ตั้งแต่เกิดโควิด-19 การทำงานที่บ้านก็กลายเป็นไฟล์ทบังคับของการทำงาน เมื่อโควิดซาลง พนักงานก็เริ่มชินกับการทำงานที่บ้านจนหลายบริษัทต้องปรับการทำงานมาเป็นแบบ hybrid ที่ผสมระหว่างการทำงานในออฟฟิศและการทำงานที่บ้าน รูปแบบการทำงานที่ไม่เหมือนเดิม ทำให้เทรนด์การทำงานเปลี่ยนไปด้วย สิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในองค์กรก็ได้เห็นคราวนี้
เมื่อบริษัทต้องประนีประนอมกับความต้องการของพนักงานเพื่อแข่งขันกันดึงดูดคนเก่ง ๆ และมีทักษะเข้ามาทำงาน วัฒนธรรมการทำงานจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง พามาดู 10 เทรนด์การทำงานยุคใหม่ รู้ไว้ก่อนจะได้ปรับตัวได้ทัน
ความเป็นธรรมและความเท่าเทียมเป็นประเด็นสำคัญในที่ทำงาน
ในโลกของการทำงาน เราต้องยอมรับว่าทักษะและประสบการณ์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะส่งผลกับ ประสิทธิภาพในการทำงานของเราแน่นอน แต่ทักษะกลับไม่ใช่สิ่งจำเป็นเพียงอย่างเดียว นั่นก็เพราะส่วนใหญ่แล้วเราไม่ได้ทำงานคนเดียว เราต้องร่วมมือและประสานงานกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ความสามารถทางด้านสติปัญญาหรือ IQ จึงต้องมาพร้อมกับความฉลาดทางอารมณ์หรือ EQ นั่นเอง
EQ คืออะไร?
EQ คือความสามารถในการเข้าใจและจัดการกับอารมณ์ ความรู้สึก ทั้งของตัวเองและเพื่อนร่วมงานของเรา และเมื่อเรามีความเข้าใจก็จะสามารถสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนและบรรยากาศในที่ทำงานในเชิงบวกที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน
อยากมี EQ จำเป็นต้องมีทักษะอะไรบ้าง?
เวลาสัมภาษณ์งาน เรามักจะถูกยิงคำถามปลายเปิดที่ไม่รู้จะตอบยังไงให้ถูกต้องและถูกใจผู้สัมภาษณ์ โดยเฉพาะคำถามว่า “ทำไมคุณอยากทำงานที่นี่” ทำให้เหล่านักล่างานมือใหม่ ที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์สัมภาษณ์งาน หรือรู้จักอุตสาหกรรม รู้จักบริษัทดีเท่าไหร่ อาจไม่รู้จะตอบอย่างไรหรือเตรียมตัวอย่างไร
เรามีคำแนะนำง่าย ๆ ที่ช่วยให้คำตอบนั้นดูมีน้ำหนัก และเพิ่มโอกาสได้งานมากขึ้นมาฝาก
การเปลี่ยนงานบ่อยหรือ Job Hopping แต่ก่อนถูกมองว่าเป็นในแง่ลบว่าผู้ที่เปลี่ยนงานบ่อยเป็นคนที่ไม่อดทนและไม่จริงจังกับการทำงาน แต่หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เทรนด์การทำงานก็เปลี่ยนไป การเปลี่ยนงานบ่อย อาจจะกลับกลายเป็น New Normal โดยเฉพาะในกลุ่ม Millenials และ Gen Z และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
บริษัท Barworks ผู้ให้บริการ co-working space จากอเมริกา ทำสัญญาเช่าใช้งานตู้โทรศัพท์สาธารณะในสหราชอาณาจักร 15 แห่ง และเตรียมดัดแปลงให้เป็นสำนักงานแบบจุ๋มจิ๋มให้คนเช่าใช้นั่งทำงานได้ผ่านแอพ ซึ่งตู้โทรศัพท์สาธารณะในอังกฤษเหล่านี้กระจายอยู่ในเมืองต่างๆ ซึ่งรวมทั้ง London, Leeds และ Edinburgh ด้วย
จากตู้โทรศัพท์สีแดงสดโดดเด่นเห็นแต่ไกล ด้วยพื้นที่ภายในขนาด 9 ตารางฟุต มันจะถูกตกแต่งใหม่ มีโต๊ะทำงานพร้อมเก้าอี้สำหรับหนึ่งคน พร้อมจอทีวีขนาด 25 นิ้ว เครื่องพิมพ์และเครื่องสแกนเอกสาร, แป้นพิมพ์และเมาส์ไร้สาย, แบตเตอรี่สำรองสำหรับชาร์จไฟให้โทรศัพท์, หม้อต้มเครื่องดื่ม, ปลั๊กไฟ และแน่นอนมีอินเทอร์เน็ต Wi-Fi พร้อมให้ใครก็ตามที่ยอมจ่ายค่าเช่าให้ Barworks สามารถเข้าไปใช้งานได้ ภายใต้ชื่อเรียกทางการค้าว่า Pod Works
เราคงทำใจยอมรับได้ไม่ยากหากได้ทราบข้อมูลเงินเดือนพนักงานของบริษัทไอทีทั้งหลายในแถบ Silicon Valley ว่าสูงกว่าเราขนาดไหน ด้วยปัจจัยที่แตกต่างของตลาดแรงงาน, สภาพเศรษฐกิจของประเทศและองค์กร ตลอดจนปัจจัยแวดล้อมอื่นที่ทำให้ตัวเลขเงินตอบแทนพนักงานสะท้อนตามคุณค่าของงานออกมาสูงอย่างน่าประทับใจ แต่สำหรับเด็กฝึกงานล่ะ? คุณจะคิดอย่างไรหากรู้ว่าตัวเลขเฉลี่ยเงินเดือนเด็กฝึกงานของบางบริษัทแถวนั้นสูงกว่า 200,000 บาทต่อเดือน?
กูเกิลทำเซอร์ไพรส์พนักงานด้วยการแจกโบนัสพิเศษในช่วงวันหยุดคนละ $1,000 พร้อมทั้งประกาศขึ้นเงินเดือนให้พนักงานทุกคนอย่างน้อย 10% ทันที โดยมีผลตั้งแต่เดือนมกราคมปีหน้าเป็นต้นไป โดยโบนัสและการขึ้นเงินเดือนพิเศษในครั้งนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปรับเงินเดือนประจำปีตามปกติของบริษัท
หลายคนอาจมองว่าโบนัสพิเศษ $1,000 ดูเล็กน้อยมาก แต่ถ้าเทียบกับจำนวนพนักงาน 20,000 คนทั่วโลก ก็เป็นเงิน 20 ล้านเหรียญเข้าไปแล้ว โดย Eric Schmidt ได้ส่งอีเมล์แจ้งพนักงานทุกคนในบริษัทถึงข่าวดีนี้ ว่าจากผลสำรวจภายในบริษัท พบว่าเงินเดือนมีผลต่อพนักงานมากกว่าโบนัส หุ้นหรือสวัสดิการอื่นๆ บริษัทจึงตัดสินใจขึ้นเงินเดือนพนักงานทุกคนโดยทันทีอย่างน้อยคนละ 10%
สรุปแล้ว เงินเดือนชนะทุกอย่าง !!
ปีนี้นับเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับหลายต่อหลายบริษัทที่เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจ หลายที่ใช้วิธีลดเงินเดือน ตัดโบนัส ตัดค่าใช้จ่าย ไปจนถึงการปลดพนักงาน อย่างไรก็ตามในช่วงสิ้นปี บริษัทจัดหางานชื่อดัง Kelly และ Adecco ประเทศไทยได้ออกรายงานสรุปมาตรฐานเงินเดือนไทยในปีนี้ และแนะนำไปถึงต้นปีหน้า
เริ่มจาก Adecco ที่สรุปว่าปีนี้เมืองไทยไม่ได้รับผลกระทบมากเท่ากับประเทศอื่นๆ ในยุโรป และงานในสายไอทีก็ยังคงมีรายได้และการจ้างงานเพิ่มขึ้น ในขณะที่สายงานอื่นๆ มีรายได้ปรับเพิ่มไม่มากนัก ไปจนถึงลดลงจากปีก่อน
ส่วนทาง Kelly ได้สรุปรายได้ในสายไอทีดังนี้
Ben Southall นักระดมทุนเพื่อการกุศล วัย 34 ปีจากเมืองแฮมเชอร์ประเทศอังกฤษ ได้รับเลือกให้เป็นผู้ดูแลเกาะแฮมมิลตัน ประเทศออสเตรเลีย เอาชนะผู้เข้าแข่งจาก 200 ประเทศ 35,000 คน โดยเขาจะได้รับหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลเกาะสวรรค์แห่งนี้ พร้อมค่าจ้างเป็นเงิน 110,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 6 เดือน
Best Job in The World เป็นแคมเปญที่จัดหาเจ้าหน้าที่ดูแลเกาะที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยนอกจากรายได้ที่เป็นตัวเงินแล้ว ยังมีสวัสดิการณ์อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นห้องพักหรูขนาด 3 ห้องนอน, บริการอาหาร, สปาหรู, ตั๋วเครื่องบินไปกลับประเทศบ้านเกิด รวมทั้งงานที่ต้องทำก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร คือตื่นเช้ามาให้อาหารปลา ถ่ายรูป วิดีโอ เขียนบล็อกและทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์เกาะ
Dr Brent Coker จากภาควิชาการจัดการและการตลาด ของมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น พบว่าผู้ที่เล่นอินเทอร์เน็ตเพื่อความสนุกที่ทำงาน (Workplace Internet Leisure Browsing - WILB) โดยจำกัดเวลาเล่นไม่ถึง 20% ของเวลาทั้งหมดนั้นมีประสิทธิภาพในการทำงานดีกว่าคนที่ไม่เล่นเลยถึง 9% นอกจากนี้จากการสำรวจยังพบว่าเกือบ 70% ของคนที่ใช้อินเทอร์เน็ตที่ที่ทำงานนั้นมีการใช้เพื่อความสนุกสนานเป็นหลัก โดยกิจกรรมที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ คือการหาข้อมูลของผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ, อ่านข่าว, เล่นเกมออนไลน์ และดูวิดีโอผ่านทาง YouTube
ภายใต้ข่าวร้ายที่ออกมาเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นการปลดพนักงานหรือยอดขายที่ตกต่ำ แต่งานในสายไอทีก็ยังคงเป็นงานที่มีรายได้ดีและมีความน่าสนใจสูง นิตยสาร Business Week ร่วมกับ Payscale ได้จัดอันดับ 10 เมืองที่น่าทำงานที่สุดในสายไอทีขึ้นมา
การจัดอันดับนั้น ดูจากรายได้ในแต่ละสายงานโดยเฉลี่ย อัตราการเติบโต ค่าครองชีพและจำนวนของบริษัทไอทีรายใหญ่ที่เปิดอยู่ในเมืองนั้นๆ โดยรายงานดังกล่าวได้เปิดเผยว่ารายได้ของพนักงานในระดับปฎิบัติการอย่างเช่นโปรแกรมเมอร์ จะมีรายได้สูงในเมืองที่มีบริษัทยักษ์ใหญ่เปิดอยู่อย่างเช่นไมโครซอฟท์หรือกูเกิล แต่ในเมืองที่เป็นหัวเมืองหลักทางธุรกิจ อย่างเช่น ที่นิวยอร์ก รายได้ของพนักงานในระดับบริหารจะสูงกว่าเมืองอื่นๆ
จากที่ได้มีงานวิจัยชิ้นก่อนที่ สรุปว่า การใช้ instant messaging ทำให้คนทำงานถูกขัดจังหวะบ่อย ๆ นำไปสู่ประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง
Ohio State University และ Hniversity of California ได้ทำการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับผู้ที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์จำนวน 912 คน พบว่าการใช้ระบบ instant messaging ในบางรูปแบบสามารถลดการถูกขัดจังหวะการทำงานได้ โดยผู้ใช้สามารถกำหนดสถานะของตัวเองให้เพื่อนร่วมงานได้รับทราบ ว่าสะดวกในการพบปะพูดคุยหรือไม่ รวมทั้งยังสามารถใช้ข้อความโต้ตอบขนาดสั้น ซึ่งใช้เวลาน้อยกว่าการพบปะพูดคุยกัน และสามารถเลือกที่จะโต้ตอบกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ได้ในภายหลัง ในช่วงเวลาที่ผู้ใช้รู้สึกว่าตนเองสะดวกที่จะโต้ตอบ
เว็บ RescueTime ได้รายงานผลการรวบรวมเวลาการทำงานของคนจำนวนมาก รวมเวลาหน้าจอคอมพิวเตอร์กว่าสี่แสนชั่วโมงแยกย่อยตามซอฟต์แวร์ที่ใช้งานพบว่าไมโครซอฟท์ยังคงครองเวลาหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้เป็นอับดับหนึ่ง โดยห้าอันดับแรกของเวลาบนหน้าจอคือ
สำหรับตัวเว็บ Google.com นั้นอยู่อันดับสิบ และเกมตัวเดียวใน 20 อันดับแรกคือ World of Warcraft
บ้านเราต้อง Hi5