IBM เปิดศูนย์ Watson Center ที่ประเทศสิงคโปร์ เน้นเทคโนโลยีในอนาคต 2 กลุ่มคือ IBM Studios งานด้านดีไซน์และ Cognitive Computing ยุคใหม่ กับ IBM Garage เน้นการวิจัยเรื่อง Blockchain
Blognone ได้รับเชิญจาก IBM ให้ร่วมงานแถลงข่าวเปิดศูนย์แห่งนี้ด้วย
ผู้บริหารของ IBM ระบุว่าแวดวงเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปมาก การใช้คลาวด์และอุปกรณ์พกพากลายเป็นมาตรฐาน เมื่อคนนำไอทีเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น วิธีการสื่อสารระหว่างคนกับเครื่องจักรจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญมาก ส่งผลให้ IBM ต้องลงทุนเรื่องนี้อย่างมาก คำตอบคือเทคโนโลยีกลุ่ม Cognitive Computing (ในทีนี้คือ Watson) และการดีไซน์
เมื่อวานนี้ (ตามเวลาท้องถิ่น) IBM ประกาศบริการใหม่ Highly Secure Blockchain โดยเป็นบริการ blockchain ความปลอดภัยสูง เน้นให้บริการกับองค์กรที่ต้องการนำเทคโนโลยี blockchain เข้าไปใช้ในสภาพที่ต้องการความปลอดภัยสูงอย่าง ภาคการเงิน ภาครัฐ และสาธารณสุขต่างๆ
บริษัทระบุว่าได้พัฒนาบริการดังกล่าวให้ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยของภาครัฐ (FIPS 140-2) และความปลอดภัยในอุตสาหกรรม (EAL) โดยใช้ code จากโครงการ Hyperledger ของ Linux Foundation ในการพัฒนา และเปิดให้ใช้เป็นบริการบน Bluemix บริการคลาวด์ของ IBM ด้วย สำหรับองค์กรที่ต้องการความยืดหยุ่นในการใช้งาน IBM ก็ปล่อย blockchain ของตัวเองในรูปแบบของ Docker containers บน DockerHub ด้วย โดยสัญญาว่าจะมีอัพเดตใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ
ไมโครซอฟท์เริ่มจริงจังกับเทคโนโลยี blockchain มากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงปลายปีที่แล้วเราเห็นบริการ Blockchain as a Service บน Azure กันไปแล้ว วันนี้ไมโครซอฟท์ประกาศความร่วมมือกับกลุ่มธนาคาร นำระบบนี้ไปทดสอบในวงกว้างมากขึ้น
กลุ่มธนาคารที่ไมโครซอฟท์ไปเป็นพันธมิตรด้วยคือ R3 Consortium ซึ่งมีสมาชิกเป็นธนาคารกว่า 40 รายทั่วโลก ภายใต้ความร่วมมือนี้ ไมโครซอฟท์จะทำหน้าที่ให้บริการคลาวด์และเครื่องมือด้าน blockchain แก่สมาชิกของ R3 ในการพัฒนาเทคโนโลยี blockchain ต่อไป ในทางกลับกัน R3 จะเลือก Azure เป็นคลาวด์ที่แนะนำให้ธนาคารใช้งาน
IBM Security หน่วยงานด้านความปลอดภัยของ IBM เปิดแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสารสนเทศด้านความปลอดภัย X-Force Exchange มาตั้งแต่ปีที่แล้ว
สัปดาห์ก่อน มีผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของ IBM Security คือคุณ Diana Kelley ตำแหน่ง Executive Security Advisor มาเยือนเมืองไทย และผมมีโอกาสได้พูดคุยเกี่ยวกับสภาพการณ์ของวงการความปลอดภัยโลก ในสายตาของ IBM มีประเด็นที่น่าสนใจหลายอย่างทั้งเรื่อง ransomware, blockchain และความสำคัญของ security auditing ครับ
ไอบีเอ็มประกาศทดสอบหาความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกับ Japan Exchange Group (JPX) ร่วมกันทดสอบความเป็นไปได้ที่จะใช้เทคโนโลยี blockchain มาใช้ในการซื้อหุ้นในตลาดที่มีปริมาณการซื้อขายต่ำ พร้อมกับการเปิดบริการ blockchain บนบริการคลาวด์ Bluemix ของไอบีเอ็มเอง
โครงการนี้จะใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส (open blockchain) ที่ไอบีเอ็มเสนอให้เข้าไปอยู่ในความดูแลของโครงการ Hyperledger ของ Linux Foundation
นอกจากทดสอบการซื้อขายหุ้นร่วม JPX แล้ว open blockchain ยังร่วมมือกับ London Stock Enchange Group และ Kouvola Innovation จากฟินแลนด์เพื่อทดสอบความเป็นไปได้ในการในการใช้งานกับ IoT และลอจิสติก
ช่วงที่ผ่านมาเราเห็นข่าวของกลุ่มธนาคารดังๆ ระดับโลกก่อตั้งสตาร์ทอัพกลุ่มบริษัทขึ้นมาใหม่อย่าง R3CEV เพื่อทำการวิจัยเทคโนโลยี blockchain ไว้ใช้ในภาคธุรกิจการเงินกันอย่างมาก หรือแม้แต่ทางด้านตลาดหลักทรัพย์อย่าง NASDAQ เอง
โลกการเงินเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมแรกๆ ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างหนักด้วยความที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่กับข้อมูลเป็นหลักอยู่แล้ว ทุกวันนี้อุตสาหกรรมการเงินและการธนาคารเป็นลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทไอทีจำนวนมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วอุตสาหกรรมโดยรวมมีรูปแบบการดำเนินการไม่ต่างจากเดิมไปมากนัก รูปแบบของการทำงานที่มักรวมศูนย์โดยหน่วยงานแกนกลางและกระจายงานออกไปเป็นชั้นๆ เช่น ธนาคารที่เราอาจจะใช้บริการจากตู้เอทีเอ็มที่ดูแลโดยธนาคาร และธนาคารเองก็มีกระบวนการโอนเงินจากธนาคารอื่นๆ ผ่านสำนักหักบัญชีตรงกลางอีกทีหนึ่ง
R3CEV สตาร์ตอัพที่ใช้เทคโนโลยี blockchain จาก Bitcoin มาใช้แทนสำนักหักบัญชี (clearing house) ทำให้ธนาคารในเครือข่ายสามารถโอนเงินไปมาหากันได้โดยตรงประกาศผลทดสอบระบบกับธนาคารขนาดใหญ่ 11 แห่ง เช่น HSBC, Royal Bank of Scotland, UBS, Well Fargo สามารถทำธุรกรรมได้สำเร็จ
การทดสอบครั้งนี้ใช้เทคโนโลยีสมุดบัญชีแยกประเภทแบบกระจายตัว (distributed ledger) โดยเครือข่ายทำงานอยู่บน Microsoft Azure ตัวซอฟต์แวร์พัฒนาจาก Ethereum
Nasdaq ประกาศว่าทดลองระบบขายหลักทรัพย์ (หุ้น) บริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง โดยใช้เทคโนโลยี blockchain สำเร็จเรียบร้อยแล้ว
การขายหุ้นดังกล่าวผ่านทางบริษัท Chain ที่ทาง Nasdaq ไปร่วมลงทุนไว้ กระบวนการใช้เทคโนโลยี Linq ซึ่งนำ blockchain เป็นต้นแบบ ตอนนี้ยังมีธุรกรรมเพียงแค่รายการเดียว และไม่ได้เปิดเผยมูลค่าของธุรกรรมครั้งนี้
ช่วงนี้ในแวดวงการเงินมีการพูดถึงเรื่องเทคโนโลยี blockchain เป็นอย่างมากและแน่นอนว่าไม่เว้นแม้กระทั่งระบบของตลาดหลักทรัพย์เอง
ASX เจ้าของตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลีย สนใจใช้ระบบที่ใช้เทคโนโลยี blockchain จัดการความเสี่ยงเวลาซื้อขายหลักทรัพย์ โดยเฉพาะระบบชำระราคาหลักทรัพย์ (clearing) ที่ใช้เทคโนโลยี blockchain ที่กระจายตัว ไม่ได้รวมเป็นศูนย์กลาง ลดภาระการทำงานของระบบชำระราคาหลักทรัพย์แบบรวมศูนย์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้อย่างมาก
ปกติแล้วเวลาเราทำธุรกรรมทางการค้าระหว่างกัน มักจะมี Clearing House (ระบบหักบัญชี) เป็นระบบกลางเพื่อทำการชำระราคาและลงบัญชีไว้ให้ตรงกันทั้งสองฝ่าย และแน่นอนว่าโดยส่วนใหญ่จะเป็นธนาคาร
เมื่อเร็วๆ นี้ทางธนาคาร DBS และ Standard Chartered ได้เริ่มทดสอบระบบ Distributed Ledger และแน่นอนว่าระบบนี้พัฒนามาจากเทคโนโลยี blockchain ของ Bitcoin ซึ่งระบบที่สองธนาคารคิดค้นถือเป็นระบบแรกที่นำมาใช้ในการทำธุรกรรมทางการค้า
ระบบ Distributed Ledger เพิ่มความรวดเร็ว ลดต้นทุนทางการเงิน และเพิ่มความโปร่งใสในการทำธุรกรรมระหว่างกันโดยธนาคาร DBS และ Standard Chartered จะเริ่มชวนบริษัทเอกชนในสิงคโปร์มาทดสอบระบบนี้เพิ่มมากขึ้นในปีหน้า
บริษัทไอทีชั้นนำอย่าง IBM, Intel, Cisco และสถาบันการเงินชั้นนำอย่าง J.P.Morgan, MUFG, ANZ Bank, London Stock Exchange Group ประกาศรวมตัวตั้ง Open Ledger Project ซึ่งเป็นโครงการสร้างเทคโนโลยี blockchain ที่สามารถใช้งานได้ในระดับสูง (enterprise grade) อย่างเป็นทางการ
เหตุผลสำคัญในการก่อตั้งโครงการนี้ (แยกออกมาจากโครงการอย่าง Bitcoin ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแนวคิด blockchain) คือการรวมการวิจัยและการค้นคว้าด้าน blockchain ของบริษัทเหล่านี้ที่กระจัดกระจาย มารวมกันเป็นโครงการเดียว เพื่อสร้าง blockchain ที่ใช้งานในระดับองค์กร และเปิดซอร์สให้องค์กรอื่นๆ สามารถเข้ามาใช้งานได้ด้วย
หลังจากที่ Deutsche Bank เริ่มศึกษาเทคโนโลยี Blockchain มาสักพัก และตอนนี้ก็ได้ประสบความสำเร็จในการทดลองออกหุ้นกู้ (Corporate Bond) ซึ่งมีการทดสอบเป็นการภายในระหว่างบริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในการทดสอบภายในของทาง Deutsche Bank เองนั้นใช้เทคโนโลยีซึ่งดัดแปลงมาจากเทคโนโลยี Blockchain ทำให้การออกหุ้นกู้สามารถไถ่ถอนและสามารถจ่ายดอกเบี้ยของหุ้นกู้เองได้อัตโนมัติ ซึ่งมีการทดลองไปเมื่อไตรมาส 3 ที่ผ่านมา
เทคโนโลยีการประมวลผลแบบ Blockchain ที่ริเริ่มใช้งานใน Bitcoin กำลังได้รับความสนใจจากโลกการเงินการธนาคารมากขึ้นเรื่อยๆ โดยแวดวง FinTech (เทคโนโลยีด้านการเงิน) เริ่มมีบริษัทหน้าใหม่เข้ามาบุกเบิกตลาดนี้ รวมถึงธนาคารใหญ่หลายแห่งของโลก และบริษัทไอทียักษ์ใหญ่อย่าง IBM ด้วย
ผู้เล่นรายล่าสุดที่เข้ามาในตลาดนี้คือไมโครซอฟท์ โดยจับมือกับบริษัท ConsenSys นำบริการสร้าง Blockchain แบบปรับแต่งตามต้องการ Ethereum Blockchain as a Service (EBaaS) มารันบน Azure
หน่วยงานที่อยากได้ระบบ Blockchain ของตัวเอง (สำหรับใช้ในงานอื่นๆ นอกเหนือจาก Bitcoin) สามารถเช่าใช้บริการนี้บน Azure ได้ทันทีโดยไม่ต้องเตรียมระบบเอง
เทคโนโลยีเบื้องหลัง Bitcoin อย่าง blockchain ซึ่งมีหลายองค์กรกำลังสนใจและศึกษาอยู่ (ตัวอย่างเช่น Deutsche Bank ของเยอรมนี) แต่ล่าสุด IBM กำลังพัฒนาซอฟต์แวร์ซึ่งอิงกับเทคโนโลยีดังกล่าว และเตรียมที่จะเปิดเป็นซอฟต์แวร์แบบโอเพ่นซอร์สในอีกไม่กี่เดือนนี้
สำหรับซอฟต์แวร์ที่ IBM พัฒนาขึ้นนั้น จะไม่ใช่ซอฟต์แวร์ที่มุ่งเน้นไปที่เรื่องของการสร้างสกุลเงินแบบเสมือน (virtual currency) แต่เป็นเรื่องของการทำสัญญาบนโลกดิจิทัล (digital contracts) โดยข้อมูลจะถูกบันทึกเอาไว้เป็นสาธารณะบนอินเทอร์เน็ต
เพิ่งมีรายงานว่า Deutsche Bank ของเยอรมนีออกมาให้ความสนใจเทคโนโลยี Blockchain เมื่อเดือนก่อน วันนี้ธนาคารรายใหญ่ประกาศจับมือกับสตาร์ทอัพด้านการเงิน (FinTech) เพื่อสร้างเฟรมเวิร์คสำหรับนำเทคโนโลยี Blockchain มาประยุกต์ไปใช้ในธุรกรรมด้านการเงิน
บริษัทสตาร์ตอัพด้านการเงิน (FinTech) ที่เป็นข่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ Chain ที่ประกาศนำเทคโนโลยี blockchain แบบเดียวกับ Bitcoin (กระจายกันเก็บข้อมูลธุรกรรมทั้งหมด) มาใช้กับงานอื่นๆ ในโลกการเงิน
สิ่งที่ Chain สนใจไม่ใช่ตัวสกุลเงิน Bitcoin แต่เป็นเทคโนโลยี blockchain ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานด้านอื่นได้ โดย Chain จะใช้ความเชี่ยวชาญช่วยให้องค์กรที่อยากใช้ blockchain สามารถสร้างแอพของตัวเองบนเทคโนโลยีเหล่านี้ (ผ่าน API, SDK และบริการประมวลผล) ลูกค้ารายหนึ่งของ Chain คือตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq ที่เตรียมใช้ blockchain มาช่วยขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ในเดือนพฤศจิกายนนี้
ธนาคาร Deutsche Bank ของเยอรมนีออกมาเผยข้อมูลว่ากำลังศึกษาเทคโนโลยี blockchain แบบเดียวกับที่ใช้ในสกุลเงินเสมือนอย่าง Bitcoin เพื่อนำมาใช้งานในเชิงพาณิชย์
ตัวแทนของ Deutsche Bank ระบุว่าเทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูลเป็นบล็อคแล้วตรวจสอบกันเองอย่าง blockchain ออกแบบมาเพื่อสกุลเงินเสมือนเป็นหลัก แต่จริงๆ แล้วมันสามารถใช้กับงานด้านอื่นๆ ในโลกการเงินได้ด้วย เช่น หุ้น อนุพันธ์ (derivative) การตรวจสอบการฟอกเงิน เป็นต้น
ตอนนี้สถาบันการเงินหลายแห่ง เช่น CME Groupis, BNP Paribas, UBS เริ่มทดสอบการใช้ blockchain ในห้องแล็บของตัวเอง รวมถึงหน่วยงานกำกับดูแลด้านตลาดหลักทรัพย์ของยุโรป European Securities and Markets Authority ก็ประกาศรับฟังความเห็นเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้เช่นกัน
ธนาคาร UBS ของสวิตเซอร์แลนด์เปิดห้องวิจัยเทคโนโลยีในลอนดอน เพื่อศึกษาว่าเทคโนโลยี blockchain ของสกุลเงินเสมือนแบบ Bitcoin สามารถใช้กับวงการการเงินได้มากน้อยแค่ไหน
UBS บอกว่าห้องวิจัยแห่งนี้ต้องการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับอุตสาหกรรมการเงิน ทั้งการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ การประเมินความเสี่ยง และรวมถึงเทคโนโลยีใหม่อย่าง Bitcoin ด้วย
blockchain คือเทคโนโลยีที่ใช้ตรวจสอบการทำธุรกรรม (transaction) โดยใช้วิธีประมวลผลแบบกระจายศูนย์ และเปิดข้อมูลธุรกรรมทั้งหมดให้สาธารณะเข้าถึงได้ เทคโนโลยีนี้ได้รับการสนใจจากอุตสาหกรรมการเงินไม่น้อย และคาดว่าจะสามารถนำมาใช้กับการจ่ายเงิน-หลักทรัพย์ได้ด้วย
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลอังกฤษก็เคยตั้งงบ 10 ล้านปอนด์เพื่อศึกษาเทคโนโลยีสกุลเงินเสมือนเช่นกัน
สำนักข่าวรอยเตอร์อ้างแหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัว ระบุว่าไอบีเอ็มกำลังพิจารณาใช้เทคโนโลยีจาก Bitcoin มาทำระบบโอนเงินสกุลทั่วๆ ไปโดยไม่ต้องมีธนาคารให้บริการเป็นตัวกลาง
ระบบใหม่นี้จะใช้กระบวนการ blockchain จาก Bitcoin เข้ามารายงานการโอนเงินแต่ละครั้ง แต่เงินในรายการโอนจะเป็นเงินสกุลที่ใช้กันทั่วไป เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ แทนที่จะเป็นสกุลเงิน BTC กระบวนการ blockchain นี้ทำให้ไม่ต้องมีธนาคารมาควบคุมบัญชีของแต่ละคน อย่างไรก็ตามระบบใหม่ที่ไอบีเอ็มจะเสนอจะให้อำนาจธนาคารกลางของแต่ละชาติควบคุมได้
ตอนนี้โครงการยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และแหล่งข่าวก็ระบุว่าไอบีเอ็มกำลังเจรจากับหน่วยงานรัฐเพื่อขออนุญาตทำโครงการนี้