วันนี้มีลูกค้าธนาคารกสิกรไทยหลายรายได้โพสต์ร้องเรียนเรื่องเงินในบัญชีถูกตัดออกไปแบบผิดปกติผ่านทางหน้าเพจ KBank Live ของธนาคาร ทั้งยังมีกระทู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นจำนวนมากในเว็บไซต์พันทิป
ผู้ที่เจอปัญหานี้บางรายโดนหักเงินออกไป 200 บาท ในขณะที่บางรายโดนตัดเงินหลายครั้งรวมแล้ว 850 บาท ทั้งนี้การตัดเงินเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงราว 2.00 น. - 4.00 น. สำหรับผู้ที่ใช้บริการ Mobile Banking นั้นจะพบว่าเป็นรายการโอนเงินออก ในขณะที่ลูกค้าบางรายได้รับข้อความจากธนาคารระบุว่าเป็นการหักค่าธรรมเนียมบัตรเดบิต
ในวันนี้ นางนพวรรณ เจิมหรรษา รองกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย ร่วมพูดคุยกับสื่อมวลชนในประเด็นภาพรวมตลาดออนไลน์ และการจับจ่ายใช้สอยผ่านช่องทางชำระเงินของธนาคารกสิกร 4 ช่องทาง โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2558 มีมูลค่ารวม 200,000 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าในปี 2559 นี้ จะสูงกว่าปีที่แล้ว 20% หรือรวมมูลค่า 230,000-240,000 ล้านบาท
เส้นตายการเปลี่ยนบัตรเอทีเอ็มเป็นบัตรชิปทั้งระบบใกล้เข้ามาเรื่อยๆ วันนี้อีกสองธนาคารก็ประกาศการใช้บัตรชิปมาแล้ว โดยธนาคารกสิกรไทยจะเริ่มออกบัตรได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่วนทางธนาคารกรุงศรีอยุธยาประกาศว่าสามารถออกบัตรได้ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคมนี้
ทางธนาคารกสิกรไทยยังรายงานถึงตัวเลขจำนวนบัตรเอทีเอ็มและเดบิตในตลาดตอนนี้ว่ามีรวมประมาณ 60 ล้านใบ เป็นของธนาคารกสิกรไทยประมาณ 10 ล้านใบ และคาดว่าภายในปีนี้จะมีการออกบัตรแบบชิปจำนวนทั้งหมด 2 ล้านใบ
นอกจากการเปลี่ยนบัตรเป็นแบบชิปแล้ว ทางกสิกรยังปรับรหัสผ่าน (PIN) เพิ่มจาก 4 หลักเป็น 6 หลักไปพร้อมกัน
ข่าวใหญ่วันนี้คือธนาคารกสิกรไทย ประกาศตั้งบริษัทลูก กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป หรือ KBTG (Kasikorn Business-Technology Group) โดยมีสำนักงานอยู่ที่เมืองทองธานี เพื่อรับมือความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีโดยเฉพาะ FinTech ที่กำลังถูกจับตามองอย่างมาก (จะเรียกว่า KBTG คือบริษัท FinTech ของกสิกรก็พอได้)
หลายคนอาจสงสัยว่าอะไรคือเหตุผลของการตั้ง KBTG กันแน่ ผมมีโอกาสสัมภาษณ์ คุณสมคิด จิรานันตรัตน์ รองประธาน KBTG (เราเคยสัมภาษณ์คุณสมคิดไปแล้วครั้งหนึ่ง ตอนที่ธนาคารกสิกรไทยปรับปรุงระบบไอทีครั้งใหญ่) ถึงที่มาที่ไปในเรื่องนี้
หลังจากที่มีข่าวมานาน วันนี้ ธนาคารกสิกรไทย ประกาศตั้งบริษัทลูก KASIKORN Business-Technology Group (KBTG) เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีเพื่อรับกระแส FinTech โดยเฉพาะ ตัวสำนักงานจะตั้งอยู่ที่เมืองทองธานี (ใกล้กับ Impact เป็นตึกใหม่ที่อยู่ตรงข้ามกับ KBank เมืองทองธานี)
KBTG จะมีงบพัฒนาไอทีปีละ 5,000 ล้านบาท งบไอทีอย่างเดียวคิดเป็น 10% ของกำไรสุทธิหรือประมาณ 4,000 ล้านบาท และงบพัฒนานวัตกรรมใหม่อีก 1-2% ของกำไรสุทธิหรือประมาณ 1,000 ล้านบาท
เพื่อให้ทันกระแสการจ่ายเงินผ่านอุปกรณ์พกพา (Mobile Payment) ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน ธนาคารกสิกรไทยจึงเปิดตัวบริการใหม่ Pay PLUS รูปแบบการจ่ายเงินผ่านอุปกรณ์พกพาที่เสริมขึ้นมาจากแอพ K-Mobile Banking PLUS ที่ให้บริการมาก่อน
เมื่อเดือนกรกฎาคม 2558 ที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่ในแวดวงไอทีไทยคือ ธนาคารกสิกรไทยแจ้งปิดระบบทั้งหมดนานถึง 2 วันเพื่อปรับปรุงระบบใหม่ทั้งหมด ซึ่งสุดท้ายการปรับปรุงระบบดำเนินไปอย่างราบรื่น และธนาคารสามารถกลับมาให้บริการได้ก่อนกำหนดด้วยซ้ำ
การปิดปรับปรุงระบบครั้งนี้ก็ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ เพราะ เพราะธนาคารกสิกรไทยเป็นธนาคารใหญ่ ระบบงานมีความซับซ้อนสูง มีลูกค้ามาก การปิดระบบนานขนาดนี้ย่อมส่งผลต่อลูกค้ามาก เราจึงขอสัมภาษณ์ คุณสมคิด จิรานันตรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ผู้บริหารสายงานระบบของธนาคาร ดูแลระบบโครงสร้างพื้นฐานของธนาคารทั้งหมด เพื่อขอรับทราบข้อมูลของโครงการนี้
ธนาคารกสิกรไทยแจ้งการปิดปรับปรุงระบบครั้งใหญ่ ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ใช้บริการแทบทุกอย่างของกสิกรไทยไม่ได้ในช่วงเวลาตั้งแต่ 22.00 น. ของวันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม ไปจนถึงวันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม เวลา 22.00 น. รวมเวลา 48 ชั่วโมงครับ
บริการที่ ไม่ได้รับผลกระทบ มีเพียงบัตรเครดิตที่ยังสามารถใช้จับจ่ายซื้อของได้ตามปกติ (บัตรเดบิต และบัตร K-Web Shopping Card ไม่สามารถใช้งานได้) เครื่องรูดบัตรของธนาคารกสิกรไทยตามร้านค้า และบริการรับตัดบัตรเครดิตออนไลน์ ส่วนบริการที่เกี่ยวข้องกับบัญชีเงินฝากทั้งหมดจะไม่สามารถใช้งานได้ และรวมถึงสาขา และตู้เอทีเอ็มทั้งหมดของธนาคารจะหยุดให้บริการในช่วงเวลาดังกล่าวด้วยครับ
วันนี้ ธนาคารกสิกรไทยได้ปรับหน้าเว็บใหม่ ซึ่งมีประเด็นที่น่าวิจารณ์หลายจุด เราจึงขอเชิญดีไซเนอร์ นักออกแบบ คนทำเว็บ ฯลฯ ทุกท่าน ร่วมมาวิจารณ์เว็บไซต์แห่งใหม่เพื่อที่ธนาคารจะนำไปปรับปรุงได้ครับ
กติกาเล็กน้อย
จากกรณีที่กรมการขนส่งทางบกระบุว่าการชำระค่าโดยสารรถแท็กซี่ด้วยบัตรเครดิตถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ปลอดภัย มาวันนี้ก็เลยมีข่าวผ่าประเด็นนี้แบบจังๆ มาฝากกันครับ
โดย ธนาคารกสิกรไทย ได้ประกาศความร่วมมือกับ GrabTaxi เพื่อติดตั้ง K-PowerP@y (mPOS) ซึ่งเป็นระบบรับชำระค่าบริการด้วยบัตรเครดิตผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต บนรถแท็กซี่ที่เข้าร่วมเป็นสมาชิก GrabTaxi หรือรถ GrabCar เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า GrabTaxi สามารถใช้บัตรเครดิตวีซ่าและมาสเตอร์การ์ดชำระค่าโดยสารรถแท็กซี่ได้ทุกธนาคาร
ด้วยเทคโนโลยี และพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป จากการมาของโซเชียลเน็ตเวิร์ค และความสามารถของสมาร์ทโฟนที่เป็นมากกว่าโทรศัพท์ รวมถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจอย่างระบบกลุ่มเมฆ และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ทำให้ธนาคารกสิกรไทยต้องปรับเพื่อตอบสนองกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่กำลังเปลี่ยนไปทุกขณะด้วยการประกาศยุทธศาสตร์การเงินออนไลน์ภายใต้พันธกิจ "Tomorrow Comes Today" เพื่อครองอันดับหนึ่งในตลาดดิจิทัลแบงกิ้งต่อไป
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาธนาคารกสิกรไทยเปิดตัวบริการใหม่ ที่จริงๆ แล้วเปิดให้ลูกค้าเข้าใช้งานไปเงียบๆ ก่อนนี้แล้ว ที่ชื่อว่า K-Expert MyPort เป็นบริการจัดการสินทรัพย์ออนไลน์ โดยทั่วไปมันคือหน้าจอ dashboard สรุปว่ามูลค่าทรัพย์สินของเราที่ในตอนนี้มีมูลค่าเท่าไหร่แล้ว
เครื่องมีตัวนี้อยู่ในกลุ่ม K-Expert ให้คำปรึกษาทางการเงินกับลูกค้าโดยไม่ได้คิดมูลค่าหรือบังคับว่าต้องใช้บริการของทางกสิกรโดยตรง ความเด่นของมันคงเป็นเรื่องของการคำนวณมูลค่าหุ้น, กองทุน, และเงินฝากให้เราโดยอัตโนมัติ วาดออกมาเป็น pie-chart ให้เราสวยงามพร้อมสรุปตัวเลขมูลค่าทรัพย์สินแต่ละประเภท