาหูว่าจะถึงคิวของไมโครซอฟท์ในวันที่ 15 มกราคม 2009 นี้
ต้นตอของข่าวลือมาจากเว็บไซต์ Fudzilla ซึ่งให้ข้อมูลว่าพนักงานของไมโครซอฟท์ 15,000 คน (จากทั้งหมด 90,000 คน หรือคิดเป็น 17%) จะโดนบอกเลิกจ้าง โดยแผนกที่น่าจะโดนเยอะสุดคือ MSN และภูมิภาค EMEA (Europe, Middle East and Africa)
การวิเคราะห์ของสำนักข่าวอื่นๆ มองว่าน่าจะมีการเลิกจ้างจริง แต่ว่าตัวเลข 17% อาจจะดูเกินจริงไปสักหน่อย
บล็อกเกอร์คนหนึ่งแห่ง Cnet ได้รายงานถึง 5 สิ่งที่เขาคาดว่าจะเกิดภายในปีนี้อย่างแน่นอนคือ:
1. ราคา PS3 จะลดลงไปอีก 100 ดอลลาร์สหรัฐ
รายละเอียดดูจากรายงานนี้ได้ครับ
2. แอปเปิลหมดสัญญากับ AT&T
ตั้งแต่มีการซื้อขายสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ตขึ้นมา ไม่มีซักครั้งที่ปีต่อปี ยอดขายจะลดลง แต่ปีนี้ ยอดขายสินค้าช่วงคริสต์มาสกลับลดลงถึง 3% หากเทียบกับเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว
โดยยอดขายสินค้าช่วงคริสต์มาสหรือช่วงวันหยุดยาวของสหรัฐฯ จะนับตั้งแต่ช่วงวันที่ 1 พฤศจิกายนจนถึง 23 ธันวาคมของแต่ละปี โดยปีนี้ยอดขายรวมนั้นสิ้นมีเพียงแค่ 2.55 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ 2.63 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยสาเหตุส่วนใหญ่เอง ก็หนีไม่พ้นพิษเศรษฐกิจนั่นเอง
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จำนวนการซื้อขายสินค้าออนไลน์อาจจะลดลง แต่ผู้ขายสินค้าบางรายพบกับจำนวนยอดขายที่สูงขึ้นกว่าปีก่อน ๆ เช่น Amazon หรือ Cyber Monday ที่บอกว่ายอดขายสินค้านั้นสูงขึ้นกว่าปีก่อน ๆ
ยอดจำหน่ายโน้ตบุ๊คในประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ เช่นสหรัฐอเมริกา ได้นำหน้าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (Desktop) ไปสักพักแล้ว และในตอนนี้เมื่อคิดรวมทั้งโลก ยอดจำหน่ายของโน้ตบุ๊คนั้นนำหน้าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะแล้วครับ
iSuppli ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านการตลาดของอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์รายงานผ่านสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า ยอดจำหน่ายของโน้ตบุ๊คทั่วโลกในปัจจุบันนั้นเพิ่มขึ้นเกือบ 40% จนในปัจจุบันอยู่ที่ 38.6 ล้านเครื่อง เมื่อเทียบกับเครื่องตั้งโต๊ะที่ลดลง 1.3% เหลือ 38.5 ล้านเครื่อง และเมื่อคิดโดยรวมแล้ว ตลาดคอมพิวเตอร์ในไตรมาสนี้นั้นขายไปได้ 79 ล้านเครื่อง โดยคาดการณ์ว่าตลาดคอมพิวเตอร์จะโตขึ้นอีก 4.3% ในปีหน้า
ธรรมเนียมการเลี้ยงข้าวเที่ยงพนักงานฟรีเป็นอีกธรรมเนียมหนึ่งของอุตสาหกรรมไอทีในสหรัฐ บริษัทที่มีชื่อเสียงในเรื่องนี้คือกูเกิล (กูเกิลอธิบายว่าเป็นการลดเวลาเดินทางของพนักงาน ในการออกไปหาข้าวกินข้างนอก) แต่ก็มีบริษัทที่ดำเนินนโยบายแบบนี้อีกหลายแห่งที่ไม่ดังเท่า
แต่ว่าวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐ ทำให้บริษัทจำนวนมากเริ่มลดจำนวนพนักงานลงมา และประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ เท่าที่จะทำได้ ค่าใช้จ่ายที่ว่านี้รวมถึงค่าข้าวเที่ยงด้วย
บริษัท Fox Interactive Media ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ MySpace และมีเว็บดังๆ ในเครืออีกหลายแห่งเช่น GameSpy, IGN, Photobucket และ Rotten Tomatoes ถึงแม้จะไม่ลดจำนวนพนักงาน แต่ก็ประกาศมาตรการ 3 ข้อดังนี้
เราเพิ่งได้ข่าวแอปเปิลประกาศถอนตัวจาก MacWorld Expo (ลาก่อน MacWorld - ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายแล้ว, Macworld Expo เชื่อว่าไม่มีแอปเปิล ยิ่งดีกว่าเดิม) ตอนนี้มีอีกบริษัทที่เลิกจัดงานประชุมประจำปีแล้ว นั่นคือ Novell
ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ แต่ละบริษัทก็เริ่มลดรายจ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นปรับลดพนักงานออก โดยเฉพาะพนักงานที่ไม่ได้มีผลกับรายได้ของบริษัทโดยตรงอย่างพนักงานไอที หลายเว็บก็ได้ทำหน้าพิเศษในการนับจำนวนพนักงานที่ถูกเลิกจ้าง โดยตัวเลขจาก TechCrunch ตอนนี้ตัวเลขผ่าน 100,000 ตำแหน่งไปแล้ว จาก 300 บริษัทในธุรกิจเทคโนโลยีและสารสนเทศ โดยมีตัวเลขเศร้าๆ ที่น่าสนใจดังนี้
จากข่าวเก่าเมื่อเดือนตุลาคม Yahoo! เตรียมปลดพนักงาน ประมาณ 1,000-3,000 คน วันนี้มันเริ่มต้นแล้วครับ ตัวเลขคือ 1,520 คนซึ่งส่วนมากเป็นพนักงานในสหรัฐอเมริกา โดย Wired รายงานว่าฝ่ายที่โดนปลดคือพนักงานทั่วไปที่ไม่ใช่สายไอที เช่น ธุรการ บุคคล ฯลฯ
การปลดคนครั้งนี้จะช่วยลดรายจ่ายให้ Yahoo! ลง 400 ล้านดอลลาร์ (รายจ่ายทั้งหมดของปีงบประมาณที่แล้วคือ 3,900 ล้านดอลลาร์) โฆษกของบริษัทแถลงว่า Yahoo! ยังเตรียมจะปิดธุรกิจฝ่ายที่ไม่สำคัญต่อทิศทางของบริษัท
บริษัท Fujitsu ยอมรับว่ากำลังอยู่ในช่วงเจรจาเพื่อขายธุรกิจส่วนการผลิตฮาร์ดดิสก์ โดยอาจจะขายให้กับ Western Digital เนื่องจากบริษัทประสบปัญหาจากการไม่ทำกำไรในธุรกิจส่วนนี้ ซึ่งรวมแล้วคิดเป็นมูลค่ากว่าร้อยล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตามทาง Western Digital ยังไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นใดๆขณะนี้
นอกจากนี้ Fujitsu เองก็ยังเตรียมขายธุรกิจฮาร์ดแวร์อีกตัวคือ Fujitsu Siemens Computers ในส่วนที่ทำการจัดจำหน่ายคอมพิวเตอร์ค้าปลีก โดยมีตลาดหลักอยู่ที่ยุโรป โดยคาดหมายว่า Lenovo จะเป็นผู้เข้ามาซื้อกิจการนี้ไป แต่เช่นเดียวกัน Lenovo ยังไม่ออกมาแสดงความเห็นใดๆขณะนี้
ตอนที่แล้วมาร์คถามไปแล้วนะครับเรื่องของความคาดหวังจากนายจ้างว่าอยากให้ลูกจ้างมีอะไรบ้าง
ในฐานะลูกจ้างคนหนึ่ง ผมเองมีความคาดหวังต่อนายจ้างอยู่มากเช่นกัน และเชื่อว่าสมาชิก Blognone ซึ่งส่วนมากก็เป็นลูกจ้างเหมือนๆ กันตอนเรียนจบมา หรือตอนย้ายงานคงคาดหวังกันว่านายจ้างของตนจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ และนี่คือที่มาของคำถามว่าชาว Blognone คาดหวังอะไรกับนายจ้างของเรากันบ้างครับ?
แน่นอนว่าเราทุกคนคงฝันถึงนายจ้างที่ปล่อยให้เราทำอะไรตามใจชอบ ให้เงินเดือนเยอะๆ ทำงานอยู่กับบ้านได้ เงินเดือนขึ้นปีละเท่าตัวอะไรอย่างนั้น แต่ผมคิดว่าเราคงเข้าใจดีว่าความคาดหวังหลายๆ อย่างเป็นไปไม่ได้ในเชิงธุรกิจ
คำพูดที่ผมมักได้ยินอยู่เสมอเวลาคุยกับผู้ประกอบกิจการด้านไอที คือ "เด็กจบใหม่ใช้งานไม่ค่อยได้ ต้องเทรนกันนาน" ผมคิดว่าต้นเหตุของปัญหานี้คือนักศึกษาที่อยู่ในสายไอทีเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์ ไม่ทราบความต้องการของตลาดด้วยว่าอยากให้ตัวเองพัฒนาไปในทางไหน
อย่าให้ปัญหานี้มันติดลูปต่อไปเรื่อยๆ อีกเลยครับ ขอเชิญทั้งรุ่นพี่ที่ทำงานแล้ว เจ้าของบริษัทหรือผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจจ้าง และตัวนิสิต นักศึกษา (รวมถึงนักเรียนเอง) เข้ามาแลกเปลี่ยนความเห็นกันว่า อยากให้แรงงานด้านไอทีที่กำลังศึกษาอยู่ และกำลังจะเข้าสู่ตลาดแรงงานในเร็วๆ นี้ มีทักษะอะไรกันบ้าง
เป็นเรื่องน่าคิดเหมือนกันนะครับ เมื่อผู้บริโภคในประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจของโลกประเทศหนึ่ง ดังเช่น สหรัฐอเมริกา (ถึงแม้ในปัจจุบันต้องเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจ) เริ่มแสดงบทบาทที่จะไม่ตามติดเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่นำออกมาล่อใจ และต้องควักเงินซื้อทุกๆอย่างที่มีการพัฒนาและผลิตออกมาจำหน่ายจากกลุ่มทุนเพียงไม่กี่กลุ่ม