หลายๆ คนที่เป็นพุทธศาสนิกชน อาจจะคุ้นเคยกับการที่เราต้องไปนิมนต์พระสงฆ์ถึงวัด เพื่อให้มางานนอกสถานที่ ประเพณีเช่นนี้ก็เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น แต่ล่าสุด Amazon ญี่ปุ่น ได้เปิดบริการนิมนต์พระออนไลน์ ผ่านทางเว็บไซต์ของตัวเองแล้ว
การนิมนต์พระผ่านออนไลน์นี้เป็นความร่วมมือกับบริษัทท้องถิ่น Minrevi ที่ดำเนินการนิมนต์พระให้กิจกรรมของฆราวาส อัตราค่าบริการในระดับเริ่มต้น (รวมการนิมนต์พระ รถรับส่ง และเงินถวายพระ) อยู่ที่ 35,000 เยน ต่อครั้ง (ประมาณ 10,000 บาท) และมีระดับอื่นๆ เพิ่มเติม ตามแต่กำลังเงินและศรัทธา ซึ่งคนญี่ปุ่นหลายคนชื่นชอบบริการนี้มาก เพราะง่ายและราคาไม่แพง ผิดกับการไปนิมนต์เองที่อาจต้องเสียเงินขั้นต่ำสูงถึงครั้งละ 100,000 เยน (ประมาณ 30,000 บาท)
Amazon รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 4/2015 มีรายได้ 35,747 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2014 และตัดปัจจัยความผันผวนค่าเงิน รายได้จะเพิ่มขึ้นถึง 26% ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 482 ล้านดอลลาร์ สูงที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัท
AWS ยังคงเป็นธุรกิจที่ต้องจับตาดูสำหรับ Amazon โดยรายได้เติบโตถึง 69% ในไตรมาสที่ผ่านมา และมีกำไรขั้นต้น 687 ล้านดอลลาร์ (อัตรากำไร 29%) ขณะที่กำไรขั้นต้นของอีคอมเมิร์ซอยู่ที่ 1,063 ล้านดอลลาร์ ถ้าหาก AWS ยังเติบโตและรักษาความสามารถในการทำกำไรได้แบบนี้ ก็อาจเป็นส่วนธุรกิจที่ทำเงินให้ Amazon ได้มากกว่าอีคอมเมิร์ซเสียอีก
AWS เปิดบริการ AWS Certificate Manager ทำให้ลูกค้าที่ใช้ Elastic Load Balancing และ CloudFront สามารถให้บริการเว็บเข้ารหัสได้โดยไม่ต้องเสียเงินค่าใบรับรองเพิ่มเติมอีก
เมื่อปีที่แล้วอเมซอนยื่นเรื่องขอเป็น root CA ในฐานข้อมูลของมอซิลล่าและแอนดรอยด์ แต่ระหว่างนี้ใบรับรองจะได้รับการรับรองโดย "Amazon Root CA 1" ที่ถูกรับรองโดย "Starfield Services Root Certificate Authority - G2" ต่อมาอีกที
Amazon ประกาศเปิดตัว Dash Replenishment Service (DRS) ช่วงปลายปีที่แล้ว โดยเป็นบริการพิเศษที่ Amazon จับมือกับผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายยี่ห้อ เพื่อให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านั้นสั่งของที่มันต้องการได้เอง เช่นเครื่องพิมพ์สั่งหมึกเอง, เครื่องซักผ้าสั่งผงซักฟอกเอง ฯลฯ
ในช่วงแรกที่เปิดตัวยังมีอุปกรณ์ที่รองรับบริการนี้น้อยมาก แต่ล่าสุดมีเพิ่มมาอีกหลายเจ้า Amazon จึงถือโอกาสประกาศอีกครั้ง พร้อมทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่รองรับบริการนี้ก็กำลังออกวางตลาดและพร้อมให้บริการแล้ว อาทิ
ลำโพงอัจฉริยะ Amazon Echo ได้ฟีเจอร์ใหม่ชื่อ Kindle Books by Alexa ให้ผู้ช่วยส่วนตัว Alexa อ่านหนังสือในระบบ Kindle ให้เราฟังได้ด้วย
Alexa จะอ่านอีบุ๊กในไลบรารี Kindle ของเราโดยใช้เทคโนโลยี text-to-speech แบบเดียวกับที่ใช้อ่านบทความและข่าวให้เราฟัง แต่น่าเสียดายว่ายังไม่สามารถฟัง audiobook จากระบบ Audible ได้ ความสามารถก็ยังถือว่าจำกัดอยู่บ้างครับ
เราทราบดีว่า Amazon ทำธุรกิจมากมายหลายอย่าง ทั้งอีคอมเมิร์ซ ฮาร์ดแวร์ สื่อ คลาวด์ ฯลฯ ธุรกิจล่าสุดที่บริษัทกำลังเริ่มทำคือพัฒนาชิปขายกับเขาบ้างครับ
Amazon ซื้อบริษัทพัฒนาชิป Annapurna Labs จากอิสราเอลเมื่อปีที่แล้ว และบริษัทก็เปิดตัวชิป SoC ตัวแรกชื่อว่า Alpine เรียบร้อยแล้ว ชิปตัวนี้ออกแบบมาสำหรับอุปกรณ์กลุ่มเราเตอร์ไร้สายและ NAS โดยใช้ซีพียูตระกูล ARM
ในวันหนึ่ง ชายหนุ่มผู้หนึ่งนามว่า Pedro ซึ่งอาศัยอยู่ในไอร์แลนด์ กำลังแอบอู้งานมาเล่นอินเทอร์เน็ตในที่ทำงาน เขาเปิดเว็บไซต์อเมซอน ณ เยอรมนี แล้วพบว่าในรถเข็นของเขามีสินค้าวางอยู่หนึ่งหน่วย ด้วยความแปลกใจเขาจึงคลิกเข้าไป เขาได้พบกับ "แท่งหรรษา" ขนาดยักษ์สีชมพูวางอยู่ในนั้น ที่แย่กว่านั้นคือผู้ร่วมงานหญิงของเขาก็ดันเห็นของนั่นซะด้วย
ก่อนหน้านั้นไม่นาน Pedro ได้สั่งหนังสือจากทางอเมซอนเยอรมนีเล่มหนึ่ง และมีปัญหากับการสั่งซื้อในครั้งนั้น ด้วยความที่เขาไม่พอใจกับบริการที่ได้รับ เขาจึงให้ความเห็นในทางที่ไม่ดีไปในการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้า ซึ่งนั่นเป็นการใช้บริการครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะได้พบกับ "แท่งหรรษา" ในเวลาต่อมา
Amazon WorkMail บริการอีเมลสำหรับลูกค้าองค์กร แบบเดียวกับ Google Apps และ Office 365 ที่เปิดตัวช่วงต้นปี 2015 และทดสอบแบบเบต้ามานาน 1 ปีเต็ม
ตอนนี้บริการตัวนี้เข้าสถานะ Generally Available (GA) เรียบร้อยแล้ว และเพิ่มฟีเจอร์สำคัญสำหรับการใช้งานในองค์กร เช่น ผ่านมาตรฐาน ISO 27001/27017/27018, รองรับการจัดการคีย์ AWS Key Management Service สำหรับเข้ารหัส, เลือกกำหนดพื้นที่ (region) ของศูนย์ข้อมูล AWS ที่ให้เก็บข้อมูลอีเมล, รองรับอีเมลไคลเอนต์ Outlook, Apple Mail, Exchange ActiveSync แล้ว
นอกจากนี้ Amazon ยังพัฒนาตัวช่วยย้ายข้อมูล (migration tool) จากอีเมลในระบบ Exchange มายัง WorkMail ด้วย
ถ้ายังจำกันได้ Amazon มีปุ่ม Dash Button ปุ่มกดสำหรับสั่งซื้อสินค้าที่ใช้ประจำ เช่น สบู่ ผงซักฟอก น้ำตาล กาแฟ ฯลฯ ที่เชื่อมต่อกับ บริการ Dash Replenishment Service ให้อุปกรณ์ในบ้านสั่งของได้เอง จากปุ่มกดนี้
ไอเดียอาจฟังดูตลกๆ แต่ล่าสุด Whirlpool ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าชื่อดัง เปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ปี 2016 หลายอย่าง ทั้งเครื่องซักผ้าและอุปกรณ์ในครัวที่เชื่อมต่อกับ Dash Replenishment Service แล้ว ถ้าผงซักฟอกหมดก็สามารถกดสั่งได้ทันที
Amazon ส่งบริการหลายตัวไปบุกจีนมาพักใหญ่ ล่าสุดถึงคิวของ Fire แท็บเล็ตพลัง Android ที่ใช้ระบบปฏิบัติการปรับแต่งเองได้ฤกษ์ไปขายในจีนบ้างแล้ว
โดยแท็บเล็ตรุ่นที่ส่งไปขายครั้งนี้เป็นรุ่นถูกสุดอย่าง Amazon Fire แท็บเล็ต 50 เหรียญ ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน โดยจะวางขายในจีนด้วยราคาเพียง 499 หยวน หรือราว 2,800 บาท ซึ่งแพงกว่าที่ขายในสหรัฐฯ พอสมควร
ฝั่งซอฟต์แวร์ด้วยความที่ระบบปฏิบัติการ Fire OS ของ Amazon ไม่ได้พึ่งพิงบริการของกูเกิล การเข้าไปในจีนครั้งนี้จึงราบรื่นกว่าที่คิด และยังได้ Baidu มาเป็นพาร์ทเนอร์ในด้านบริการภายในประเทศจีนอีกด้วย ส่วนจะทำผลงานได้ดีหรือไม่คงต้องดูกันต่อไปครับ
Slice Intelligence บริษัทเก็บข้อมูลด้านอีคอมเมิร์ซได้เปิดเผยว่าจากเทศกาลช็อปปิ้ง Black Friday ที่ผ่านมา ยอดขายเฉพาะของ Amazon คิดเป็น 36% ของยอดขายออนไลน์ทั้งหมดเลยทีเดียว โดยอันดับสองตามมาห่างๆ คือ Best Buy ที่ 8.23% และอันดับสามคือห้าง Macy's ที่ 3.38% ส่วนอันดับต่อๆ มาคือ Walmart ที่ 3.35% และ Nordstrom ที่ 3.11%
Amazon ปล่อยอัพเดตให้แท็บเล็ตซีรีส์ Fire เล็กๆ ด้วยการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่อย่าง Blue Shade และเครื่องมือสำหรับผู้ปกครองไว้ดูแลเด็กๆ ได้สะดวกขึ้น
เริ่มกันที่ฟีเจอร์ใหม่ตัวแรก Blue Shade คือฟิลเตอร์ตัดแสงฟ้า ที่ระบุว่าช่วยตัดแสงฟ้าจากหน้าจอ และทำให้ผู้ใช้แท็บเล็ตในยามกลางคืนสามารถนอนหลับได้ง่ายขึ้น โดยฟีเจอร์นี้วางไว้ในแถบทางลัดรวม quick setting เหมือนกับสมาร์ทโฟน-แท็บเล็ตจีนทั่วไป
Amazon ดูเหมือนจะจริงจังกับการใช้โดรนส่งสินค้ามาก นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เปิดตัวบริการ PrimeAir เมื่อปี 2013 ล่าสุดเพิ่งโพสต์วิดีโอเกี่ยวกับบริการตัวนี้ที่มาพร้อมกับโดรนรุ่นต้นแบบตัวใหม่
โดรนรุ่นใหม่ที่เผยโฉมมาในวิดีโอ PrimeAir เป็นโดรนลูกผสมที่สามารถลอยตัวในแนวตั้งได้เหมือนเฮลิคอปเตอร์ และปรับไปบินแบบเครื่องบินทั่วไปได้ในเครื่องเดียว จุดเด่นของโดรนตัวใหม่นี้คือการรับรู้สภาพแวดล้อมโดยรอบเพื่อหลบหลีกสิ่งกีดขวาง และยังสามารถรับรู้ตำแหน่งลงจอดเพื่อส่งสินค้าได้ด้วยตัวบอกตำแหน่ง
AWS เปิดบริการ EC2 Dedicated Host ให้ใช้งานแล้ว หลังประกาศข่าวครั้งแรกเมื่อเดือนที่แล้ว
EC2 Dedicated Host คือการเช่า EC2 เครื่องจริงทั้งเครื่องแทนการเช่าแยกเป็น VM จากนั้นเราค่อยมาแบ่ง VM เอาเองตามต้องการ (เท่าที่เครื่องจะสามารถรับไหว)
Amazon เอาใจคนทำงานด้านเขียนบทละครหรือภาพยนตร์ โดยออกเว็บแอพตัวใหม่ชื่อ Amazon Storywriter มาให้ใช้งานฟรี
ฟีเจอร์ของมันเทียบเท่าโปรแกรมเขียนบทหนังทั่วไป รองรับฟอร์แมตมาตรฐานที่ใช้กันในวงการ เช่น FDX, Fountain รวมถึงฟอร์แมตเอกสารอย่าง RTF และ PDF, สามารถทำงานออฟไลน์ได้ (ลงส่วนขยายของ Chrome)
ฟีเจอร์สำคัญที่อาจเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของ Amazon คือเราสามารถส่งบทภาพยนตร์ที่เขียนเสร็จแล้วให้ Amazon Studios สตูดิโอผลิตภาพยนตร์ของบริษัทพิจารณาบทเพื่อนำไปสร้างหนังต่อได้ทันที
อเมซอนฝั่งค้าปลีกเปิดบริการการยืนยันตัวตนผู้ใช้สองขั้นตอนสำหรับลูกค้าทั่วไปแล้ว โดยต้องยืนยันหมายเลขโทรศัพท์ก่อน จึงสามารถขอข้อมูลสำหรับการยืนยันตัวตนผ่านแอป เช่น Google Authenticator ได้
ผมเองลองเข้าเว็บอเมซอนวันนี้ก็สังเกตว่าแทบทุกหน้าสามารถใช้งานผ่าน HTTPS ได้ทั้งหมดแล้ว จากเดิมที่หน้าส่วนใหญ่ไม่รองรับและหากพยายามเข้าผ่าน HTTPS ก็จะถูก redirect มายังหน้า HTTP แม้จะยังสามารถเข้าผ่าน HTTP ได้ด้วยก็ตาม สำหรับผู้ใช้ที่กังวลว่าจะมีข้อมูลรั่วไหลก็สามารถใช้ปลั๊กอิน SSL Enforcer มาบังคับให้เบราว์เซอร์ใช้ HTTPS ตลอดเวลาได้
หลังจากเป็นข่าวฮือฮาเรื่องร้านหนังสือแห่งแรกของตัวเอง ล่าสุด Dustin Kurtz อดีตคนขายหนังสือเฉพาะแนว (indie bookseller) ได้เขียนบทวิจารณ์ลงเว็บไซต์ New Republic ซึ่งเป็นวารสารด้านสังคมศาสตร์-มนุษย์ศาสตร์แล้ว โดยวิจารณ์ว่าจุดขายของร้านอย่าง Amazon Books นั้นทั้งสับสนวุ่นวาย ตลอดจนถึงแนวทางในการจัดการที่ถึงขนาดต้องตั้งคำถามว่าจะมีไปเพื่ออะไรกันแน่
หลังจากเคยทดลองทำร้านแบบชั่วคราวมาได้ช่วงหนึ่งในการขายสินค้าบางอย่างของตนเอง ล่าสุด Amazon เตรียมเปิดตัวร้านถาวรของตนเองอย่างเป็นทางการแล้วในวันพรุ่งนี้ โดยครั้งนี้เป็นการเปิดร้าน "ขายหนังสือ" ของตัวเองอย่างเป็นทางการ
ความแตกต่างของร้านหนังสือนี้อยู่ที่การใช้ข้อมูลของ Amazon ที่มีอยู่อย่างมหาศาล ในการเลือกว่าหนังสือเล่มใดควรจะไปวางไว้อยู่บนชั้นในร้านบ้าง นอกจากนั้นแล้วจะนำสินค้าเทคโนโลยีของตัวเองไปจัดแสดงไว้ในนั้นด้วย โดยราคาวางจำหน่ายหน้าร้านจะเท่ากับราคาบนเว็บไซต์
ร้านนี้จะเปิดที่ Seattle's University Village มลรัฐ Washington โดยจะเปิดทุกวันยกเว้นวันหยุด ใครผ่านไปแถวนั้นลองแวะไปได้ครับ
ธุรกิจขายดีลอยู่ในช่วงขาลงมานาน ล่าสุดเจ้าพ่อค้าปลีกออนไลน์อย่าง Amazon ก็จะเลิกขายดีลบ้างแล้ว
บริการขายดีลของ Amazon ใช้ชื่อว่า Amazon Local เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2011 ในสหรัฐอเมริกา และขยายไปสหราชอาณาจักรในปี 2012 ซึ่งช่วงนั้นธุรกิจขายดีลกำลังเป็นที่นิยม แต่ช่วงหลังก็เงียบๆ ลงไป
ล่าสุด Amazon ได้ประกาศเลิกขายดีลทั้งหมดในวันที่ 18 ธันวาคมนี้แล้ว โดยผู้ที่ซื้อดีลไปก่อนหน้านี้ยังสามารถใช้สิทธิ์ได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ตามปกติ และแอพ Amazon Local ก็จะถูกถอดออกจาก Apple App Store, Google Play Store และ Amazon Appstore ในวันเดียวกัน
ปีที่แล้ว Amazon เปิดตัว Local Register เครื่องรับจ่ายเงินสำหรับธุรกิจค้าปลีก ซึ่งเป็นคู่แข่งในตลาดเดียวกับ Square และ PayPal
อย่างไรก็ตาม หลังเวลาผ่านมาแค่ 1 ปี Amazon ประกาศปิดบริการตัวนี้แล้ว โดยลูกค้าเก่าจะสามารถใช้งานได้จนถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2016 ส่วนเงินที่ค้างในระบบจะโอนให้ลูกค้าภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2016 และลูกค้าสามารถดาวน์โหลดประวัติการรับเงินทั้งหมดมาเก็บไว้ได้
บริษัทไม่ได้ให้เหตุผลว่าทำไมจึงปิดบริการ แต่บริษัทยังมีธุรกิจการจ่ายเงินออนไลน์ Pay with Amazon อยู่เช่นเดิม
ดูเหมือน Amazon จะใบ้มาล่วงหน้าแล้วว่ากำลังจะขยายธุรกิจอะไรเพิ่มเติม หลังจากในงานสัมมนาสินค้าแฟชัน และขายปลีก WWD Apparel and Retail CEO Summit มีผู้บริหารจาก Amazon อย่าง Jeff Yurcisin ขึ้นไปพูดถึงทิศทางการขายปลีกของ Amazon ในอนาคตว่าอาจทำไลน์สินค้าแฟชันของตัวเองมาขาย
เหตุผลที่ Amazon จะทำสินค้าแฟชันมาขายในแพลตฟอร์มของตัวเองนั้น Yurcisin บอกว่าเพื่อมากลบช่องโหว่ที่ไม่สามารถดึงบางแบรนด์เข้ามาขายใน Amazon ได้เนื่องจากส่วนแบ่งการขายที่น้อยเกินไป แต่ก็ยังมีความต้องการจากผู้ซื้อในสินค้ากลุ่มนั้นอยู่เรื่อยๆ
การทำไลน์สินค้าแฟชันขึ้นมาขายเอง นอกจากจะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับ Amazon ได้แล้ว ยังสามารถช่วยเรื่องการต่อรองกับบรรดาแบรนด์ต่างๆ ที่ยังไม่ได้ขายกับ Amazon ได้ดีขึ้นอีกด้วย
Amazon เผยผลประกอบการประจำไตรมาส 3/2015 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พบว่ารายได้เพิ่มขึ้นถึง 23% จากปีก่อน (รายได้รวม 25.4 พันล้านดอลลาร์) และทำกำไรได้ 406 ล้านดอลลาร์ เทียบกับปีก่อนที่ขาดทุน 544 ล้านดอลลาร์แล้วถือว่าโดดเด่นมาก
บริษัทมีสินค้าของตัวเองที่น่าสนใจหลายตัว เช่น Amazon Fire แท็บเล็ตราคา 50 ดอลลาร์, Fire TV รุ่นที่สอง, Amazon Echo, ปุ่มสั่งของ Amazon Dash รวมถึงการขยายบริการ Amazon Prime ให้กว้างไกลมากขึ้น
Amazon มีบริการส่งของสดถึงบ้านโดยตรงชื่อ AmazonFresh อยู่ด้วย ให้บริการเฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่กำหนดไว้ เช่น เมืองซีแอตเทิล, ฟิลาเดลเฟีย และนครนิวยอร์ก ลูกค้าสามารถสั่งของสด เช่น ผักผลไม้, เนื้อสัตว์, เบเกอรีต่างๆ ฯลฯ แล้วให้มาส่งที่บ้านได้ภายในวันที่สั่งหรือวันถัดไป โดยมีกำหนดขั้นต่ำในการสั่งซื้อถึงจะส่งฟรี
ล่าสุด Amazon เริ่มเก็บค่าสมาชิกในการใช้บริการนี้แล้ว อยู่ที่ 299 เหรียญต่อปี เงินจำนวน 299 เหรียญนี้เป็นแค่ค่าสมาชิกเพื่อให้มีสิทธิ์ใช้บริการนี้เท่านั้น ลูกค้าต้องสั่งของขั้นต่ำ 50 เหรียญต่อครั้งถึงจะส่งฟรี และค่าบริการนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ Amazon Prime ปีละ 99 เหรียญแต่อย่างใด
Amazon เริ่มยื่นฟ้องนักรีวิวสินค้าและบริการบนเว็บ Amazon.com ที่ไม่ทราบชื่อ (John Doe) จำนวนกว่า 1,114 คนต่อศาล โดยเป้าหมายในการฟ้องร้องครั้งนี้คือนักรีวิวปลอมที่ขายบริการให้คะแนน 5 ดาวในราคา 5 ดอลลาร์สหรัฐฯ บนเว็บไซต์ Fiverr (เป็นตลาดออนไลน์ที่เปิดให้นำบริการและงานรับจ้างมาเสนอในราคา 5 - 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ Amazon) ซึ่ง Amazon ตรวจพบการให้บริการจากนักรีวิวปลอมบนเว็บไซต์ดังกล่าว รวมถึงพบการใช้หมายเลข IP Address หลายจำนวนจากนักรีวิวปลอมเหล่านี้ในการหลีกเลี่ยงการตรวจจับโดย Amazon นั่นเอง
ถ้าจำกันได้ เมื่อช่วงต้นปี Amazon เพิ่งเปิดบริการจองห้องพักในชื่อ Amazon Destination ซึ่งเปิดบริการไปแล้วกว่า 35 เมืองในสหรัฐฯ แต่ทว่า Amazon ตัดสินใจเลิกให้บริการดังกล่าวแล้วหลังจากเปิดมาเพียง 6 เดือนเศษ
Amazon Destination เป็นความพยายามที่จะเข้าสู่ตลาดการท่องเที่ยวอีกครั้ง หลังจากที่เคยมีดีลให้ลูกค้า Amazon Local ได้ส่วนลดค่าโรงแรมมาก่อน พร้อมกับสร้างสัมพันธ์กับเครือข่ายโรงแรมไปในตัว จนกระทั่งกลายมาเป็น Amazon Destination ที่ตั้งเป้าให้นักช็อปของ Amazon ได้มาหาที่เที่ยวช่วงสุดสัปดาห์กันด้วย ซึ่งแม้ว่าจะดูวิน-วินกันทั้งฝั่ง Amazon และโรงแรม แต่ท้ายที่สุด Amazon กลับเลือกที่จะเลิกให้บริการนี้แทน