Fight For The Future ได้เชิญชวนพลเมืองเน็ตทั่วโลก เข้าร่วมแคมเปญ Reset The Net เพื่อร่วมประท้วงการดักฟังข้อมูลโดยหน่วยข่าวกรองสหรัฐ ตั้งแต่วันที่ 5 มิ.ย. 57 โดยการให้ผู้ใช้งานเข้ารหัสข้อมูลทุกอย่างที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต
ภายหลัง Edward Snowden อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐได้เปิดเผยโครงการดักฟังที่มีชื่อว่า Prism ก็ได้มีกระแสต่อต้านโครงการนี้จากชาวอเมริกันและบรรดานานาชาติ โดย Edward Snowden ได้เปิดเผยว่าหน่วยข่าวกรองได้ทำการเจาะ และรวบรวมข้อมูลแทบทุกอย่าง ไม่ว่าโซเชียลเน็ตเวิร์ก อีเมล แชต เว็บไซต์ และช่องทางอื่นๆ ที่จะสามารถแอบฟังได้
องค์การความรับผิดชอบของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา (The Government Accountability Project) คือหน่วยงานที่เกิดจากข้าราชการเกษียณอายุของหน่วยข่าวกรองสหรัฐอเมริกา (CIA) ก่อตั้งขึ้นมา โดยจะมอบรางวัล Sam Adams Award ให้กับบุคคลที่ทำหน้าที่ด้านข่าวกรองอย่างซื่อสัตย์สุจริตทุกๆ ปี ซึ่งปีนี้มอบให้แก่ Edward Snowden ผู้เปิดเผยโครงการ PRISM นั่นเอง
Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Facebook ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว The Atlantic ที่ Washington D.C. เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดย Zuckerberg แสดงความเห็นในประเด็นเกี่ยวกับแผนการสอดแนมของ NSA ในโครงการ PRISM ว่า Facebook ติดตามผลสำรวจด้านความเชื่อมั่นของผู้ใช้มาโดยตลอด และพบว่าความเชื่อมั่นในแบรนด์ Facebook ตกต่ำลงหลังจากที่มีการเปิดโปงโครงการ PRISM ของ NSA โดย Snowden
ทั้งนี้ Zuckerberg ยังบอกอีกว่า และด้วยสาเหตุที่ NSA ทำลายความเชื่อมั่น Facebook จึงพยายามเรียกความเชื่อมั่นโดยเปิดเผยข้อมูลการขอค้นข้อมูลจากทางการ
ในบทสัมภาษณ์นี้มีเรื่องที่น่าสนใจอื่น ๆ เช่น เรื่อง "ความเท่" ที่กำลังจะหายไปใน Facebook, การใช้เวลาว่างของเขา หรือแม้แต่เรื่องระบบข่าวที่ลือมาว่า Facebook กำลังทำอยู่
เอกสารลับสุดยอดจาก Edward Snowden เปิดเผยว่าโครงการ PRISM ต้องจ่ายเงินเพื่อรับบริการจากบริษัทภายนอกหลายล้านดอลลาร์ต่อปีในกระบวนการรับรองการทำงานเพื่อให้เข้ากับกฎหมาย FISA
กฎหมาย FISA ของสหรัฐฯ นั้นเปิดให้หน่วยงานความมั่นคงเช่น NSA สามารถดักฟังการสื่อสารได้แต่ต้องมีกระบวนการจำกัดบุคคลที่อยู่ในการสื่อสาร ว่าต้องไม่ดักฟังพลเมืองสหรัฐฯ ที่กำลังสื่อสารถึงพลเมืองสหรัฐฯ ด้วยกันเอง กระบวนการคัดกรองนี้ต้องได้รับการรับรองซึ่งมีค่าใช้จ่ายนับล้านดอลลาร์กับหน่วยงานที่ให้ข้อมูลแก่ NSA
เอกสารที่ The Guardian เปิดเผยออกมาเป็นจดหมายข่าวของ NSA ฉบับเดือนธันวาคม 2012 ที่ผ่านมา ระบุว่าค่าใช้จ่ายเหล่านี้จ่ายโดย Special Service Operations
หลังจากที่ได้รับข้อมูลว่าหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้แอบดักฟังการสื่อสารชนิดต่าง ๆ ของประชาชนในสหภาพยุโรปแล้ว วันนี้สภาของสหภาพยุโรป ได้โหวตเห็นชอบ (483 ต่อ 98 เสียง) กับการสืบสวนสอบสวน เพื่อค้นหาว่ารัฐบาลสหรัฐได้มีทำอะไรไปแล้วบ้าง โดยการสืบสวนสอบสวนจะต้องเสร็จสิ้นก่อนสิ้นปีนี้
นอกจากนี้แล้ว สภายุโรปได้ตัดสินใจที่จะเริ่มแบ่งปันข้อมูลต่าง ๆ ให้กับหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐน้อยลงอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับการบินและการธนาคาร และต่อไปนี้สหรัฐอาจจะไม่ได้ข้อมูลจากสหภาพยุโรป "แบบเสิร์ฟให้ถึงที่" อีกต่อไปแล้ว
นี่อาจจะเป็นข่าวดีครั้งแรกสำหรับนาย Edward Snowden ที่ตอนนี้เชื่อว่ายังติดอยู่ที่สนามบินมอสโกว หลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้ยกเลิกพาสปอร์ตของเขา ทำให้เขามีสถานะคล้ายกับการเป็นบุคคลไร้สัญชาติ และไม่สามารถเดินทางไปยังประเทศต่าง ๆ เพื่อยื่นขอลี้ภัยได้
ล่าสุด สมาชิกในสภาประเทศไอซ์แลนด์ฝ่ายเสรีนิยมจากพรรค Left-Green Party พร้อม ๆ กับพรรค Pirate Party และ Brighter Future Party ได้ยื่นข้อเสนอต่อสภาไอซ์แลนด์ ให้มอบสัญชาติไอซ์แลนด์แก่นาย Snowden เพื่อให้เขาเดินทางมาที่ประเทศได้เพื่อลี้ภัย แต่ไอเดียนี้ยังไม่ได้รับการสนับสนุนมากมายเท่าที่ควร
บริษัทที่ทำธุรกิจออนไลน์ และกลุ่ม NGO เพื่อเสรีภาพออนไลน์ทำแคมเปญประท้วง NSA ที่ดักฟังประชาชนของตัวเองผ่านโครงการ PRISM โดยแกนนำหลัก คือ หน่วยงานที่ชื่อว่า Fight for the Future และมีบริษัทและหน่วยงานที่ร่วมด้วยได้แก่ Wordpress, Namecheap, Reddit, 4chan, Mozilla, Fark, TOR, Cheezburger, Demand Progress, MoveOn, และ EFF
แคมเปญนี้สร้างวิดีโอชักชวนให้คนมาลงชื่อ (อีเมล) เพื่อประท้วงโครงการ PRISM, นำแบนเนอร์ไปติดบนเว็บของตัวเอง, แชร์ข้อความประท้วงบนทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ก, หาทางแสดงวิดีโอประท้วงบนโทรทัศน์, ประท้วงบนถนนที่กำลังฉลองวันชาติ, โทรหาผู้แทนเรียกร้องให้มีการสอบสวนโครงการ PRISM, ส่งอีเมลหาสภาเพื่อขอความชัดเจนของโครงการ PRISM
หนังสือพิมพ์ชั้นนำในเยอรมนี Der Spiegel ได้เขียนรายงานว่า สภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา หรือ NSA ได้ล้วงข้อมูลลับที่ถูกเก็บไว้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของสหภาพยุโรปที่ออฟฟิศในกรุงวอชิงตัน และที่ประสานงานภายในยูเอ็นของสหภาพยุโรปในกรุงนิวยอร์ก อีกทั้งยังมีการแอบดักฟังการสื่อสารผ่านทางโทรศัพท์ และอินเทอร์เน็ต ที่สำนักงานใหญ่ของ NATO ในกรุงบรัสเซล ที่มีประเทศสมาชิกอียูอยู่เกือบ 20 ราย
ในส่วนของการดักฟังข้อมูลการสื่อสารท่ัวไปนั้น เฉพาะประเทศเยอรมนี ทุก ๆ เดือนการสื่อสารเกือบ 500 ล้านครั้ง ไม่ว่าจะเป็นผ่านโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ตถูกดักฟังโดย NSA
ความคืบหน้าล่าสุดของนาย Edward Snowden อดีตพนักงานสัญญาจ้างของ NSA ผู้เปิดเผยโครงการ PRISM ของรัฐบาลสหรัฐที่เป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาโดนอัยการสหรัฐตั้งข้อหา "จารชน" เข้าถึงข้อมูลทางการทหารและนำไปเผยแพร่ต่อบุคคลอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และขอให้ทางการฮ่องกงส่งตัวเขากับสหรัฐในฐานะอาชญากรข้ามแดน
ล่าสุดทางการฮ่องกงเปิดเผยว่า Snowden เดินทางออกจากฮ่องกงไปยังรัสเซียแล้ว โดยเขาน่าจะลี้ภัยทางการเมืองไปยังประเทศเอกวาดอร์ ซึ่งเป็นประเทศที่ Julian Assange แห่ง Wikileaks ลี้ภัยไปอาศัยอยู่ (WikiLeaks เองก็ประกาศว่าจะช่วยเหลือ Snowden อย่างเต็มที่)
โครงการ PRISM ที่พนักงานบริษัทรับงานจาก NSA เปิดเผยออกมาทำให้สื่อทั่วโลกกำลังให้ความสนใจกับกระบวนการดักฟังของรัฐบาลสหรัฐฯ และตอนนี้ The Guardian ก็เปิดเอกสารขั้นตอนการดักฟังอย่างละเอียดออกมา
เอกสารยังคงใจความคล้ายกับที่ NSA ออกมาระบุก่อนหน้านี้ว่าไม่ได้เป็นการดักฟังประชาชนของตัวเอง (ซึ่งต้องขอดักฟังผ่านหมายศาล) การดักฟังด้วยเหตุผลทางความมั่นคงจะต้องไม่ใช่พลเมืองของสหรัฐฯ และเชื่่อได้ว่าอาศัยอยู่นอกสหรัฐฯ
จากข่าวเรื่อง PRISM ที่มีการอ้างชื่อแอปเปิลด้วยนั้น แอปเปิลได้ออกแถลงการณ์เรื่องความรับผิดชอบต่อข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าไว้ดังนี้
แอปเปิลไม่ได้ให้ข้อมูลใด ๆ กับรัฐบาลด้วยการให้เข้าถึงเซิร์ฟเวอร์โดยตรง และหากรัฐบาลใดก็ตามต้องการข้อมูลของลูกค้านั้นจะต้องมีคำสั่งศาลมาก่อน
จากข่าวโครงการดักข้อมูล PRISM ของรัฐบาลสหรัฐ (ที่โดนข่าว WWDC กลบมิด) ทางกลุ่มเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิบนอินเทอร์เน็ตนำโดย Mozilla และ Electronic Frontier Foundation (EFF) ก็ออกแคมเปญต่อต้านชื่อ Stop Watching Us มาแล้ว
ข้อเสนอของ Stop Watching Us คือเรียกร้องให้สภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกาเปิดเผยรายละเอียดของโครงการ PRISM ต่อสาธารณะ (ซึ่งปัจจุบันถูกปกปิดโดยอ้างประเด็นเรื่องความลับ-ความมั่นคงของชาติ) และเชิญชวนให้องค์กร คนดัง ภาคธุรกิจ นักการเมือง รวมถึงประชาชนทั่วไปร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องครั้งนี้
โครงการ PRISM ถูกเปิดเผยมาก่อนหน้านี้ว่าเป็นโครงการดักฟังแบบไม่เจาะจงเป้าหมาย เอกสารที่ถูกเปิดเผยออกมานั้นมาจากหนังสือพิมพ์ The Guardian โดยไม่ระบุว่าได้รับเอกสารมาจากไหน แต่ตอนนี้ The Guardian ก็ออกมาเปิดเผยแล้วว่าผู้ที่นำเอกสารออกมาคือ Edward Snowden พนักงานของบริษัท Booz Allen Hamilton ที่รับงานจาก NSA มาอีกที พร้อมกับบริษัทอื่นๆ ที่ร่วมงานกันในโครงการเดียวกัน
Snowden ระบุว่าเขาไม่ต้องการทำร้ายสหรัฐฯ แม้เขาจะทำได้เพราะเขาเข้าถึงข้อมูลภารกิจต่างๆ ทั่วโลก แต่เขาเลือกจะเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังใช้อำนาจที่ตัวเองไม่มี
จากข่าว คุณอาจกำลังถูกองค์กรของสหรัฐเข้าถึงเฟซบุ๊ค, จีเมล, ฮอตเมล์, สไกป์ ที่พูดถึงโครงการลับ PRISM ของรัฐบาลสหรัฐ (NSA และ FBI) ที่เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้บนบริการออนไลน์จำนวนมาก
หลังข่าวนี้เผยแพร่ออกมาทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเกี่ยวกับสิทธิของพลเมือง (ของสหรัฐ) และล่าสุดผู้นำของสองบริษัทใหญ่บนโลกออนไลน์คือ Larry Page และ Mark Zuckerberg ก็ออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับ PRISM แล้ว
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มจากการเปิดเผยของ The Guardian ถึงคำสั่งลับของศาลที่อนุญาตให้สภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NSA) และสำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (FBI) สามารถเข้าถึงข้อมูลการใช้งานโทรศัพท์ (telephony metadata) ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศจากบริการ Verizon Business Network Services ซึ่งเป็นบริษัทลูกของเครือข่าย Verizon คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งของศาลซึ่งจัดตั้งภายใต้รัฐบัญญัติสอดส่องข่าวกรองต่างชาติ (FISA) ที่ถูกแก้ไขให้เพิ่มอำนาจการต่อต้านการก่อการร้ายให้มากขึ้นในสมัยของรัฐบาลบุช หลังเหตุการณ์ 9/11