Meta AI (หรือ Facebook AI เดิม) ร่วมมือกับมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon สร้างเซ็นเซอร์รับสัมผัส (tactile sensor) ในชื่อ ReSkin ที่สามารถสร้างได้ง่าย ราคาถูก เปิดทางให้หุ่นยนต์ราคาถูกสามารถรับรู้แรงกดและทำงานประณีต เช่นการจับวัตถุบอบบางได้
ทีมวิจัยระบุว่า ReSkin นั้นสร้างได้ในราคาเพียง 200 บาทต่อชุดเมื่อผลิตทีละ 100 ชุด โครงสร้างของเซ็นเซอร์อาศัยแผ่น Elastomer ประกบอยู่กับเซ็นเซอร์ด้านล่าง โครงสร้างแบบนี้ทำให้ตัววงจรแยกออกจากตัว "ผิว" และการซ่อมบำรุงเมื่อผิวชำรุดก็เพียงลอกออกเท่านั้น ตัวเซ็นเซอร์มีความหนา 3 มิลลิเมตร สามารถอ่านค่าแรงกดได้ 400 ครั้งต่อวินาที ตัวผิวมีความทนทานประมาณ 50,000 ครั้ง
สำนักข่าว CNBC เปิดเผยที่มาของแนวคิด Metaverse ว่ามาจาก Jason Rubin ผู้บริหารของ Oculus เขียนเอกสารภายในชื่อ "The Metaverse" เป็นสไลด์ความยาว 50 หน้าเมื่อปี 2018 กระตุ้นให้บอร์ดบริหารของ Facebook ต้องคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง
Jason Rubin เป็นผู้ร่วมก่อตั้งสตูดิโอ Naughty Dog ในปี 1986 และโด่งดังในฐานะผู้สร้างเกม Crash Bandicoot เขาลาออกจาก Naughty Dog ในปี 2004 แล้วไปทำงานกับ THQ เป็นเวลาสั้นๆ ก่อนมาร่วมงานกับ Oculus ในปี 2014 จนถึงปัจจุบัน (ตำแหน่งปัจจุบันคือ VP Metaverse Content)
วิสัยทัศน์ของ Rubin วาดภาพ metaverse ออกมาเป็นการใช้ชีวิตในเมืองเสมือนจริง แต่งตัวอวตารของตัวเองได้ มีสกุลเงินเสมือน และเมื่อเจอกับคนอื่นที่น่าสนใจก็สามารถแต่งงานกันได้
จากการที่ Apple ปรับนโยบายความเป็นส่วนตัวบนอุปกรณ์ หรือ App Tracking Transparency กำหนดให้โซเชียลมีเดียต้องขอการยินยอมให้ติดตามข้อมูลที่ส่งผลต่อการมองเห็นโฆษณานั้น ล่าสุด Financial Times รายงานว่า ช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ นโยบายดังกล่าวส่งผลกระทบเป็นตัวเงินต่อแพลตฟอร์มอย่าง Snap, Facebook, Twitter และ YouTube ร่วมหมื่นล้านดอลลาร์
Facebook โชว์ภาพแว่นโค้ดเนม Project Cambria ซึ่งเป็นแว่นรุ่นใหม่ระดับไฮเอนด์ มีฟีเจอร์ระดับสูงอย่าง social presence, color Passthrough, pancake optics รวมถึงการเชื่อมต่อกับ Presence Platform มี passthrough API สำหรับนำภาพวัตถุภายนอกมาแสดงในแว่น (ลักษณะเหมือน HoloLens ของไมโครซอฟท์)
Facebook ประกาศชัดว่า Project Cambria ไม่ใช่ Oculus Quest 3 แต่จับอีกตลาดที่เทคโนโลยีสูงกว่านั้น ราคาแพงกว่า และเป็นแว่นที่เปิดโลกสู่ metaverse ตามวิสัยทัศน์ของบริษัท กำหนดการเปิดตัว Cambria บอกคร่าวๆ แค่ว่าปีหน้า 2022
ยังอยู่ที่ข่าว Facebook เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta เพื่อสะท้อนวิสัยทัศน์ว่าบริษัทต้องการไปไกลกว่าการเป็นโซเชียลมีเดีย มุ่งสู่โลกเสมือนหรือ Metaverse โดยตัวย่อในการซื้อขายหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แนสแดค จะเปลี่ยนจาก FB เป็น MVRS มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2021 เป็นต้นไป ส่วนโครงสร้างการเงินยังคงเหมือนเดิม
กรณีนี้อาจเทียบได้ว่าคล้ายกับกรณีของกูเกิล ที่ปรับโครงสร้างบริษัทโดยตั้งโฮลดิ้ง Alphabet ขึ้นมา และให้กูเกิลเป็นบริษัทย่อยในนั้น แต่ตัวย่อหุ้นของกูเกิลยังใช้ GOOG เหมือนเดิม และจำนวนหุ้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง
แม้ Facebook จะเปลี่ยนชื่อเป็น Meta แล้ว แต่เอกสารตีแผ่เรื่องราวภายในที่หลุดมาก่อนหน้านี้ก็ยังดำเนินต่อไป เอกสารภายในอีกชุดระบุว่า Faceobok เจอปัญหาจ้างคนมาทำงานยาก โดยเฉพาะงานตำแหน่งวิศวกร โดย Facebook ไม่สามารถหาผู้สมัครที่เพียงพอต่อความต้องการด้านวิศวกรรมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสำนักงานใหญ่ Bay Area
เรื่องชื่อบริษัทมีผลมากจริงๆ จากการที่ Facebook รีแบรนด์เป็น Meta ส่งผลให้หุ้นบริษัทอื่นที่ใช้ชื่อเดียวกันขึ้นด้วย โดย Meta Materials บริษัทเทคโนโลยีด้านวัสดุในแคนาดาหุ้นขึ้น โดยหลังจากปิดการซื้อขายในวันพฤหัสบดี หุ้นของ Meta Materials ซึ่งซื้อขายภายใต้ชื่อ MMAT เพิ่มขึ้นมากถึง 25%
Bloomberg ไปเจอรูปหลุดที่คาดว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Meta หรือในชื่อบริษัทเก่าว่า Facebook เป็นนาฬิกาอัจฉริยะที่มาพร้อมติ่งกล้องบนหน้าปัดนาฬิกาเลย โดย Bloomberg ไปเจอรูปนี้จากแอปพลิเคชันที่ใช้งานร่วมกับ Ray-Ban Stories หรือแว่นตาอัจฉริยะที่เปิดตัวมาก่อนหน้านี้
Mark Zuckerberg ให้สัมภาษณ์กับ The Verge ถึงการเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก Facebook เป็น Metaverse นอกจากเหตุผลเรื่องวิสัยทัศน์ใหม่ที่ไปไกลกว่าโซเชียลแล้ว มีประเด็นอื่นที่น่าสนใจดังนี้
เฟซบุ๊กประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ว่าจะเป็นบริษัทสำหรับให้บริการโลกเสมือน (metaverse) ที่มีบริการอื่นๆ นอกจากสื่อสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊ก โดย Mark Zuckerberg ระบุว่าคำว่า meta มาจากภาษากรีกที่แปลว่า "ไกลไปกว่า" (beyond) และบริษัทเฟซบุ๊กเองก็กำลังไปไกลกว่าข้อจำกัดของหน้าจอ หรือข้อจำกัดของระยะทาง
แนวทางการเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta ยังแปลว่าบริการอื่นๆ ไม่ต้องผูกกับเฟซบุ๊กเสมอไป บริการใหม่ๆ หลังจากนี้จะไม่ต้องการบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กเพื่อใช้งาน
ตอนนี้เฟซบุ๊กจดโดเมน meta.com ไว้แล้วแต่ยังไม่ได้ทำอะไรนอกจาก redirect เข้าไปยังเฟซบุ๊กเฉยๆ
อีกหนึ่งเอกสารภายในของ Facebook ที่ถูกเผยแพร่โดยอดีตพนักงาน Frances Haugen ต่อสื่อหลายหัวในช่วงนี้ เอกสารฉบับนี้เป็นงานวิจัยภายในของ Facebook เมื่อปี 2018 ที่ทดลองปิดระบบอัลกอริทึม News Feed ในการเลือกโพสต์มาแสดง คิดเป็นสัดส่วน 0.05% ของผู้ใช้ทั้งหมด เพื่อศึกษาดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ผลการทดลองพบว่าอัตรา engagement ลดลงอย่างมาก ผู้ใช้กดซ่อนโพสต์เพิ่มขึ้นถึง 50% และหันไปใช้งาน Facebook Groups แทน สิ่งที่เซอร์ไพร์สคือ Facebook กลับทำเงินจากค่าโฆษณาได้มากขึ้น เพราะคนเลื่อนหาโพสต์ที่น่าสนใจใน News Feed เยอะขึ้น เห็นโฆษณาจำนวนมากขึ้นซะอย่างนั้น
เมื่อผลการทดลองเป็นไปในทางลบ ทำให้ Facebook เลิกสนใจไอเดียนี้ และยังคงการใช้อัลกอริทึมเลือกโพสต์ "ที่น่าสนใจ" มาให้เราเห็นกันต่อไป
จากประเด็นเอกสารภายใน Facebook ชี้ชัดว่าวัยรุ่นใช้งานน้อยลง มองเป็นโซเชียลคนแก่ ล่าสุด ในการประชุมนักลงทุน Mark Zuckerberg เผยว่าบริษัทกำลังโฟกัสใหม่ เพื่อการใช้งานของคนหนุ่มสาว พร้อมบอกด้วยว่า อนาคตของ Facebook ก็คือคนหนุ่มสาวนี่แหละ
นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญใน Facebook และ Instagram โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อเอาใจคนหนุ่มสาวอายุ 18-29 ปีมากขึ้น แม้ว่าจะต้องแลกด้วยเงินจากผู้ใช้ที่มีอายุมากกว่าก็ตาม รวมถึงการใช้เงินหลายพันล้านเหรียญเพื่อสร้าง Metaverse ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ใหม่ขององค์กร
Facebook รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2021 ภาพรวมรายได้เพิ่มขึ้น 35% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนเป็น 29,010 ล้านดอลลาร์ เฉพาะรายได้จากโฆษณาเพิ่มขึ้น 33% เป็น 28,276 ล้านดอลลาร์ และมีกำไรสุทธิ 9,194 ล้านดอลลาร์
จำนวนผู้ใช้งาน Facebook เป็นประจำทุกเดือน (MAUs - monthly active users) เพิ่มขึ้น 6% เป็น 2,910 ล้านบัญชี ถ้าคิดรวมทุกบริการในเครือของ Facebook มีจำนวนรวม 3.58 พันล้านคน เพิ่มขึ้น 12%
ซีอีโอ Mark Zuckerberg กล่าวในแถลงการณ์ว่าเรายังมีความคืบหน้าที่ดีในไตรมาสนี้ และชุมชนของผู้ใช้งานยังคงเติบโต โดยเขาตื่นเต้นกับแผนงานในอนาคต โดยเฉพาะการสร้างสรรค์เนื้อหา ระบบการซื้อขาย และการสร้าง metaverse
สื่อสหรัฐหลายเจ้ายังเผยแพร่เอกสารภายในของ Facebook ที่หลุดออกมาโดย Frances Haugen อดีตพนักงานที่ออกมาแฉบริษัท ทำให้เรารู้ว่าจริงๆ แล้ว Facebook รับทราบปัญหาหลายอย่างอยู่แล้ว แต่ไม่ได้แก้ไขอย่างจริงจังนัก
เอกสารฉบับหนึ่งที่น่าสนใจเป็นรายงานภายในว่า วัยรุ่นในสหรัฐใช้งาน Facebook น้อยลงจริงๆ โดยตัวเลขในปี 2019 ลดลง 13% และการพยากรณ์ของทีมภายในเองคาดว่าจะลดลง 45% ในอีก 2 ปีข้างหน้า ส่วนกลุ่มผู้ใช้อายุ 20-30 ปีก็คาดว่าจะมีจำนวนลดลง 4% ในช่วงเวลาเดียวกัน
เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหตุ Facebook ถูกดูดข้อมูล 533 ล้านบัญชีอีกครั้ง เมื่อ Facebook ฟ้องร้องโปรแกรมเมอร์ชาวยูเครนรายหนึ่งชื่อว่า Alexander Solonchenko โดยเขาถูกกล่าวหาว่าดูดข้อมูลผู้ใช้งานไป 178 ล้านราย และนำลงขายในตลาดมืด
เว็บไซต์ Platformer ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในประเด็นข่าวลือว่า Facebook จะเปลี่ยนชื่อบริษัท ว่าตอนนี้ Mark Zuckerberg ยังไม่ตกลงใจว่าจะเลือกชื่ออะไรดี ส่วนช่วงเวลาประกาศชื่อใหม่เป็นไปได้ตั้งแต่วันจันทร์หน้า (25 ต.ค.) ซึ่งเป็นการแถลงผลประกอบการประจำไตรมาส ไปจนถึงงาน Oculus Connect ในวันพฤหัสหน้า (28 ต.ค.)
ไอเดียเรื่องการเปลี่ยนชื่อบริษัท Facebook มีมานานตั้งแต่ปี 2016 โดย Antonio Lucio อดีตหัวหน้าฝ่ายการตลาด (CMO) ในเวลานั้น ที่อยากเปลี่ยนชื่อบริษัทให้ต่างจากชื่อบริการ แต่ไอเดียนี้ไม่ได้รับการตอบรับ
The Verge รายงานว่า Facebook มีแผนจะเปลี่ยนชื่อบริษัทในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ รีแบรนด์ใหม่เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า บริษัทกำลังมุ่งสู่แนวทางการเป็น Metaverse ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ใหม่ที่ Facebok ประกาศมาก่อนหน้านี้
Facebook ประกาศว่าจะเริ่มทดสอบการใช้งานกระเป๋าเงินดิจิทัล Novi กับผู้ใช้จำนวนเล็ก ๆ เป็นกลุ่มแรก ในอเมริกาและกัวเตมาลา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดูความพร้อมของระบบดำเนินการ ตลอดจนระบบสนับสนุนลูกค้าทุกส่วนว่าสามารถทำงานได้เป็นอย่างดี
โครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล เปิดตัวตั้งแต่ปี 2019 โดยตอนแรกใช้ชื่อว่า Calibra เพื่อรองรับเงินสกุล Libra (ตอนนี้ชื่อ Diem) แต่ต่อมาก็เปลี่ยนชื่อเป็น Novi เพื่อไม่ให้สับสนกับชื่อ Libra ในตอนนั้น
Wall Street Journal ออกรายงานแฉ Facebook อีกครั้ง บอกว่าจริงๆ แล้ว Facebook ประสบความสำเร็จน้อยมากในการจัดการเนื้อหาที่มีความเกลียดชัง รูปภาพที่มีความรุนแรง ตลอดจนเนื้อหาอันตรายอื่นๆ ล่าสุด Facebook นำโดย Guy Rosen รองประธานฝ่าย Integrity ของ Facebook เขียนบล็อกคัดค้านว่า เนื้อหาแสดงความเกลียดชังหรือ Hate Speech ลดลงเกือบ 50% ในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ Facebook ประกาศตั้งทีม Metaverse Product Group ทำคอนเทนต์โลกเสมือนจริง เป็นวิสัยัศน์ใหม่ ก้าวจากบริษัทโซเชียลเป็นบริษัท Metaverse ล่าสุด Facebook มีความเคลื่อนไหวเพิ่มเติม ประกาศจ้างงานหมื่นตำแหน่งในยุโรปเพื่อลุยงานด้านนี้โดยเฉพาะ
Facebook ระบุว่ากุญแจสำคัญอย่างหนึ่งของโลก Metaverse คือเปิดกว้างและใช้หลักการการทำงานร่วมกัน ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม การทำให้สิ่งนี้เป็นจริงต้องใช้ความร่วมมือและความร่วมมือระหว่างบริษัท นักพัฒนา ผู้สร้าง และผู้กำหนดนโยบาย และ Facebook จำเป็นต้องลงทุนอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ Facebook จึงประกาศจ้างงานทักษะสูงหมื่นตำแหน่งในยุโรปให้ได้ภายใน 5 ปี
จากเหตุ Frances Haugen อดีตพนักงานเปิดเผยเอกสารภายในหลายพันหน้าต่อหน่วยงานกำกับดูแล ฝ่ายนิติบัญญัติ และผู้สื่อข่าว หรือที่เรารู้จักเอกสารดังกล่าวในชื่อว่า Facebook Files นั้น ล่าสุด Facebook เตรียมรับมือด้วยการประกาศกับพนักงานว่า จะเริ่มทำให้กลุ่มสนทนาออนไลน์บางหัวข้อจัดขึ้นในที่ปิดหรือเป็นส่วนตัวมากขึ้น เพื่อลดการรั่วไหลของข้อมูลและเอกสาร
ก่อนหน้านี้เราเห็นข่าว Frances Haugen อดีตพนักงาน Facebook ที่ออกมาแฉบริษัท โดยไปให้การกับสภาคองเกรส จนเป็นข่าวใหญ่กันมาแล้ว
ล่าสุดมีอดีตพนักงานอีกคนคือ Sophie Zhang อดีตนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลที่เคยทำงานกับ Facebook มานาน 3 ปี และถูกบริษัทไล่ออกเมื่อปีที่แล้ว เพราะเธอเขียนบันทึกภายในวิจารณ์บริษัทว่าไม่พยายามแก้ปัญหาข่าวปลอมและความเกลียดชังเท่าที่ควร โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ปัจจุบัน Facebook มีผู้ใช้ในสหรัฐและแคนาดาเพียง 10% แต่กลับได้ความสนใจของ Facebook มากที่สุด
Zhang บอกว่ามอบข้อมูลให้กับหน่วยงานภาครัฐแห่งหนึ่งแล้ว (ไม่ระบุชื่อหน่วยงาน) และยินดีไปให้การกับสภาคองเกรส
Louis Barclay นักพัฒนาชาวอังกฤษผู้พัฒนา Unfollow Everything ส่วนขยายบราวเซอร์ที่ให้ผู้ใช้งาน Facebook สามารถกด unfollow เพจและเพื่อนได้อัตโนมัติ ทำให้หน้าฟีดของ Facebook เป็นหน้าว่างเปล่าได้ เป้าหมายของเครื่องมือตัวนี้คือทำให้หน้าฟีดนั้นดีต่อสุขภาพใจของผู้ใช้งาน
ตัวส่วนขยาย Unfollow Everything เปิดใช้งานบน Chrome เมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2020 โดยมีนักวิจัยจาก University of Neuchâtel in Switzerland ที่อยากศึกษาว่าถ้าไม่มี News Feed บน Facebook แล้วจะส่งผลต่อความสุขของผู้ใช้งานในทางใดบ้าง รวมถึงระยะเวลาที่ผู้คนใช้ไปกับการเล่น Facebook ด้วย
Frances Haugen ที่ออกมาแฉ Facebook ว่าสนใจแต่ผลประโยชน์และสนับสนุน Hate Speech ล่าสุด Oversight Board บอร์ดอิสระที่กำกับดูแลเนื้อหาบนแพลตฟอร์มเรียก Frances Haugen เพื่อเข้าไปพูดคุยเรื่องนี้แล้ว
Haugen ทวีตว่า ได้ตอบรับคำเชิญ Oversight Board เรียบร้อย หลังบอร์ดโพสต์บนเว็บไซต์ ว่าได้ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับการกำกับดูแลคอนเทนต์ของ Facebook หลัง Haugen ออกมาแฉ ซึ่งทางบอร์ดต้องการพูดคุยกับ Haugen เพิ่มเติม
Haugen ระบุด้วยว่า Facebook โกหกบอร์ดหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งเจ้าตัวก็รอคอยการเปิดเผยความจริงให้กับบอร์ดอยู่
Nick Clegg รองผู้บริหาร Facebook ฝ่าย global affairs and communications และอดีตรองนายกอังกฤษพูดในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNN หลังถูกอดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์มาแฉ ว่า Facebook สนใจแต่ engagement เหนือผลกระทบอื่นๆ ต่อสังคม
ในตอนหนึ่ง Clegg ระบุถึงการเตรียมปรับปรุงบริการให้เป็นมิตรกับสุขภาพจิตของวัยรุ่นมากขึ้น โดยจะปรับคอนเทนต์ให้แสดงคอนเทนต์จากเพื่อนที่อยู่บนแพลตฟอร์มมากขึ้น ตามแนวทางใหม่คือ “เพื่อนมากขึ้น การเมืองน้อยลง” ("more friends, less politics.")