ดิสนีย์เปิดเผยจำนวนผู้ใช้งานบริการสตรีมมิ่ง Disney+ อย่างเป็นทางการครั้งแรกในการรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส หลังเริ่มให้บริการเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยมีผู้สมัครใช้งาน 26.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากวันแรกที่มีผู้สมัครใช้งาน 10 ล้านคน
ซีอีโอ Bob Iger บอกว่า 20% ของผู้สมัครใช้งาน เป็นการสมัครทดลองใช้งานฟรี 12 เดือน ของลูกค้า Verizon ขณะที่ประมาณครึ่งหนึ่งเป็นการสมัครใช้งานผ่านเว็บไซต์ของ Disney+ โดยตรง
ตัวเลขนี้มากหรือน้อยอาจเทียบได้กับบริการสตรีมมิ่งตัวอื่นของดิสนีย์เช่นกัน โดย ESPN+ มีผู้สมัครใช้งาน 6.6 ล้านคน ส่วน Hulu มี 30.4 ล้านคน
Peacock บริการสตรีมมิ่งของ NBCUniversal ประกาศรูปแบบอัตราค่าบริการ โดยมี 3 แบบดังนี้
บริการสตรีมมิ่ง Disney+ เริ่มให้บริการในอเมริกาและอีกไม่กี่ประเทศไปแล้ว (อ่านรีวิว) โดยเตรียมขยายจำนวนประเทศที่ให้บริการเพิ่มเติมในวันที่ 31 มีนาคม ปีหน้า อย่างไรก็ตามคำถามที่หลายคนอยากทราบก็คือแล้วเมืองไทยจะมาเมื่อใด?
เว็บไซต์ TechCrunch อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง 2 ราย ระบุตรงกันว่าแผนเปิดตัว Disney+ ในต่างประเทศเพิ่มเติมนั้นวางไว้เป็น อินเดีย กับบางประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเริ่มให้บริการได้เร็วที่สุดในช่วงครึ่งหลังปี 2020 หรือปีหน้า
Reed Hastings ซีอีโอ Netflix ได้เข้าร่วมงานเสวนา DealBook ที่นิวยอร์ก โดยให้ความเห็นและตอบคำถามเกี่ยวกับสงครามสตรีมมิ่งซึ่ง Netflix เป็นผู้นำตลาดอยู่ แต่กำลังถูกท้าทายจากคู่แข่งรายใหญ่จำนวนมาก ที่เริ่มเปิดให้บริการในช่วงปลายปี
เขาบอกว่าระยะเวลารับชมของผู้ชมจะเป็นตัววัดการแข่งขันที่แท้จริงว่าใครแพ้ชนะ แม้จากนี้เราอาจได้ยินการนำเสนอตัวเลขจำนวนผู้สมัครใช้บริการของแต่ละค่าย แต่ตัวเลขเหล่านี้ยังไม่มีความหมาย เพราะหลายครั้งเกิดจากการขายผ่านแพ็คเกจพ่วงในรูปแบบต่าง ๆ สิ่งที่ต้องดูคือในแต่ละคืน คนเลือกชมอะไรกันแน่
ที่ผ่านมา Hastings ให้ความเห็นมาตลอดว่าคู่แข่ง Netflix จริง ๆ คือกิจกรรมที่ดึงสายตาคนดู ไม่ว่าจะเป็น ทีวีปกติ, YouTube, วิดีโอเกม ไปจนถึงเวลานอน
สตรีมมิ่งแข่งกันดุเดือด ล่าสุด CNBC รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าววงในบอกว่า Peacock สตรีมมิ่งของ NBCUniversal อาจหงายการ์ดให้ดูฟรีเสียเลย โดยมีโฆษณารองรับ ซึ่งหากข่าวลือเป็นเรื่องจริง Peacock จะได้ชื่อว่าเป็นสตรีมมิ่งจากบริษัทใหญ่ฝั่งสหรัฐฯ รายแรกที่เปิดให้ดูฟรี
ก่อนหน้านี้ Comcast บริษัทแม่ NBCUniversal ตั้งใจจะให้บริการ Peacock ฟรีแก่ผู้สมัครรับบริการทีวีเคเบิลในเครือ และกำลังพิจารณาจะให้คนอื่นดูฟรีมีโฆษณาด้วย ส่วนถ้าอยากจะดูแบบไม่มีโฆษณาค่อยจ่ายเงินเพิ่ม
ในยุคที่สงครามสตรีมมิ่งกำลังร้อนระอุ หลายคนอาจลืมกันไปแล้วว่า โซนี่ก็มีบริการวิดีโอสตรีมมิ่งในชื่อ PlayStation Vue (อ่านว่า เพลย์สเตชัน วิว) ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งไม่ได้จำกัดการรับชมเฉพาะบน PlayStation เท่านั้น แต่ยังใช้กับอุปกรณ์อื่นเช่น Apple TV/Android TV ได้ด้วย
แต่การที่ PlayStation Vue ไม่ได้รับความนิยมมากนัก แม้เปิดมานานพอสมควรแล้ว ก็อาจเป็นสัญญาณว่าโซนี่ไม่ประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ และล่าสุดเริ่มมีข่าวลือว่า โซนี่กำลังหาผู้มาซื้อกิจการรับช่วงต่อ
ภาพการแข่งขันบริการสตรีมมิ่ง ที่หลายค่ายเตรียมเปิดให้บริการในช่วงปลายปีนี้ดูระอุขึ้นอีก เมื่อ Verizon ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ตลอดจนอินเทอร์เน็ตบ้านรายใหญ่ในอเมริกา ประกาศความร่วมมือกับ Disney+ โดยจะให้ลูกค้า Verizon รับชมรายการใน Disney+ ฟรี เป็นระยะเวลา 12 เดือน มีผลตั้งแต่ 12 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันแรกที่ Disney+ จะเริ่มให้บริการเฉพาะในสหรัฐฯ
อัตราค่าบริการของ Disney+ นั้นอยู่ที่ 6.99 ดอลลาร์ ที่น่าสนใจคือการให้ใช้งานฟรีนั้น Apple TV+ เองก็ทำเช่นเดียวกัน แต่ให้ชมฟรี 12 เดือน เฉพาะลูกค้าที่ซื้ออุปกรณ์ใหม่
Disney+ ระบุว่าในปีแรกของการให้บริการ จะมีซีรี่ส์ออริจินัลอย่างน้อย 25 เรื่อง และภาพยนตร์กับสารคดีที่ผลิตเฉพาะอีกอย่างน้อย 10 เรื่อง
Gojek แอปเรียกรถแท็กซี่รายใหญ่จากอินโดนีเซีย ที่ขยายสู่บริการอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามแนวทางของซูเปอร์แอป ล่าสุดได้ประกาศเพิ่มบริการ GoPlay วิดีโอสตรีมมิ่งที่มีทั้งภาพยนตร์และซีรี่ส์ แบบคิดค่าบริการเหมาจ่ายรายเดือนเหมือน Netflix โดยในช่วงแรกจำกัดอยู่เฉพาะในอินโดนีเซียก่อน ซึ่งคอนเทนต์ส่วนใหญ่ก็เป็นของอินโดนีเซีย (ในไทย Gojek ใช้ชื่อแบรนด์ว่า GET)
อัตราค่าบริการของ GoPlay อยู่ที่ 89,000 รูเปียห์ต่อเดือน (ประมาณ 190 บาท) ถูกกว่า Netflix ที่เริ่มต้น 109,000 รูเปียห์ต่อเดือน นอกจากนี้ยังมีแพ็คเกจใหญ่ 99,900 รูเปียห์ต่อเดือน ซึ่งจะได้คูปองสำหรับสั่งอาหารเดลิเวอรี่ GoFood เพิ่มเติมด้วย
ในที่สุด สตรีมมิ่งของ NBCUniversal ที่จะเปิดตัวในปี 2020 ก็ได้ชื่อใหม่แล้ว คือ "Peacock" พร้อมระบุด้วยว่าบนแพลตฟอร์มจะมีคอนเทนต์รวมเวลากัน 15,000 ชั่วโมง โดยมีเรื่องเด่นๆ คือ The Office และ Parks and Recreation ด้านเว็บไซต์ทางการของ Peacock คือ peacocktv.com
แอปเปิลกับดิสนีย์ถือเป็นบริษัทที่มีความสัมพันธ์อันดีมายาวนาน นับตั้งแต่ดิสนีย์เริ่มเป็นผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ของ Pixar ที่ก่อตั้งโดยสตีฟ จ็อบส์ (และภายหลังดิสนีย์ซื้อ Pixar ทำให้จ็อบส์กลายเป็นผู้ถือหุ้นของดิสนีย์ด้วย) ในทางกลับกัน Bob Iger ซีอีโอของดิสนีย์ก็ได้รับคำเชิญจากแอปเปิลมาเป็นบอร์ดบริหารตั้งแต่ปี 2011
แต่เมื่อทั้งสองบริษัทเริ่มกลายมาเป็นคู่แข่งกันในสงครามวิดีโอสตรีมมิ่ง เพราะ Disney+ และ Apple TV+ อยู่ในสนามเดียวกัน ก็มีเสียงเรียกร้องให้ Iger ลาออกจากการเป็นบอร์ดของแอปเปิลตามมารยาท ซึ่งก่อนหน้านี้ Iger ก็ระบุว่าเขาต้องออกจากห้องประชุมบอร์ด หากบอร์ดมีวาระที่เกี่ยวข้องกับสตรีมมิ่ง
แอปเปิลเปิดราคาของ Apple TV+ ในสหรัฐที่ 4.99 ดอลลาร์ต่อเดือน (ประมาณ 150 บาท) แต่ Apple Thailand ก็เปิดราคาของ Apple TV+ ในไทยที่ถูกกว่ากันมากคือเพียง 99 บาทต่อเดือนเท่านั้น
ราคา 99 บาทนี้ยังครอบคลุม Family Sharing โดย Apple TV+ หนึ่งบัญชีสามารถแชร์ให้สมาชิกในครอบครัวได้สูงสุด 6 คน เริ่มเปิดบริการ 1 พฤศจิกายนนี้
ส่วนโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าที่ซื้อฮาร์ดแวร์ iPhone, iPad, Apple TV, iPod touch, Mac ก็ยังได้ใช้ Apple TV+ ฟรีนาน 1 ปีเช่นกัน โดยเริ่มกับลูกค้าที่ซื้อสินค้าในวันที่ 10 กันยายน 2019 เป็นต้นไป
แอปเปิลประกาศอัพเดตเกี่ยวกับบริการวิดีโอสตรีมมิ่ง Apple TV+ โดยรายการแรกจะเริ่มออกอากาศในวันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป และจะมีรายการออริจินัลเพิ่มเติมเรื่อย ๆ โดยให้บริการเบื้องต้นกว่า 100 ประเทศ
ที่น่าสนใจคือราคาค่าบริการซึ่งถือว่าเซอร์ไพรส์มาก โดยคิดค่าบริการที่ 4.99 ดอลลาร์ต่อเดือน และเป็นการสมัครแบบใช้งานได้ทั้งครอบครัว
นอกจากนี้แอปเปิลยังประกาศว่า ลูกค้าที่ซื้อ iPhone, iPad, Mac หรือ Apple TV ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะได้ชม Apple TV+ ฟรี เป็นเวลา 1 ปี
แอปเปิลเปิดราคาของบริการวิดีโอสตรีมมิ่ง Apple TV+ ที่ 4.99 ดอลลาร์ต่อเดือน เป็นราคาแบบครอบครัว และประกาศแถมฟรีสมาชิก 1 ปี สำหรับลูกค้าฮาร์ดแวร์ที่ซื้อ iPhone, iPad, Apple TV และ Mac ใหม่ด้วย
ในงานแถลงข่าว แอปเปิลยังได้โชว์เทรลเลอร์ของซีรีส์ไซไฟ See ที่เป็น Apple Original เฉพาะบริการของ Apple TV+ ด้วย
บริการสตรีมมิ่ง Disney+ ยังคงเรียกความสนใจต่อเนื่อง ถ้าไม่นับจุดเด่นเรื่องคอนเทนต์ในสังกัด ราคาของ Disney+ ก็ถือว่าดึงดูด เพราะตั้งราคา 6.99 ดอลลาร์ต่อเดือน ถูกกว่า Netflix เกือบครึ่ง, ราคานี้ได้ 4K เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องจ่ายเพิ่มอีกแบบ Netflix และยังมีราคาแบบบันเดิลรวม ESPN+ และ Hulu ที่ 12.99 ดอลลาร์ต่อเดือน สำหรับคนที่ต้องการดูคอนเทนต์เยอะขึ้นด้วย
ล่าสุด Disney+ ยังทำราคาถูกเป็นพิเศษในช่วงเปิดตัว โดยลดราคาลงไปอีก 33% หากสมัครสมาชิกแบบยาว 3 ปี หารเฉลี่ยออกมาแล้วเหลือเพียง 3.92 ดอลลาร์ต่อเดือน (120 บาท) เท่านั้น
LINE TV แอปดูคอนเทนต์วิดีโอของ LINE ออกอัพเดตสำหรับผู้ใช้ iOS เวอร์ชัน 3.8.0 ซึ่งในที่สุดก็รองรับการแสดงผลผ่าน Chromecast จากที่ก่อนหน้านี้มีเฉพาะบน Android
รายละเอียดของอัพเดตทั้งหมดมีดังนี้
iflix แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งจากมาเลเซีย ประกาศรับเงินเพิ่มทุนรอบใหม่จากกลุ่มนักลงทุนนำโดย กองทุน Fidelity International รวมทั้งกลุ่มสื่อจากหลายประเทศ อาทิ MNC อินโดนีเซีย, Yoshimoto Kogyo ญี่ปุ่น และ JTBC เกาหลีใต้
ทั้งนี้ iflix ไม่ได้บอกจำนวนเงินเพิ่มทุนรอบนี้สุทธิ แต่บอกเพียงมากกว่า 50 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการระดมทุนรอบสุดท้ายก่อนที่บริษัทจะเตรียมไอพีโอต่อไป
จำนวนผู้ใช้งาน iflix ล่าสุดอยู่ที่ 17 ล้านบัญชี เน้นให้บริการในพื้นที่ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, แอฟริกา และเอเชียตะวันออกกลาง
ที่มา: Telecom Paper
Netflix สรุปโครงการที่น่าสนใจจากกิจกรรมพัฒนาไอเดียใหม่ ๆ ภายในองค์กร (Netflix Hack Day) เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
โครงการเด่นมีชื่อเรียกว่า Project Rumble Park โดยเมื่อคอนเทนต์ที่กำลังรับชม มีฉากที่มีการเคลื่อนที่เร็ว การต่อสู้ หรือมีระเบิด หากเรากำลังชมคอนเทนต์นั้นผ่านสมาร์ทโฟน ก็จะเกิดการสั่นที่ตัวโทรศัพท์เบา ๆ ทำให้ได้ความรู้สึกตื่นเต้นตามมากยิ่งขึ้น
Netflix บอกว่าไอเดียนี้สามารถไปต่อยอดได้ว่าระบบสั่นในสมาร์ทโฟน จะช่วยเพิ่มประสบการณ์รับชมในรูปแบบอื่นอย่างไรได้บ้าง
โครงการอื่นที่น่าสนใจ อาทิ TerraVision สร้างระบบให้ผู้ผลิตคอนเทนต์ เสิร์ชหาสถานที่ถ่ายทำ โดยอิงจากฉากที่อยู่ในภาพร่าง
LINE TV แอปดูคอนเทนต์วิดีโอของ LINE ออกอัพเดตเวอร์ชัน 3.7.0 สำหรับผู้ใช้ Android โดยมีของใหม่ที่หลายคนรอคอย ซึ่งสรุปอัพเดตทั้งหมดดังนี้
อัพเดตที่รองรับ Chromecast นี้มีผลกับผู้ใช้ Android เท่านั้น ส่วนอัพเดต 3.7.0 ของ iOS ไม่ได้ระบุว่ารองรับ Chromecast แต่อย่างใด (ปัจจุบันรองรับ AirPlay อยู่แล้ว)
ที่มา: Google Play
ในงานเผยผลประกอบการของดิสนีย์ ไตรมาสสองปีนี้ ซีอีโอ Bob Iger ถือโอกาสนี้เปิดเผยว่า Avengers Endgame จะลงฉายใน Disney+ แบบเอ็กซ์คลูซีฟ 11 ธันวาคม
Disney+ จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการวันที่ 12 พ.ย.นี้ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าบนแพลตฟอร์มจะมีหนังจากสตูดิโอลูกของดิสนีย์ไม่ว่าจะเป็น Pixar รวมไปถึงสารคดีระดับโลกจาก National Geographic, จักรวาล Star Wars, Marvel และแน่นอนว่าต้องมี Avengers Endgame เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งตอนนี้หนังทำเงินทะลุ 2 พันล้านดอลล่าร์ไปเรียบร้อยแล้ว
ใน Disney+ ยังมีซีรีส์มาร์เวลที่จัดทำขึ้นชุดใหม่ด้วย คือ Falcon & Winter Soldier, WandaVision, Marvel’s What If…? (แอนิเมชัน), Loki (ซีรีส์)
Bob Iger ซีอีโอของ Disney เผยภาพแรกของ Disney+ บริการสตรีมมิ่งภาพยนตร์ที่จะเปิดบริการช่วงปลายปีนี้ ในงานแถลงข่าวต่อนักลงทุนประจำปี
ข้อมูลอื่นๆ ที่แถลงในงานคือ รองรับหนังความละเอียด 4K และ HDR, หนังทุกเรื่องสามารถดาวน์โหลดเพื่อดูออฟไลน์ได้, มีแอพบนแพลตฟอร์ม Apple TV, Roku, PS4, Nintendo Switch รวมถึงรองรับ Android TV และ Chromecast ด้วย
ฝั่งของคอนเทนต์ที่จะอยู่บน Disney+ มีทั้งหนังของบริษัทเองอย่าง Captain Marvel, Avengers: Endgame, The Lion King และ Frozen 2 รวมถึงหนัง/ซีรีส์ใหม่ๆ ที่เพิ่งประกาศในงานนี้ เช่น
ผู้ให้บริการสตรีมมิงอย่าง Netflix กับรางวัลภาพยนตร์เป็นปัญหาที่ถกเถียงและขัดแย้งกันมาหลายปี ซึ่งถึงแม้ Roma ของ Netflix จะคว้ารางวัลใหญ่อย่างกำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
แต่ก็ใช่ว่าปัญหานี้จะหมดไปเพราะบอร์ดของ the Academy และพ่อมดวงการภาพยนตร์อย่าง Steven Spielberg ก็ยังคงค้านที่จะให้หนังสตรีมมิงมีสิทธิในการรับรางวัล และจะพูดคุยกับ the Academy เรื่องการจำกัดรางวัลจากหนังสตรีมมิง ซึ่งประเด็นนี้เองได้เข้าตาของกระทรวงยุติธรรม เพราะเกรงว่าจะเกิดการผูกขาดขึ้น
Netflix เดินกลยุทธ์เพิ่มคอนเทนต์ผลิตเองเพื่อฉายลงแพลตฟอร์ม หรือออริจินัลคอนเทนต์มานานหลายปีแล้ว แต่ตอนนี้ก็มาถึงจุดที่ Netflix น่าจะหวังไว้เสียที นั่นคือการมีจำนวนออริจินัลคอนเทนต์ให้คนดูเลือกมากกว่าคอนเทนต์ที่ต้องซื้อลิขสิทธิ์แล้ว โดยข้อมูลจากบริษัทวิจัย Ampere Analysis พบว่าคอนเทนต์ที่มีให้เลือกใน Netflix อเมริกา มีจำนวนคอนเทนต์ออริจินัล (จ้างผลิตเอง) 51% ในสิ้นปี 2018 เพิ่มขึ้นจากเมื่อปี 2016 ซึ่งมีอยู่ 25%
ในสัปดาห์หน้าแอปเปิลจะจัดงานแถลงข่าว ซึ่งคาดกันว่าผลิตภัณฑ์หนึ่งที่เปิดตัวคือบริการวิดีโอสตรีมมิ่งใหม่ โดยมีข่าวลือก่อนหน้านี้ว่าแอปเปิลได้เจรจากับผู้ให้บริการคอนเทนต์หลายราย เพื่อนำคอนเทนต์มาใส่รวมไว้ในบริการ Apple TV ตัวใหม่นี้จบในแอปเดียว อย่างไรก็ตามแอปหนึ่งที่ชิงประกาศก่อนเลยไม่ให้ต้องลุ้นก็คือ Netflix
Alibaba ได้เข้าซื้อหุ้น 8% ใน Bilibili แพลตฟอร์มวิดีโอออนไลน์ของจีน โดยไม่มีการเปิดเผยมูลค่าของดีลดังกล่าว ซึ่ง Taobao เว็บอีคอมเมิร์ซในเครือ Alibaba จะเป็นผู้ถือหุ้นส่วนนี้
Bilibili เป็นบริษัทจีนที่จดทะเบียนซื้อขายหุ้นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq ที่อเมริกา แต่ยังมีผลดำเนินงานขาดทุน โดย Chen Rui ซีอีโอ Bilibili กล่าวว่าเขาหวังว่าการเข้ามาถือหุ้นของ Taobao นี้จะช่วยต่อยอดให้ Bilibili จากฐานลูกค้าขนาดบน Taobao ได้
จุดเด่นของ Bilibili คือการเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอที่เน้นคอนเทนต์จับตลาดคนรุ่นใหม่ โดยผู้ใช้กว่า 80% เกิดหลังปี 1990 ซึ่งการนำวิดีโอมาผสมผสานกับการขายสินค้าเป็นเทรนด์ที่มาแรงในจีน
จากข่าวลือแรกว่าแอปเปิลจะจัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในวันที่ 25 มีนาคม ถัดจากนี้ก็เป็นมหกรรมข่าวลือที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวบรวมมาไว้ทีเดียวเลยดังนี้ครับ