ถึงแม้ Spotify จะโดดเด่นในด้านบริการฟังเพลงสตรีมมิ่ง แต่ก็มีรายงานว่าบริษัทเตรียมรุกตลาด Podcast มากขึ้น ล่าสุดก็มีข่าวว่าบริษัทกำลังเจรจาเพื่อซื้อกิจการ Gimlet Media สตาร์ทอัพที่ผลิตรายการ Podcast หลายรายการ ด้วยมูลค่าที่สูงถึง 200 ล้านดอลลาร์
ที่น่าสนใจก็คือดีลนี้ถือเป็นดีลแรกที่ Spotify จะเป็นฝ่ายซื้อกิจการบริษัทผลิตคอนเทนต์ เพื่อให้มีเนื้อหาแบบเฉพาะบนแพลตฟอร์ม (exclusive) ทั้งนี้รายการ Podcast ของ Gimlet ที่ได้รับความนิยมคือรายการ Reply All ขณะที่ Spotify ก็เริ่มทำดีลกับผู้ผลิต Podcast บางราย ให้ทำเนื้อหาเฉพาะแพลตฟอร์มด้วย
Spotify เตรียมเพิ่มคุณสมบัติใหม่ ให้ผู้ใช้งานตั้งค่าบล็อกหรือ mute ศิลปินที่ไม่ต้องการฟังเพลงรายนั้นได้ โดยตอนนี้กำลังทดสอบตัวเลือก "don’t play this artist" ในแอปบน iOS สำหรับผู้ใช้กลุ่มเล็กอยู่ ซึ่ง Spotify บอกว่าจะเปิดคุณสมบัตินี้กับผู้ใช้ทุกคนเร็ว ๆ นี้
ทั้งนี้การ mute ศิลปินนั้น มีผลเฉพาะกับเพลงที่เป็นผลงานของศิลปินรายนั้นเท่านั้น หากเป็นการไปร่วมฟีเจอริ่ง กรณีนี้จะไม่มีผล
Spotify นั้นปฏิเสธฟีเจอร์นี้มาตลอด แต่เพิ่งตัดสินใจกลับมาทำ หลังมีประเด็นการรณรงค์ให้แบนศิลปินบางรายที่มีคดีอาญา โดยเฉพาะคดีทางเพศ จึงเพิ่มคุณสมบัติให้ผู้ใช้กำหนดเองหากไม่ต้องการฟังผลงานของศิลปินดังกล่าว
ผู้ใช้งานรายหนึ่งแอบเห็นว่า Tinder กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ให้แชร์เพลง Spotify กันได้ โดยในช่องแชท ผู้ใช้จะเห็นไอคอนเพลงสีเขียวอยู่ถัดจากปุ่ม GIF ให้กดเพื่อแชร์เพลงเวอร์ชั่นสั้น 30 วินาที (เหมือนที่แชร์ลงโซเชียลอื่น)
การส่งเพลงให้กัน คือความโรแมนติกอย่างหนึ่ง แอพนัดเดทคู่แข่งอย่าง Bumble ก็มีฟีเจอร์แชร์เพลง Spotify ด้วยเหมือนกัน
Spotify ประกาศบรรลุข้อตกลงกับ T-Series ค่ายเพลงและภาพยนตร์ขนาดใหญ่ที่สุดของอินเดีย เพื่อเตรียมนำเพลงอินเดียเข้ามาลงในคลังของ Spotify
T-Series นั้นมีเพลงราว 160,000 เพลง ซึ่งรวมถึงเพลงจากศิลปินดังของอินเดียและเพลงประกอบภาพยนตร์ Bollywood ดัง ๆ หลายเรื่อง ซึ่งภายใต้ดีลนี้จะทำให้ T-Series มีโอกาสนำเพลงอินเดียลงแพลตฟอร์ม Spotify และ Spotify เองก็จะมีโอกาสเข้าสู่ตลาดอินเดียได้ง่ายขึ้น
Spotify นั้นเคยคิดจะเปิดให้บริการในอินเดียมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังติดปัญหากับการดีลกับค่ายเพลง ซึ่งเมื่อ Spotify ดีลกับ T-Series สำเร็จก็เท่ากับสามารถปลดล็อกปัญหาและเปิดทางให้ Spotify เข้าสู่ตลาดอินเดียได้
ผู้บริหาร Spotify เปิดเผยว่าในช่วงปีที่ผ่านมา Spotify ได้ให้ความสำคัญกับพอดแคสต์มากขึ้น และในปีนี้บริษัทจะเพิ่มความสำคัญมากขึ้นอีก เพื่อให้ Spotify เป็นศูนย์รวมพอดแคสต์ที่ดีที่สุดในโลก โดยมีจุดขายหนึ่งคือระบบการแนะนำรายการพอดแคสต์ที่น่าสนใจ แบบเดียวกับ Spotify ทำได้มาแล้วกับระบบแนะนำเพลงใหม่น่าสนใจ
อีกประเด็นที่สำคัญคือพอดแคสต์นั้น Spotify สามารถขายโฆษณาแทรกเข้าในระหว่างรายการได้ด้วย ซึ่งถือโอกาสสร้างแหล่งรายได้ใหม่ โดยรายการพอดแคสต์ที่เป็นของ Spotify เอง ก็เริ่มมีการขายโฆษณาเข้าไปบ้างแล้ว
Spotify ประกาศเพิ่มแอปใหม่สำหรับ Apple Watch ทำให้ผู้ใช้งานสามารถฟังเพลง ควบคุมเพลง กดบันทึกเพลงที่ชอบ แบบติดตามตัวได้ คล้ายกับในแอป Apple Music
นอกจากใช้ฟังเพลงผ่าน Apple Watch แล้ว ผู้ใช้ยังสามารถนำ Apple Watch เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นเพื่อฟังเพลงได้ผ่าน Spotify Connect
Spotify บอกว่าแอปสำหรับ Apple Watch นี้ จะเพิ่มเติมคุณสมบัติที่จำเป็นอีกในอนาคต รวมทั้งการฟังเพลงออฟไลน์ และอีกหลายรายการซึ่งยังไม่เปิดเผยในตอนนี้
ผู้ใช้ Spotify ต้องอัพเดตแอปเป็นเวอร์ชันล่าสุด 8.4.79 ก่อน ส่วนตัวแอปบน Apple Watch จะเริ่มปรากฏภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
Spotify เปิดงบไตรมาส 3 ประจำปีนี้ โดยในไตรมาสนี้จำนวนผู้ใช้แบบเสียเงินเพิ่มขึ้นไม่มากนัก แต่ผลประกอบการขาดทุนจากการดำเนินงานของ Spotify ในไตรมาสนี้ลดลงมากเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว
Spotify รายงานว่า สมาชิกที่ใช้บริการแบบเสียเงินบนแพลตฟอร์มมีจำนวน 87 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 83 ล้านคนในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนจำนวนผู้ใช้ประจำทุกเดือน (MAUs) อยู่ที่ 191 ล้านคน
Spotify ประกาศปรับปรุงฟีเจอร์ใหม่ในแอป สำหรับผู้ใช้งาน Spotify Premium แบบเสียเงินรายเดือน เพื่อให้ได้รับประสบการณ์และคำแนะนำเพลงที่เหมาะสมมากขึ้น มีรายละเอียดดังนี้
ฟีเจอร์ใหม่ทั้งหมดนี้เริ่มแล้วสำหรับผู้ใช้ Spotify แบบ Premium ทั้งบน iOS และ Android
แม้คนไทยเพิ่งได้ใช้ Spotify ไม่นาน แต่ Spotify มีอายุมาครบรอบ 10 ปีแล้ว และในโอกาส 10 ปีนี้ Spotify ได้เผยลิสต์เพลงที่คนชื่นชอบมากที่สุด
เพลงที่คนฟังมากที่สุดเป็นประวัติการณ์คือ Shape Of You ของ Ed Sheeran ตามมาด้วย One Dance ของ Drake ส่วนเพลงที่ในแต่ละปีมีคนฟังมากตั้งแต่ Spotify เปิดตัวมาคือ Human จาก The Killers (ปี 2008) ตามด้วย I Gotta Feeling ของ The Black Eyed Peas (ปี 2009) ยังมีสถิติเพลงแบบละเอียดอีก สามารถดูได้ที่ภาพข่าวด้านล่าง
Google Maps ระยะหลังมานี้ปรับเปลี่ยนฟีเจอร์หลายอย่าง ตั้งแต่หน้าตาการใช้งาน การวางแผนเที่ยวกับเพื่อน การรีวิวสถานที่ให้ดูเป็นโซเชียลมากขึ้น ล่าสุดเพิ่มเมนู Commute สามารถแจ้งเตือนการจราจรเรียลไทม์ที่อาจจะทำให้ผู้ใช้เสียเวลามากขึ้นอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และแนะนำเส้นทางใหม่ให้ด้วย
สำหรับการเดินทางรถสาธารณะ Google Maps จะแสดงรายละเอียดมากขึ้นไปอีก เช่น ต้องใช้เวลาเดินเท้าเท่าไรจากป้ายรถบัสและสถานีรถไฟ ดูเรียลไทม์ว่ารถจะมาหรือยังจะได้วางแผนถูกว่าควรเดินหรือวิ่งไปขึ้นรถ และในซิดนีย์ Google Maps จะบอกได้ถึงขนาดว่ามีที่นั่งเหลือบนรถไหม เพราะ Google ร่วมมือกับการขนส่ง Transport New South Wales ฟีเจอร์นี้จะขยายไปยังเมืองอื่นในอนาคต
Spotify เพิ่งจะทดสอบระบบบังคับผู้ใช้ Premium for Family ยืนยันตัวตนด้วยพิกัด GPS ว่าอยู่บ้านเดียวกันจริง มิฉะนั้นจะถูกระงับการใช้งาน จนเกิดเสียงโวยจากผู้ใช้เป็นวงกว้าง
ล่าสุด TechCrunch รายงานว่า Spotify ได้ยกเลิกการทดสอบครั้งนี้แล้ว โดยทางโฆษกของบริษัทยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง โดยโฆษกของบริษัทกล่าวว่าการทดสอบนี้เพื่อเป็นการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ โดยทดสอบกับผู้ใช้เพียงจำนวนน้อยในบางประเทศเท่านั้น
มีรายงานว่า Spotify ได้ส่งอีเมลหาผู้ใช้ประเภท Family Plan บางราย ให้เปิดส่งข้อมูลพิกัด GPS กลับมา เพื่อยืนยันว่าสมาชิกทั้งหมดในแผนนี้อยู่บ้านหลังเดียวกันจริง
ทั้งนี้ผู้ใช้งานที่ไม่ยอมส่งข้อมูลให้ บัญชีจะถูกระงับการใช้งานแบบ Family Plan โดยมีรายงานอีเมลจากผู้ใช้เฉพาะในอเมริกาและเยอรมนี
ตัวแทนของ Spotify ชี้แจงเพียง Spotify มีการทดสอบต่าง ๆ กับผู้ใช้งานเป็นระยะอยู่แล้ว
มีตัวเลขที่ไม่ยืนยันว่าผู้ใช้ Spotify แบบเสียเงินนั้น มากกว่าครึ่งสมัครใช้แบบ Family Plan ซึ่งคิดเป็นราคาต่อคนแล้วถูกกว่ามาก จึงอาจเป็นเหตุผลว่า Spotify จะเริ่มจริงจังกับการใช้งานหมวดนี้แล้ว
ชีวิตง่ายขึ้นสำหรับศิลปินอิสระ นักดนตรีทำเพลงอินดี้ที่จะสามารถอัพโหลดเพลงตัวเองเข้าไปใน Spotify ได้ โดย Spotify ร่วมมือกับศิลปินอินดี้เช่น Noname, Michael Brun, VIAA and Hot Shade ในการทำฟีเจอร์ใหม่นี้
โดยตอนนี้ยังคงเป็นเวอร์ชั่นเบต้าอยู่ มีศิลปินอินดี้ในสหรัฐฯมาร่วมด้วยแล้วประมาณหลักร้อยราย โดยพวกเขาจะสามารถทำเพลงเข้าถึงคนฟังมากขึ้น จัดการแก้ไขเมตาดาต้าของตัวเอง และระบบ analytic ต่างๆ หลังบ้าน
ถือเป็นก้าวย่างสำคัญของคนทำเพลงเพราะ Spotify มีผู้ใช้งานมากเป็นอันดับต้นๆ จากเดิมที่ศิลปินเหล่านี้อัพเพลงลง SoundCloud ตอนนี้ก็มีช่องทางเผยแพร่ผลงานที่จะเช้าถึงคนฟังกว้างขวางขึ้นด้วย
รายได้วงการเพลงนั้นมาจากสองส่วนสำคัญคือ ดาวน์โหลดและสตรีมมิ่ง ซึ่งยอดสตรีมก็เป็นบวกมากขึ้นจนสามารถทำรายได้แซงการดาวน์โหลดในปี 2015 ล่าสุด สมาคมอุตสาหกรรมสื่อบันทึกแห่งอเมริกาหรือ RIAA รายงานตัวเลขรายได้ของการจำหน่ายเพลงของสหรัฐฯ ว่า 75% ของรายได้ มาจากสตรีมมิ่ง
โดยรายได้ครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น 10% เป็น 4.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ และ 75% ของรายได้มาจากสตรีมมิ่ง มีเพียง 12% ที่มาจากดาวน์โหลดผ่านดิจิทัล ซึ่งยอดได้ตกลงเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เท่าการขายแผ่นที่มีเพียง 10%
มีผู้ใช้งาน Spotify พบว่าในโปรแกรมที่อัพเดตล่าสุดนั้น สามารถดาวน์โหลดเพลงมาเก็บไว้ในอุปกรณ์เพื่อฟังแบบออฟไลน์ได้เพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่ Spotify จำกัดเอาไว้ที่ 3,333 เพลงต่ออุปกรณ์ และสูงสุด 3 อุปกรณ์ต่อบัญชี
โดย Spotify ยืนยันว่าได้ขยายลิมิตของจำนวนเพลงออฟไลน์ มาเป็น 10,000 เพลงต่ออุปกรณ์ และสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 5 อุปกรณ์ต่อบัญชี
ถึงแม้รูปแบบการดาวน์โหลดเพลงมาเก็บฟังแบบออฟไลน์อาจจะสะดวกสำหรับผู้ใช้งาน แต่ต้องไม่ลืมว่าบริการสตรีมมิ่งที่เสียเงินนั้น ผู้ใช้ไม่ได้มีความเป็นเจ้าของคอนเทนต์เพลงนั้น แต่อยู่ในรูปการจ่ายเหมาและเช่ายืมฟัง
ที่มา: Rolling Stone
ปัจจุบันผู้ใช้แบบฟรีมีโฆษณาของ Spotify เมื่อโฆษณาขึ้นจะต้องปล่อยให้เล่นจนจบโดยที่ไม่สามารถกดข้ามไปฟังเพลงถัดไปได้ แต่ล่าสุดมีรายงานว่า Spotify เริ่มทดลองให้ผู้ใช้แบบฟรีกดข้ามโฆษณาไหนก็ได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง ทั้งโฆษณาแบบเสียงและวิดีโอ
Spotify เริ่มทดสอบฟีเจอร์นี้โดยใช้ชื่อว่า Active Media คือฝ่ายผู้ฟังสามารถกดข้ามโฆษณาได้ ในขณะที่ฝ่ายผู้โฆษณาก็ไม่ต้องจ่ายเงินถ้าผู้ใช้กดข้าม โดย Danielle Lee ผู้บริหารของ Spotify กล่าวว่าข้อมูลการกดข้ามโฆษณาของผู้ใช้จะนำมาเพื่อทำความเข้าใจและสร้างประสบการณ์ส่วนบุคคลให้ผู้ใช้ เพื่อให้ผลลัพธ์จากการโฆษณาดีขึ้น
Spotify เผยว่าได้เป็นพาร์ทเนอร์กับ Samsung ผลคือแอพ Spotify จะสามารถเซตอัพได้ในทุกอุปกรณ์ของ Samsung เช่นสามารถตามหาแอพ Spotify ได้ง่ายผ่าน Smart Switch ใน Samsung และเล่นเพลงจาก Spotify ได้บนสมาร์ททีวี และสั่งให้เล่นเพลงผ่าน Bixby บน Galaxy Home ได้ เป็นต้น
ในการสั่งงานผ่าน Bixby แม้ผู้ใช้จะไม่มีบัญชี Spotify ก็สามารถให้ Bixby สร้างเพลย์ลิสต์ให้ได้ แต่ถ้าต้องการการใช้งานที่ตรงใจจริงๆ ใช้บัญชีแบบพรีเมี่ยมจะให้ประสบการณ์การฟังเพลงที่ดีกว่า
แอพนาฬิกาของ Google สามารถเพิ่มเพลย์ลิสต์จาก Spotify เข้ามาเป็นเสียงนาฬิกาปลุกได้แล้ว แทนที่จะเป็นเสียงริงโทนธรรมดา สามารถใช้งานได้ตั้งแต่แอนดรอยด์ Lollipop และไม่ต้องมีบัญชี Spotify พรีเมี่ยมก็ใช้งานได้
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม Google ถึงไม่ใช้บริการที่ตัวเองมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น Google Play Music หรือ YouTube Music ซึ่งทาง Google บอกว่าจะใช้เพลงจาก YouTube Music เข้ามาด้วยในเร็วๆ นี้
คนที่ใช้งานได้ จะเห็นหน้าตาแอพในหมวด Alarm sound เป็นสองฝั่งคือฝั่งที่เป็นริงโทนปกติกับฝั่ง Spotify ซึ่งผู้ใช้สามารถเลื่อนดูเพลย์ลิสต์ที่เหมาะกับยามเช้าที่ Spotify คัดมาให้ การอัพเดตจะเริ่มต้นขึ้นภายในสัปดาห์นี้
Spotify รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 2 ปี 2018 รายได้รวม 1,273 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 26% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ยังขาดทุนอีก 394 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการขาดทุนที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีการทำโปรโมชันในช่วงไตรมาส 2 และ 4 ของทุกปี
จำนวนผู้ใช้งาน Spotify แบบเป็นประจำทุกเดือน (MAUs) เพิ่มขึ้น 30% เป็น 180 ล้านคน การเติบโตสูงมาจากภูมิภาคละตินอเมริกา ส่วนจำนวนผู้ใช้งานแบบเสียเงินเพิ่มขึ้น 40% เป็น 83 ล้านคน โดยมาจากผู้สมัครแบบ Family Plan เป็นหลัก ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้มีอัตรายกเลิกที่ต่ำด้วย
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ GDPR เนื่องจาก Spotify มีฐานผู้ใช้หลักอยู่ในยุโรป ซึ่ง Spotify ก็บอกว่ากระทบการเติบโตในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา แต่มองว่าสถานการณ์ในไตรมาสถัดไปจะดีขึ้น
Festicket บริการจองตั๋วสำหรับงานอีเว้น เทศกาลต่างๆ ของอังกฤษ จับมือกับ Spotify ทำฟีเจอร์ Festival Finder เสนองานเทศกาลดนตรีที่ตรงกับความชอบของผู้ใช้งานแต่ละคน
โดย Festival Finder ต้องการให้ผู้ใช้ล็อกอินเข้า Festicket ผ่าน Spotify หลังจากนั้นระบบจะดึงข้อมูลแนวเพลงที่ผู้ใช้คนนั้นสนใจ เช่นศิลปินคนโปรด จากนั้นก็เสนอเทศกาลดนตรีที่น่าสนใจ 10 งานมาให้
ปัจจุบัน ระบบเตือนภัยฉุกเฉินจากทางการสหรัฐฯ (เช่น การก่อการร้าย, ภัยธรรมชาติ และอื่น ๆ) มักจะใช้การแจ้งเตือนผ่านมือถือหรือป๊อปอัพบนรายการทีวี ล่าสุดวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายให้ปรับปรุงระบบเตือนภัยฉุกเฉินใหม่ชื่อว่า Reliable Emergency Alert Distribution Improvement หรือ READI ที่มีจุดประสงค์สำคัญคือปรับปรุงให้การเตือนภัยไปถึงประชาชนให้ได้มากขึ้น และเชื่อถือได้มากขึ้น
เรื่องที่สำคัญที่ปรากฏในร่างกฎหมาย READI คือการเปิดช่องทางให้ภาครัฐแจ้งเตือนเหตุการณ์ฉุกเฉินผ่านบริการสตรีมมิ่ง (โดยเอ่ยชื่อตัวอย่างคือ Netflix และ Spotify) เนื่องจากบริการเหล่านี้เป็นที่นิยมและมีจำนวนผู้ใช้บริการมากขึ้นในช่วงหลัง
ส่วนอื่น ๆ ที่สำคัญในร่างกฎหมาย READI เช่น
เว็บไซต์ Digital Music News รายงานอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งข่าวไม่เปิดเผย พูดถึงอันดับของจำนวนสมาชิกแบบเสียเงินของบริการเพลงสตรีมมิงในสหรัฐ ปรากฎว่าสมาชิกของ Apple Music นำมาเป็นอันดับหนึ่งนำ Spotify, Tidal และ Sirius XM
อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวขอไม่เปิดเผยตัวเลขจำนวนสมาชิก ระบุแต่เพียงว่า Apple Music และ Spoitfy ต่างมีผู้ใช้ในสหรัฐเกิน 20 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งข้อมูลนี้ก็ค่อนข้างสอดคล้องกับตัวเลขที่ Wall Street Journal เปิดเผยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ว่าสมาชิก Apple Music ในสหรัฐเพิ่มขึ้น 5% และ Spotify เพิ่ม 2% และคาดว่าสมาชิก Apple Music น่าจะแซง Spotify ในเร็ววัน
Billboard รายงานสถิติใหม่ของวงการเพลงสตรีมมิ่ง โดยบอกว่าอัลบั้ม Scorpion ของ Drake ได้ทำสถิติถูกสตรีมมากกว่า 1 พันล้านครั้งทั่วโลก ในเวลาเพียง 1 สัปดาห์แรก (29 มิถุนายน-5 กรกฎาคม) โดยสถิติสูงสุดก่อนหน้านี้คืออัลบั้ม Beerbongs & Bentleys ของ Post Malone ถูกสตรีม 700 ล้านครั้งในสัปดาห์
ข้อมูลบอกว่าเฉพาะในอเมริกานั้นอัลบั้ม Scorpion ถูกสตรีมมากกว่า 750 ล้านครั้ง
ตัวเลขการฟังผ่านสตรีมมิ่งที่สูงมากนี้ยังช่วยให้อัลบั้มของ Drake ติดอันดับ 1 ในการจัดอันดับ Billboard 200 ที่เพิ่มน้ำหนักการคำนวณการฟังผ่านสตรีมมิ่งเป็นสัปดาห์แรกด้วย
ก่อนต้องบอกว่าข้อมูลนี้ไม่ได้มาจากทั้งแอปเปิลและ Spotify แต่เป็นตัวเลขอ้างอิงของผู้จัดจำหน่ายเพลงรายใหญ่ในอเมริกา ซึ่งระบุว่าจำนวนผู้สมัครใช้งานแบบเสียเงินของ Apple Music สูงกว่า Spotify แล้ว ในพื้นที่อเมริกา (Apple Music ไม่มีตัวเลือกใช้ฟรี มีแต่เสียเงิน)
ข้อมูลจากผู้จัดจำหน่ายเพลงนั้นบอกว่าทั้งสองผู้ให้บริการมีผู้สมัครใช้งานแบบจ่ายเงินมากกว่า 20 ล้านคนทั้งคู่ แต่ตอนนี้ Apple Music มีจำนวนสูงกว่าเล็กน้อย
เว็บ Billboard.com อ้างแหล่งข่าวไม่ระบุตัวตน ระบุว่า Spotify กำลังพยายามเข้าเซ็นสัญญาโดยตรงกับศิลปินอินดี้และค่ายเพลงขนาดเล็ก แถมยังได้ค่าลิขสิทธิ์ล่วงหน้าอีกก้อนหนึ่ง
โดยทั่วไปแล้วค่ายเพลงขนาดเล็กมักนำเพลงเข้าไปยังแพลตฟอร์มอย่าง Spotify ผ่านค่ายเพลงขนาดใหญ่หรือตัวแทนอื่น โดยปกติแล้ว Spotify จะจ่ายส่วนแบ่งลิขสิทธิ์ให้โดยเฉลี่ย 54% ของรายได้ แต่หากเซ็นสัญญาตรงเช่นนี้จะได้รับ 50% แต่เมื่อเทียบกับการเข้าแพลตฟอร์มผ่านตัวแทนอื่นอีกหลายชั้นตามปกติก็อาจจะเหลือถึงตัวศิลปินเพียง 20% เท่านั้น
แหล่งข่าวระบุว่า Spotify กำชับอย่างหนัก ว่าศิลปินห้ามเปิดเผยว่าเซ็นสัญญาโดยตรงกับ Spotify แต่สัญญาเปิดกว้างให้ศิลปินไปเซ็นสัญญากับผู้ให้บริการอื่นได้เองตามสะดวก