สำนักงานสิทธิบัตรยุโรปประกาศถอนสิทธิบัตรหมายเลข 3 718 565 B1 ที่เป็นสิทธิบัตรเทคโนโลยี mRNA ของ Moderna โดย BioNTech ที่กำลังมีคดีกับ Moderna ออกมาแสดงความยินดีกับการถอนสิทธิบัตรครั้งนี้
Moderna ฟ้อง Pfizer และ BioNTech มาตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว โดยระบุว่าทั้งสองบริษัทละเมิดสิทธิบัตรหลายฉบับ ยังไม่แน่ชัดว่าสิทธิบัตรฉบับนี้มีน้ำหนักมากเพียงใดในคำฟ้องของ Moderna
ที่มา - Yahoo!! News
องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ FDA ได้อนุมัติและอนุญาตให้ใช้วัคซีนโควิด 19 สูตรใหม่แบบฉุกเฉิน เพื่อให้ครอบคลุมการป้องกันไวรัสสายพันธุ์ใหม่ รวมถึงระบุว่าเพื่อลดปัญหาผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลในสหรัฐฯ ที่ตอนนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้น
วัคซีน mRNA ที่ได้รับอนุมัตินี้ผลิตโดย Moderna และ Pfizer โดยสามารถป้องกันไวรัสสายพันธุ์ Omicron XBB.1.5 รวมถึงสายพันธุ์ย่อย BA.2.86 และ EG.5.1 โดยจะเป็นสูตรสำหรับวัคซีนปี 2023-2024 ฉีด 1 เข็ม สำหรับบุคคลอายุ 5 ปีขึ้นไป
Albert Bourla ซีอีโอ Pfizer กล่าวว่าวัคซีนสูตรใหม่นี้คาดว่าจะส่งมอบได้ในไม่กี่วันข้างหน้า
Moderna ประกาศฟ้อง Pfizer และ BioNTech ฐานใช้สิทธิบัตรของ Moderna โดยระบุเทคโนโลยีสองตัวของ Moderna ที่ถูกใช้งานคือ การแก้ไขสารเคมีใน mRNA เพื่อผลิตวัคซีน และการเข้ารหัส (encode) สายโปรตีนของ spike จาก Coronavirus ที่ Moderna พัฒนาไว้ก่อนหน้าสำหรับโรค MERS
ก่อนหน้านี้ Moderna เคยประกาศว่าจะไม่บังคับใช้สิทธิบัตรในช่วงวิกฤติโรคระบาด แต่ก็ปรับแนวทางนี้หลังจากวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา ว่าจะไม่บังคับใช้สิทธิบัตรเฉพาะประเทศกลุ่ม 92 ประเทศรายได้ปานกลางถึงรายได้ต่ำเท่านั้น การฟ้องครั้งนี้ Moderna จึงระบุว่าจะเรียกร้องค่าเสียหายเฉพาะที่เกิดหลังวันที่ 8 มีนาคม และเกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ นอกจาก 92 ประเทศที่ยกเว้น
ทาง Moderna ยื่นฟ้องคดีนี้ในสหรัฐฯ และเยอรมนี
Albert Bourla ซีอีโอของบริษัทยา Pfizer ให้สัมภาษณ์กับรายการโทรทัศน์ช่อง CNBC ให้ข้อมูลว่าวัคซีนสูตรใหม่สำหรับไวรัสสายพันธุ์ omicron จะพร้อมใช้งานในเดือนมีนาคมนี้
Bourla บอกว่าวัคซีนสูตรใหม่ถูกปรับปรุงเพื่อใช้กับไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ ด้วย ไม่ใช่ omicron อย่างเดียว และตอนนี้ Pfizer เริ่มผลิตวัคซีนสูตรปรับปรุงในจำนวนหนึ่งแล้ว เผื่อว่ารัฐบาลต้องการใช้งานจะได้มีวัคซีนพร้อมใช้ทันที
ที่มา - CNBC
Pfizer ประกาศความก้าวหน้าของยากินรักษาโควิด 19 PAXLOVID ว่าช่วยลดความเสี่ยงในการเข้ารักษาในโรงพยาบาลและเสียชีวิตได้ 89% ในกลุ่มผู้ใหญ่ความเสี่ยงสูงจากการติดเชื้อ
ทั้งนี้ Pfizer บอกว่าบริษัทเตรียมส่งข้อมูลเพื่อขออนุมัติใช้งานจากคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) โดยเร็วที่สุด ซึ่งจะเป็นยากินรักษาโควิด 19 ตัวที่สองต่อจาก Molnupiravir ของ Merck
ยากินของ Pfizer ตัวนี้จะยับยั้งการขยายตัวของไวรัสในเซลล์มนุษย์ ซึ่งวิธีการดังกล่าวก็ใช้อยู่ในยารักษา HIV ผลการศึกษาของ Pfizer พบว่ามี 0.8% ของคนไข้ที่รับยาภายใน 3 วันแรก ที่ต้องเข้ารักษาต่อในโรงพยาบาลต่อ เทียบกับตัวเลข 7.0% ของคนไข้ที่รับยาหลอก
Pfizer และ BioNTech รายงานผลการทดลองเฟส 2/3 ของวัคซีน Comirnaty หรือ BNT162b2 ในเด็กอายุ 2-11 ปี โดยรายงานผลกลุ่มแรกของเด็กอายุ 5-11 ปีออกมาก่อนพบว่าผลการตรวจภูมิขึ้นดีระดับเดียวกับเด็กที่อายุมากกว่า
การทดลองในเด็กอายุ 5-11 ปี ครั้งนี้จะใช้วัคซีนเพียง 10 ไมโครกรัม จากเดิมที่กลุ่มอายุสูงกว่านี้จะใช้วัคซีน 30 ไมโครกรัม แต่การฉีดจะยังคงฉีดสองเข็มห่างกันสามสัปดาห์เช่นเดิม เด็กในกลุ่มที่รายงานผลครั้งนี้มีจำนวน 2,268 คน ระดัลแอนติบอดี geometric mean titer (GMT) อยู่ที่ 1,197.6 (กรอบความมั่นใจ 95% อยู่ในช่วง 1106.1 - 1296.6) นับว่าอยู่ในช่วงเดียวกับการใช้วัคซีน 30 ไมโครกรัมในกลุ่มอายุ 16-25 ปี ที่ได้ 1146.5 (กรอบความมั่นใจ 95% อยู่ในช่วง 1045.5 - 1257.2)
องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ประกาศรับรองวัคซีน Comirnaty (BNT162b2) ที่พัฒนาร่วมกันระหว่าง Pfizer-BioNTech นับเป็นวัคซีนตัวแรกที่ได้รับการรับรองแบบเต็มรูปแบบ โดยช่วงเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาวัคซีนทั้งหมดที่ใช้งานกันเป็นการรับรองฉุกเฉินเท่านั้น ทาง FDA ระบุว่าการรับรองเต็มรูปแบบนี้น่าจะช่วยสร้างความมั่นใจให้คนที่ยังลังเลให้ไปรับวัคซีนได้
การจัดการข่าวปลอมวัคซีนดูเป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้ไม่มีวันจบสิ้น Facebook ออกมาเผยว่าได้ระงับบัญชีจำนวนหลักร้อย ที่มีความเกี่ยวข้องกับเอเจนซี่รายหนึ่ง ที่ให้เงินอินฟลูเอนเซอร์ให้พูดดิสเครดิตวัคซีน COVID-19 โดยเฉพาะ Pfizer และ AstraZeneca
Pfizer และ BioNTech ประกาศความร่วมมือกับ Biovac Institute ผู้ผลิตยาในแอฟริกาใต้เตรียมผลิตวัคซีน COVID-19 จากโรงงานของ Biovac ในเมือง Cape Town คาดว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ภายในสิ้นปีนี้ และเมื่อเดินหน้าผลิตได้เต็มที่จะมีกำลังผลิตปีละ 100 ล้านโดส
วัคซีนจากโรงงานของ Biovac จะขายเฉพาะในเครือสหภาพแอฟริกัน (African Union) ที่มีสมาชิก 55 ชาติเท่านั้น
Biovac เคยรับจ้างผลิตวัคซีน Prevnar 13 ให้กับ Pfizer มาตั้งแต่ปี 2015 การประกาศความร่วมมือครั้งนี้แม้จะเป็นเพียงการลงนามจดหมายแสดงเจตจำนงค์ (letter of intent) แต่ทั้งสองฝ่ายจะเริ่มกระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยีและติดตั้งอุปกรณ์ทันที
คณะกรรมการที่ปรึกษา (advisory panel) ของหน่วยงานกำกับดูแลสินค้าทางการแพทย์แห่งชาติจีน (National Medical Products Administration - NMPA) เห็นชอบให้รับรองวัคซีน BNT162b2 ให้ใช้งานในจีน หาก NMPA อนุญาตตามคำแนะนำของที่ปรึกษาก็จะนับเป็นวัคซีน mRNA ตัวแรกที่จะได้อนุญาตให้ใช้งานในจีน
Shanghai Fosun Pharmaceutical Group ผู้ถือสิทธิ์จำหน่ายวัคซีนตัวนี้ในแถบจีน (Greater China รวมไต้หวันและฮ่องกง) แถลงเรื่องนี้ในงานประชุมผู้ถือหุ้นระบุว่ากระบวนการตรวจสอบเป็นไปด้วยความราบรื่น และทาง NMPA กำลังเร่งตรวจสอบข้อมูล
Foxconn และ TSMC แถลงว่าเจรจาซื้อวัคซีน COVID-19 จาก Pfizer เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยลงนามซื้อผ่าน Shanghai Fosun Pharmaceutical Group ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายของ BioNTech ในภูมิภาค สัญญาซื้อวัคซีนทั้งหมด 10 ล้านโดส รวมมูลค่า 350 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 10,000 ล้านบาท สองบริษัทแบ่งกันจ่ายคนละครึ่ง
แก้ไข: เวอร์ชั่นแรกของบทความนี้ระบุว่าเป็นการสั่งซื้อ 20 ล้านโดส เมื่อตรวจสอบพบว่ายอดรวมสองบริษัทคือ 10 ล้านโดส
วัคซีนทั้งหมดจะมาจากโรงงานของ BioNTech ในเยอรมัน คาดว่าจะเริ่มส่งมอบได้ภายใต้สิ้นเดือนกันยายน แต่ทาง Fosun ก็เตือนว่ากำหนดการที่แท้จริงนั้นขึ้นกับเงื่อนไขอีกหลายอย่าง
TSMC เริ่มติดต่อรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เพื่อขอซื้อวัคซีนหลังจากเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมารัฐบาลไต้หวันเห็นชอบให้ทั้ง TSMC และ Foxconn เป็นตัวแทนรัฐบาลเจรจาซื้อวัคซีนจาก Pfizer รวม 10 ล้านโดส
ทั้งสองบริษัทพยายามจัดหาวัคซีนด้วยตัวเองเพื่อมาฉีดให้พนักงานและครอบครัวระยะหนึ่งแล้ว แต่ระบุว่าจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างเต็มรูปแบบ และหลังจากเข้าพูดคุยกับประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน คณะรัฐมนตรีไต้หวันก็ประกาศอนุญาตให้ทั้งสองบริษัทเป็นตัวแทนรัฐบาลจัดหาวัคซีนเป็นทางการ
หนังสือพิมพ์ The New York Times อ้างแหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัวตน ระบุว่าองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) กำลังจะอนุมัติวัคซีน BNT162b2 ที่พัฒนาโดย Pfizer และ BioNTech ให้ใช้งานกับเด็กอายุ 12 ถึง 15 ปีได้ภายในไม่กี่วันข้างหน้านี้ จากเดิมที่อนุมัติให้ใช้งานในผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไปเท่านั้น
Pfizer ทดสอบเฟส 3 กับกลุ่มตัวอย่างอายุ 12-15 ปีเสร็จสิ้นไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาในกลุ่มทดสอบขนาดเล็ก มีผู้ร่วมทดสอบเพียง 2,260 คนแบ่งทดสอบยาหลอกและวัคซีนอย่างละครึ่ง หลังการทดสอบพบผู้ติดเชื้อ COVID-19 จำนวน 18 ราย อยู่ในกลุ่มได้รับยาหลอกทั้งหมด
Pfizer บริษัทยาจากสหรัฐ ผู้ผลิตวัคซีน mRNA สำหรับป้องกันไวรัส COVID-19 ยืนยันว่าพบวัคซีนปลอมประเทศเม็กซิโกและโปแลนด์ แถมวัคซีนเหล่านี้ยังถูกซื้อขายกันในราคาสูงถึง 1,000 ดอลลาร์ต่อโดส หรือกว่าสามหมื่นบาท
จากการตรวจสอบพบว่าคลีนิคแห่งหนึ่งในเม็กซิโก ฉีดวัควีนปลอมไปแล้วถึง 80 คน แม้ว่าตัววัคซีนปลอมนี้จะดูไม่มีอันตรายอะไรก็ตาม ผู้ได้รับวัคซีนปลอมก็จะไม่มีภูมิคุ้มกัน COVID-19 เช่นกัน ส่วนในโปแลนด์ Pfizer ระบุว่าวัคซีนปลอมที่พบ เป็นเพียงเครื่องสำอางค์ คาดว่าอาจเป็นครีมกันรอยเหี่ยวย่น
Dr. Özlem Türeci ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าทีมแพทย์ (Chief Medical Officer) ของ BioNTech ที่พัฒนาวัคซีน COVID-19 ร่วมกับ Pfizer ได้ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่าเธอคาดว่าผู้คนน่าจะต้องฉีดวัคซีนโดสที่ 3 เมื่อภูมิคุ้มกันเริ่มอ่อนลง ซึ่งสอดคล้องกับที่ซีอีโอของ Pfizer เคยระบุไว้ก่อนหน้านี้
นอกจากนี้เธอยังคาดว่าต่อไปผู้คนจะต้องฉีดวัคซีนนี้เพื่อกระตุ้นภูมิทุกปีเหมือนวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ด้วยเหตุผลเดียวกันคือนักวิทยาศาสตร์คิดว่าภูมิคุ้มกันจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
หนังสือพิมพ์ The Japan Times อ้างแหล่งข่าวในรัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่า Pfizer ตกลงส่งมอบวัคซีนเพิ่มเติมอีก 50 ล้านโดสให้กับญี่ปุ่นภายในเดือนกันยายนนี้ หลังนายกรัฐมนตรี Yoshihide Suga ต่อสายตรงเจรจากับซีอีโอ Pfizer โดยตรง
หากสัญญานี้สำเร็จจริง ญี่ปุ่นก็จะซื้อวัคซีน Pfizer ถึง 194 ล้านโดส โดยที่ผ่านมารัฐบาลญี่ปุ่นสั่งซื้อวัคซีนจาก Pfizer มาแล้วสองรอบ รอบแรกปีที่แล้ว 120 ล้านโดสและรอบสองเมื่อต้นปี 24 ล้านโดส
แม้จำนวนตัวเลขโดสที่รัฐบาลสั่งซื้อจะมาก แต่จำนวนโดสนี้ต้องใช้เข็ม low dead space สำหรับดึงวัคซีนซึ่งอาจหาเข็มพิเศษนี้ได้ไม่เพียงพอ ก่อนหน้านี้รัฐบาลญี่ปุ่นยืนยันว่าแม้จะหาเข็มไม่ได้แต่ก็จะใช้เข็มธรรมดาฉีดต่อไป
ออสเตรเลียเปลี่ยนแผนการฉีดวัคซีนในประเทศ โดยแนะนำให้ประชาชนอายุต่ำกว่า 50 ปีฉีดวัคซีนจาก Pfizer แทน แม้เดิมจะสั่งซื้อวัคซีน ChAdOx1 ของ AstraZeneca ไปถึง 50 ล้านโดส เพียงพอสำหรับประชากรทั้งประเทศแล้วก็ตาม
ทางการเกาหลีใต้เตรียมใช้เข็ม low dead space ดึงวัคซีนออกจากขวดวัคซีนของ Pfizer ให้ได้ถึง 7 โดสต่อขวด แม้ว่าบริษัทจะระบุว่าหนึ่งขวดใช้ได้ 5-6 โดสก็ตาม
ก่อนหน้านี้ Pfizer เคยระบุว่าวัคซีนหนึ่งขวดสามารถใช้เข็มดึงออกมาได้ 5 โดสสำหรับเข็มธรรมดา และ 6 โดสสำหรับเข็ม low dead space แต่ช่วงเดือนที่ผ่านมา มีบุคคลากรสาธารณสุขหลายชาติ เริ่มหาทางดึงเอาวัคซีนที่เหลือในก้นขวดออกมาใช้งาน เช่น ฟินแลนด์ และสเปน
หลังอิสราเอลฉีดวัคซีน BNT162b2 ของ Pfizer และ BioNTech เป็นวงกว้าง วันนี้ทาง Sheba Medical Center ก็เผยแพร่รายงานประสิทธิภาพของวัคซีนก่อนฉีดเข็มที่สอง หลังจากที่ Pfizer รายงานว่าประสิทธิภาพของวัคซีนสูงกว่า 90% แต่จะนับประสิทธิภาพหลังจากฉีดเข็มที่สองไปแล้ว 7 วัน
Sheba Medical Center สำรวจประสิทธิภาพจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ได้รับวัคซีนจำนวน 7,214 คน เมื่อสำรวจเฉพาะในช่วงหลังจากได้รับวัคซีนวันที่ 15-21 พบว่ามีผู้ติดเชื้อแบบมีอาการ 9 คน คิดเป็น 1.9 เคสต่อ 10,000 คน-วัน เทียบกับคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนอยู่ที่ 5 เคสต่อ 10,000 คน-วัน คิดเป็นประสิทธิภาพ 76% อย่างไรก็ดีควรระวังว่าข้อมูลนี้เป็นข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นพนักงานสาธารณสุขที่อายุไม่สูงนัก
รัฐมนตรีสาธารณสุขญี่ปุ่นยอมรับว่าอาจจะไม่สามารถจัดหาเข็มฉีดยาแบบ low dead space ได้มากพอ ทำให้ต้องใช้เข็มธรรมดาที่ฉีดได้ 5 โดสต่อขวดแทนที่จะเป็น 6 โดส เหลือวัคซีน Pfizer ใช้งานได้สำหรับประชากร 60 ล้านคน หรือ 120 ล้านโดส
ก่อนหน้านี้ Pfizer เคยระบุว่าสามารถเร่งกำลังผลิตได้จนถึง 2,000 ล้านโดสภายในปี 2021 แต่มีเงื่อนไขสำคัญคือต้องใช้เข็มแบบเหลือยาค้างในเข็มน้อย (low dead space) ทำให้เพิ่มปริมาณโดสได้ถึง 20% แต่ภาวะเข็ม low dead space ขาดตลาดทั่วโลกเช่นนี้ทำให้คาดเดาได้ยากว่าจะมีผู้ได้รับวัคซีนจริงๆ เป็นจำนวนเท่าใด
Maccabi Healthcare Services กลุ่มสถานพยาบาลในอิสราเอลรายงานผลการติดตามผู้ได้รับวัคซีน COVID-19 หลังฉีดวัคซีนของ Pfizer ไปแล้ว โดยพบว่ากลุ่มผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่สองไปแล้วหนึ่งสัปดาห์ (รวมระยะเวลาหลังเข็มแรก 28 วัน) มีอัตราการติด COVID-19 ต่ำเพียง 0.015% หรือเพียง 20 คนจากกลุ่มที่ติดตามผล 128,600 คนในช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ เทียบกับประชากรทั่วไปที่ติด COVID-19 คิดเป็น 0.65% ในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ผู้ป่วยที่ได้รับวัคซีนทั้งหมดยังไม่มีใครต้องนอนโรงพยาบาลหรือเป็นไข้สูงกว่า 38.5 องศาเซลเซียสเลย
การติดตามนี้ไม่ใช่การทดลองเช่นที่ผ่านมาที่มีกลุ่มควบคุมและสุ่มได้รับยาหลอก การแปลผลจึงควรทำด้วยความระมัดระวัง แต่ผลการติดตามก็สอดคล้องกับการทดลองเฟสสามของ Pfizer
ญี่ปุ่นประกาศจองวัคซีน COVID-19 จาก Pfizer เพิ่มสำหรับประชากร 12 ล้านคน (น่าจะ 24 ล้านโดสแต่ที่มาระบุเป็นจำนวนคน) ทำให้ยอดจองวัคซีนรวมตอนนี้เกินจำนวนประชากร 126 ล้านคนไปมาก ขณะที่ประชากรญี่ปุ่นอายุเกิน 15 ปีอยู่ที่ 90 ล้านคน และรัฐบาลจะฉีดวัคซีนให้ประชาชนอายุเกิน 16 ปีเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นจองวัคซีนจาก Pfizer สำหรับประชากร 60 ล้านคน, AstraZeneca สำหรับประชากร 60 ล้านคน, และ Moderna สำหรับประชากร 25 ล้านคน ทำให้ข้อตกลงการจองก่อนหน้านี้ก็เกินจำนวนประชากรอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี Pfizer เป็นเพียงบริษัทเดียวที่ยื่นขอรับรองในญี่ปุ่นในตอนนี้ และคาดว่าจะได้รับอนุญาตใช้งานกลางเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้การจองวัคซีนจาก Pfizer ก่อนจะเปิดโอกาสให้ญี่ปุ่นฉีดวัคซีนเป็นวงกว้างได้เร็วขึ้น
อิสราเอลประกาศแผนการฉีดวัคซีน BNT162b2 จาก Pfizer ให้ประชาชนที่อายุสูงกว่า 16 ปี รวม 5.2 ล้านคนภายในสิ้นเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ หลังจากสามารถเจรจารอบใหม่กับ Pfizer เพื่อเพิ่มปริมาณการส่งมอบได้
หากเป็นไปตามแผนเดือนนี้อิสราเอลจะฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ประชาชน 1.3 ล้านคนและเข็มที่สองอีก 1.8 ล้านคน เดือนกุมภาพันธ์จะฉีดเข็มแรก 1.45 ล้านคนและเข็มที่สอง 1.75 ล้านคน สุดท้ายเดือนมีนาคมจะฉีดทุกคนที่อายุเกิน 16 ปี และเข็มที่สองอีก 1.7 ล้านคน
Pfizer ปรับตัวเลขประมาณการณ์ยอดส่งมอบวัคซีน BNT162b2 เพิ่มจาก 1,300 ล้านโดสในสิ้นปี 2021 เป็น 2,000 ล้านโดสเพียงพอสำหรับประชากรโลกถึงพันล้านคน พร้อมกับระบุว่ายอดส่งมอบปัจจุบันอยู่ที่ 32.9 ล้านโดส แม้ว่าจะผลิตถึงสิ้นปี 2020 ได้ 50 ล้านโดสตามที่ประกาศไว้แต่ต้องรอส่งมอบตามคำสั่งซื้อ
จำนวนโดสที่เพิ่มขึ้นมาจากกำลังผลิตของสารต้นทางจากผู้ผลิตภายนอกเพิ่มมากขึ้น, ทางบริษัทเพิ่มโรงงานผลิตใหม่, และการใช้เข็มแบบเหลือยาค้างในเข็มน้อย (low dead space syringe) ทำให้ฉีดได้ขวดละ 6 เข็มแทนที่จะได้เพียง 5 เข็ม
รัฐบาลสิงคโปร์รับวัคซีน COVID-19 ที่ผลิตโดย Pfizer และ BioNTech ล็อตแรกทางเที่ยวบิน SQ7979 ที่ใช้เครื่อง Boeing 747-400 นับเป็นจุดเริ่มต้นของการฉีดวัคซีนของสิงคโปร์
วัคซีน BNT162b2 มีข้อจำกัดสำคัญคือต้องเก็บรักษาที่อุณหภูมิ -80 องศาเซลเซียส เพื่อยืนยันว่าระบบขนส่งพร้อมทางสายการบินสิงคโปร์ได้บินเที่ยวบินทดสอบพร้อมกล่องเย็นเปล่าๆ และเครื่องบันทึกอัตราการระเหิดของน้ำแข็งแห้งเพื่อยืนยันว่าระบบขนส่งมีความพร้อมสำหรับวัคซีนจริง โดยหลังจากวัคซีนลงจากเครื่องจะนำไปเก็บไว้ที่โกดังเย็น SATS Coolport