ไมโครซอฟท์ประกาศหยุดทำ Windows Subsystem for Android (WSA) ของ Windows 11 โดยจะซัพพอร์ตถึงวันที่ 5 มีนาคม 2025 (อีกหนึ่งปีจากนี้) ส่วนสโตร์ Amazon Appstore on Windows ก็จะปิดบริการในวันเดียวกัน

ตอนนี้ Amazon Appstore on Windows ปิดการรับแอพใหม่เพิ่ม และตัวสโตร์ไม่สามารถเข้าถึงได้จาก Microsoft Store แล้ว แต่นักพัฒนาแอพเดิมยังอัพเดตแอพได้ต่ออีก 1 ปี และผู้ใช้ที่ติดตั้งแอพไปแล้วสามารถใช้งานได้ตามปกติเช่นกัน

ไมโครซอฟท์ประกาศว่าเริ่มทดสอบโฆษณาแอพบนร้าน Microsoft Store แล้ว หลังประกาศว่า Microsoft Store จะมีโฆษณามาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม

แนวทางการโฆษณาของ Microsoft Store คงไม่ต่างจากสโตร์ขายแอพของบริษัทอื่นๆ อย่าง App Store หรือ Play Store มากนัก นักพัฒนาสามารถจ่ายเงินเพื่อแสดงแอพของตัวเองให้เด่นขึ้น ในหน้าผลการค้นหาหรือหน้าแสดงแอพตามหมวด โดยจะขึ้นข้อความว่า "Ad" ให้รู้ว่าเป็นโฆษณา

ไมโครซอฟท์ประกาศอัพเดตฟีเจอร์ให้ Windows 11 เป็นครั้งแรกนับจากออกตัวจริงเมื่อเดือนตุลาคม 2021 ตามที่ประกาศไว้ล่วงหน้า ของใหม่มีด้วยกัน 4 อย่างคือ

รองรับการรันแอพ Android ผ่าน Amazon Appstore Preview อย่างเป็นทางการแล้ว (ยังจำกัดเฉพาะผู้ใช้ในสหรัฐ) มีแอพและเกมมากกว่า 1,000 ตัว การใช้งานต้องอัพเดต Microsoft Store ก่อน

ต่อจากข่าว Play Store บังคับใช้แพ็กเกจ Android App Bundle (.aab) แทน APK ทำให้หลายคนสงสัยกันว่า นโยบายนี้จะกระทบกับสโตร์ทางเลือกอื่นๆ หรือไม่

ล่าสุด Amazon Appstore ออกมาประกาศแล้วว่าจะรองรับ Android App Bundle แน่นอน นักพัฒนาสามารถเลือกได้ว่าจะส่งแอพเป็นแพ็กเกจ APK เหมือนเดิม หรือจะส่งเป็น bundle ก็ได้เช่นกัน ส่วนกำหนดการอย่างละเอียดจะประกาศอีกครั้ง

ของใหม่อีกอย่างของ Windows 11 คือการรองรับแอพจาก Android มารันบนวินโดวส์โดยตรง โดยใช้เทคโนโลยีของอินเทลชื่อ Intel Bridge ในการนำแอพ Android มารันบนซีพียู x86 (ยังไม่ระบุชัดว่าทำงานอย่างไร)

ส่วนการใช้งานจะติดตั้งผ่าน Microsoft Store ที่ไปดึงแอพมาจาก Amazon Appstore อีกทีหนึ่ง (ไม่ใช่ Google Play Store) จึงอาจมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนแอพอยู่บ้าง โดยแอพที่ไมโครซอฟท์นำมาโชว์คือ TikTok เวอร์ชัน Android ที่รันได้เหมือนแอพวินโดวส์ตามปกติ

ไมโครซอฟท์บอกว่าจะอธิบายรายละเอียดเรื่องนี้เพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

หลัง Google และ Apple ประกาศลดค่าธรรมเนียมร้านค้าแอป Amazon ก็ร่วมด้วย ประกาศลดค่าธรรมเนียมเหลือ 20% ให้นักพัฒนารายเล็กที่ทำรายได้จากแพลตฟอร์มไม่ถึง 1 ล้านดอลลาร์ต่อปีบน Amazon Appstore

อย่างไรก็ตาม อัตราใหม่ของ Amazon ยังมากกว่าของ Google และ Apple ซึ่งลดลงมาอยู่ที่ 15% ซึ่ง Amazon ก็พยายามที่จะชดเชยความแตกต่างนี้ด้วยการให้นักพัฒนา 10% ของรายได้นักพัฒนาในรูปแบบของเครดิตสำหรับใช้งานบริการคลาวด์ AWS

Amazon ถอดแอพช็อปปิ้ง Amazon App for Android Phones ของตัวเองออกจาก Google Play หลังจากกูเกิลปรับนโยบายแอพในเดือนกันยายน ทำให้แอพของ Amazon ที่มีลิงก์ไปยังร้านขายแอพของตัวเอง Amazon Appstore กลายเป็นผิดกฎของ Google Play

กฎใหม่ของกูเกิลห้ามไม่ให้แอพใดๆ สนับสนุนหรือส่งเสริมให้ใช้ร้านขายแอพอื่นที่ไม่ใช่ Play Store ซึ่งแอพของ Amazon มีขายสินค้าและเนื้อหาดิจิทัลของตัวเองผ่าน Amazon Appstore จึงถือว่าผิดกฎข้อนี้

Amazon Appstore เปิดบริการเพิ่มในอีก 41 ประเทศขยายความครอบคลุมรวมเป็น 236 ประเทศแล้ว โดยชาติในภูมิภาคอาเซียนที่เปิดให้บริการเพิ่มเติม ได้แก่ บรูไน, มาเลเซีย, และสิงคโปร์

ชาติในอาเซียนที่เปิดให้บริการมาก่อนหน้านี้แล้วได้แก่ ไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, และฟิลิปปินส์ ทำให้ตอนนี้เหลืออีกชาติเดียวในอาเซียนที่ยังไม่เปิดบริการ คือ เมียนมาร์

ที่มา - TechCrunch, Amazon

หลังจากที่ BlackBerry เปิดความสามารถในการให้ผู้ใช้นำเอาแอพ Android ไปรันบน BB10 ได้ตรงๆ ใน BlackBerry 10.2.1 จากเดิมที่จะต้องแปลงไฟล์จาก APK เป็น BAR ก่อน วันนี้ BlackBerry ได้ประกาศความร่วมมือกับ Amazon ในการนำเอา Amazon Appstore ติดตั้งมาเป็นส่วนหนึ่งของ BlackBerry 10 อย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้ การติดตั้ง Amazon Appstore บน BlackBerry 10 นั้น จะมาพร้อมกับ BlackBerry 10.3 ที่จะปล่อยให้กับผู้ใช้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงในสหรัฐอเมริกาปีนี้

ในรอบปีที่ผ่านมาเราเห็นความพยายามผลักดัน "แอพที่สร้างด้วย HTML5" ให้มีศักดิ์ฐานะเท่าเทียมกับแอพแบบเนทีฟมากขึ้นเรื่อยๆ (ข่าวล่าสุด: กูเกิลออกเครื่องมือแปลง Chrome Apps ไปเป็นแอพรันบน Android/iOS)

ทิศทางของอเมซอนก็ไปในทางเดียวกับกูเกิล โดยเมื่อปีที่แล้ว Amazon Appstore เพิ่มหมวด "เว็บแอพ" ที่เขียนด้วย HTML5 เข้ามาเป็นการทดสอบตลาด โดยยังจำกัดว่าแอพ HTML5 ต้องเป็นแอพฟรีเท่านั้น

ล่าสุด Amazon Appstore อนุญาตให้นักพัฒนาเว็บแอพสามารถตั้งราคาแอพของตัวเองเป็นสกุลเงินต่างๆ ได้แล้ว อย่างไรก็ตามอเมซอนยังไม่เปิดเผยข้อมูลว่ามีเว็บแอพอยู่ในระบบเป็นจำนวนเท่าไรครับ

Amazon ยังเดินหน้าต่อไปเงียบๆ กับร้านขายแอพ Amazon Appstore ของตัวเอง โดยล่าสุดผู้บริหารออกมาให้สัมภาษณ์ว่ามีแอพในร้านมากกว่า 100,000 ตัวแล้ว ถือว่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมากกว่าเท่าตัว เขายังให้ข้อมูลว่าลูกค้าในระบบ Amazon มีแนวโน้มจะจ่ายเงินซื้อแอพหรือเนื้อหาในแอพมากกว่า เพราะลูกค้าทั้งหมดผูกระบบจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าอื่นของ Amazon อยู่แล้ว

ร้านขายแอพมือถือ Amazon Appstore เปิดให้นักพัฒนาส่ง "เว็บแอพ" ที่เขียนด้วย HTML5 ขึ้นไปเผยแพร่บนหน้าร้านได้แล้ว

คำว่า "เว็บแอพ" ในที่นี้คือแอพที่อยู่บนเว็บไซต์จริงๆ ไม่ใช่แอพมือถือที่เขียนด้วย HTML5 แต่ต้องติดตั้งลงในเครื่องนะครับ ดังนั้นนักพัฒนาหรือบริษัทที่มีเว็บแอพพลิเคชันอยู่แล้ว ก็เพียงแค่ส่ง URL พร้อม metadata ที่ Amazon กำหนด เท่านี้แอพจะไปโผล่ใน Amazon Appstore เหมือนกับแอพปกติ

มหากาพย์เครื่องหมายการค้า Amazon Appstore (ที่แอปเปิลฟ้องว่าละเมิดชื่อ App Store) จบลงแล้ว โดยทั้งสองฝ่ายตกลงยุติคดีในชั้นศาล หลังแอปเปิลยินยอมว่าจะไม่ฟ้อง Amazon เรื่องการละเมิดเครื่องหมายการค้าอีกแล้ว

โฆษกของแอปเปิลแถลงว่าแอปเปิลจะเลิกสนใจประเด็นนี้ และยังทิ้งท้ายไว้ว่าความนิยมของ App Store ในปัจจุบันทำให้ลูกค้าไม่สับสนว่าจะต้องไปหาแอพจากที่ไหน ส่วน Amazon ก็ออกมาแสดงความยินดีกับเรื่องนี้ และบอกว่าจะเดินหน้าพัฒนา Appstore ของตัวเองต่อไป

ในวันที่ 17 ที่ผ่านมา ทางอเมซอนปล่อยอัพเดต 5.3.6 สำหรับ Kindle Paperwhite แล้วครับ

ข้อมูลรายละเอียดของการอัพเดตตามหน้าเว็บไซต์มีเพียงเรื่องเดียว คือ การปรับปรุงเวลาจะสั่งซื้อหนังสือจากหนังสือตัวอย่าง จากเดิมที่มีปุ่ม "Buy This Book Now" ซึ่งเมื่อกดปุ่มก็จะเป็นการชำระเงินและโหลดหนังสือทันที เปลี่ยนมาเป็น "Buy for $xx.xx" แทน ซึ่งเป็นการแจ้งข้อมูลราคาหนังสือที่จะกำลังจะสั่งซื้อ ทำให้หนอนหนังสือตัวน้อยๆ ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ว่าไม่ได้ตั้งใจซื้อ เพราะไม่รู้ว่าราคาหนังสือตัวเต็มๆ ของหนังสือตัวอย่างที่กำลังอ่านเพลินๆ นั้นเล่มละเท่าไร

หลังจากที่มีแผนเดินสายเปิดตัวกว่า 200 ประเทศและมีรายชื่อประเทศที่จะไปเดินสายออกมาแล้ว ขณะนี้แผนการเดินสายได้เริ่มต้นขึ้นแล้วที่จีนแผ่นดินใหญ่นี่เองครับ

โดยรายงานนี้มาจาก Reuters ครับ ซึ่ง Reuters เผยว่าขณะนี้ Amazon ได้เปิดให้บริการ Amazon Appstore ในประเทศจีนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งการเข้าไปของ Amazon ครั้งนี้จะทำให้อำนาจของกูเกิลที่เดิมก็ไม่ค่อยถูกกับรัฐบาลจีนอยู่แล้วอ่อนลงทันที เพราะทุนเดิม Google Play Store ในประเทศจีนไม่สามารถซื้อและขายแอพพลิเคชันได้ แต่กลับกัน Amazon Appstore จะสามารถขายแอพพลิเคชันได้ตามปกติ ดังนั้นมันน่าจะส่งผลเสียในด้านลบต่อ Google Play พอสมควร

จากข่าวเก่า Amazon Appstore เตรียมเปิดให้บริการเพิ่มเติมกว่า 200 ประเทศ วันนี้ รายชื่อประเทศที่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการได้รับการเปิดเผยจาก Amazon มาแล้วครับ โดยหนึ่งในนั้นมีประเทศไทยของเราด้วย

สำหรับในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกันประเทศที่มีรายชื่อในรอบนี้ ก็มี กัมพูชา ลาว เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และไทย ส่วนมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ยังคงต้องรอต่อไป

ใครที่เตรียมส่ง app ของตัวเองลง Amazon Appstore จัดไปได้เลยครับ

เมื่อปลายปีที่แล้วเคยมีข่าวทำนองนี้มาแล้ว และเราก็เห็นก้าวสำคัญอย่างการเปิด Amazon Appstore ในยุโรปมาแล้ว และวันนี้ Amazon ได้ประกาศออกมาว่า เตรียมเปิดให้บริการ Amazon Appstore เพิ่มเติมกว่า 200 ประเทศทั่วโลก นอกเหนือจากการที่เปิดให้ใช้งานในสหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น และในยุโรปบางประเทศครับ

โดยรายชื่อประเทศบางส่วนที่เปิดเผยมาแล้ว จะมีแคนาดา, ออสเตรเลีย, เม็กซิโก, เกาหลีใต้ และแอฟริกาใต้ครับ แต่รายชื่อเต็มๆ ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจาก Amazon เลยแม้แต่น้อย

เป็นคดีที่ลากยาวมาเกือบปีแต่ก็มาถึงตอนจบแล้ว จากกรณีที่แอปเปิลฟ้อง Amazon ว่าละเมิดเครื่องหมายการค้า "App Store" ในชื่อ Amazon Appstore for Android ซึ่งแอปเปิลอ้างว่าทำให้ลูกค้าสับสน โดยศาลมีคำสั่งยกฟ้องคดีนี้ครับ จากก่อนหน้านี้ได้สั่ง

Amazon เผยสถิติที่น่าสนใจของ Amazon Appstore ดังนี้

• ยอดดาวน์โหลดแอพเพิ่มขึ้น 500% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลมาจาก Kindle Fire นั่นเอง
• จำนวนเกมที่รองรับ GameCircle เพิ่มขึ้นเท่าตัว หลัง Kindle Fire HD วางขาย
• ยอดดาวน์โหลด SDK สำหรับฟีเจอร์ in-app purchase และ GameCircle เพิ่มขึ้นเท่าตัวหลัง Kindle Fire HD วางขาย
• แอพ 23 ตัวจากแอพรายได้สูงสุด 25 อันดับแรก ใช้เทคโนโลยี in-app purchase ของ Amazon

ที่มา - Amazon

ตอนที่ Amazon เปิดตัวร้านขายแอพของตัวเองในชื่อ Appstore หลายคนอาจฝากความหวังว่ามันจะมาต่อกรกับ Android Market/Google Play ได้อย่างสูสี แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่ามันใช้ได้เฉพาะในสหรัฐเท่านั้น

เวลาผ่านมาปีครึ่ง Amazon ประกาศขยายตลาด Appstore ออกมานอกสหรัฐแล้ว โดยประเทศที่ได้ใช้งานคือสหราชอาณาจักร เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี และสเปน

นับตั้งแต่แอมะซอนเปิดตัว Appstore สำหรับแอนดรอยด์เมื่อปีที่แล้ว ก็จำกัดการให้บริการเฉพาะลูกค้าในสหรัฐอเมริกามาตลอด จนล่าสุด แอมะซอนก็ได้ประกาศออกมาว่า บริการ Appstore นี้กำลังจะขยายไปยังประเทศอื่นๆ แล้ว

รายชื่อประเทศที่เปิดเผยออกมาแล้วตอนนี้ประกอบไปด้วยสหราชอาณาจักร เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี และสเปน โดยระบุเวลาไว้ว่าฤดูร้อนนี้ (นับตามเขตอบอุ่นเหนือก็จะตกในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม)

แอพของนักพัฒนาที่อยู่ในระบบอยู่แล้วจะสามารถดาวน์โหลดได้จากประเทศอื่นๆ โดยอัตโนมัติ และนักพัฒนาสามารถเข้าไปเลือกได้ว่าจะให้เผยแพร่ในประเทศใดบ้างหรือตั้งราคาที่แตกต่างกันได้

หนึ่งในฟีเจอร์ที่ดีที่สุดของ Amazon Appstore อย่าง Test Drive ที่ให้ลองใช้แอพจริงผ่านเว็บเบราว์เซอร์ที่ตอนนี้ยังมีให้ใช้แค่บนเดสก์ท็อปเท่านั้น แต่หลังจากอัพเดตใหม่ปล่อยออกมา แอนดรอยด์บางรุ่น (ซึ่ง Amazon ไม่บอก) เมื่อเข้าแอพที่รองรับ Test Drive จะมีไอคอนสีเขียวๆ สำหรับลองใช้งานอยู่

ข้อจำกัดเดิมของ Test Drive ยังอยู่เหมือนเดิมคือใช้ได้เฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น (อยากใช้ก็ VPN กันตามศรัทธา) ส่วนแอพที่มีให้ลองใช้เพิ่มขึ้นเป็น 100 แอพแล้ว ส่วนจะเปิดให้ใช้จริงได้เมื่อไรก็ไม่มีรายละเอียดครับ

จากข่าวเก่าที่ได้รายงานไว้ว่า Amazon จะเปิดตัว in-app purchase เร็ว ๆ นี้ วันนี้ทาง Amazon ได้ปล่อย API ของ in-app purchase ใน Amazon Appstore เรียบร้อยแล้ว

ความสามารถก็ไม่ต่างกับระบบของ Play Store ของ Google สักเท่าไหร่นัก และสามารถรองรับกับ Android ทุกเครื่อง (รวมถึง Kindle Fire) ซึ่งนักพัฒนาคนไหนสนใจก็สามารถดูคลิปตัวอย่างท้ายเบรค หรือที่ Amazon Appstore Developers ได้เลยครับ

ที่มา : Engadget

Bloomberg รายงานข่าวว่า Amazon Appstore กำลังทดสอบฟีเจอร์ in-app purchase เป็นการภายใน ซึ่งถ้าเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อไร ก็จะช่วยให้ Amazon Appstore มีวิธีการหารายได้ที่ทัดเทียมกับ Apple App Store และ Google Play Store มากขึ้น

นักพัฒนาแอพที่หารายได้จากการขายสินค้าภายในแอพ ก็อยากให้มีฟีเจอร์นี้ใน Amazon Appstore อยู่แล้ว เพื่อสร้างรายได้จากผู้ใช้ Kindle Fire ที่มีอยู่มากพอสมควร

ตามแผนของ Amazon จะหักส่วนแบ่ง 30% จากการขายสินค้าภายในแอพ ซึ่งเป็นอัตรามาตรฐานของวงการอยู่แล้ว

ที่มา - Bloomberg

ประเด็นที่ Android Market (หรือ Google Play ในปัจจุบัน) โดนวิจารณ์มาตลอดคือแอพเยอะจริงแต่ทำเงินต่อแอพไม่ได้เยอะมากนัก

ล่าสุดมีข้อมูลเชิงสถิติของบริษัทวิจัย Flurry เทียบรายได้ของ "แอพยอดฮิต" จากร้านขายแอพ 3 รายใหญ่คือ iTunes App Store, Amazon Appstore, Google Play ผลปรากฏว่า iTunes App Store ชนะตามคาด

แต่ที่เหนือความคาดหมายของหลายๆ คนคือ Amazon Appstore ทำรายได้น้อยกว่า iTunes App Store เพียงเล็กน้อย ในขณะที่ทั้งสองรายนี้ทิ้ง Google Play แบบไกลสุดกู่