Bloomberg รายงานข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการว่า ตอนนี้แอปเปิลมีสัดส่วน iPhone ที่ผลิตในอินเดียราว 20% หรือทุก 1 ใน 5 เครื่องแล้ว (ประเมินตามมูลค่า iPhone ที่ผลิตได้ ไม่ใช่ราคาขาย)
ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่า แอปเปิลเริ่มย้ายฐานการผลิต iPhone ออกจากจีนอย่างจริงจัง เและเราเห็นการส่งออก iPhone จากอินเดียออกไปขายยังประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะช่วงสหรัฐอเมริกาเพิ่มกำแพงภาษีนำเข้า
แอปเปิลเลือกใช้โรงงานของ Foxconn และ Tata (Wistron, Pegatron) ในอินเดีย และตอนนี้สามารถผลิต iPhone ได้ครบทั้งไลน์ รวมถึงรุ่น Pro ด้วย
การตัดสินใจของคน ๆ หนึ่ง กำลังทำทั้งโลกวุ่นวาย และอาจทำให้บริษัทที่มูลค่ามากที่สุดในโลก เสียหายหลายแสนล้านดอลลาร์ฯ …
นับตั้งแต่ที่ประธานาธิบดี Donald Trump ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน จาก 10%, บวกอีก 10%, เพิ่มไปอีก 34%, ท็อปอัปอีก 50%, ทุ่มเพิ่มอีก 21% หลังโมโหที่จีนขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เป็น 84% และล่าสุด ประกาศสงครามเพิ่มภาษีจีน (อยู่อย่างนั้น) เป็น 145% แล้ว
แต่ Trump ยังใจดีกับประเทศอื่น ๆ สั่งชะลอการขึ้นภาษีเป็นเวลา 90 วัน เพราะติดต่อไปขอเจรจาด้วย ซึ่งก็ไม่ค่อยช่วยให้บริษัทอย่าง Apple ที่มีฐานการผลิตหลักในจีนอยู่ดี เผลอ ๆ เจ็บกว่าเดิม เพราะภาษีนำเข้าจีนพุ่งไป 145% แล้ว และไม่รู้ด้วยว่าจะเพิ่มอีกมั้ย
จากกรณีแผ่นดินไหว ล่าสุด Apple ประกาศเปิดให้ตั้งค่ารับแจ้งเตือนฉุกเฉิน ข้อความจากรัฐบาล และการแจ้งเตือนความปลอดภัยสาธารณะบน iPhone ซึ่งสามารถรับ และแสดงการแจ้งเตือนต่าง ๆ ได้แล้ว
ประเภทของการแจ้งเตือนที่อาจได้รับมีดังนี้
Reuters มีข้อมูลใหม่ หลังจากทางการของอินเดียเปิดเผยว่าแอปเปิลเร่งขนส่ง iPhone ไปอเมริกา ก่อนที่สหรัฐจะออกคำสั่งขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า โดยข้อมูลก่อนหน้านี้บอกว่ามีเครื่องบิน 5 ลำ ขนส่งสินค้าออกไปภายใน 3 วัน
แหล่งข่าวของ Reuters บอกว่าหลังจากสหรัฐออกคำสั่งเลื่อนการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมไป 90 วัน ทำให้แอปเปิลเร่งใช้โอกาสนี้ให้คุ้มที่สุด โดยคลังสินค้าที่สนามบิน Chennai ในอินเดียซึ่งเป็นจุดขนส่งหลักสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของบริษัทต่าง ๆ แอปเปิลได้เร่งเจรจาให้กระบวนศุลกากรจบเร็วขึ้น จากปกติ 30 ชั่วโมง เหลือ 6 ชั่วโมง เพื่อหวังนำ iPhone ออกไปอเมริกาในช่วงเวลานี้ให้มากที่สุด
มีข่าวข้างกันประเด็นแอปเปิลสั่งเพิ่มการนำเข้า iPhone ที่ผลิตในอินเดียไปขายในสหรัฐอเมริกา เพื่อหวังชดเชยภาษีนำเข้าของอินเดียที่ต่ำกว่าจีนที่เป็นฐานการผลิตหลัก โดยตัวแทนของหน่วยงานในอินเดียเปิดเผยว่า ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคม แอปเปิลได้ขนส่ง iPhone และสินค้าอื่นด้วยเครื่องบินจำนวน 5 ลำ ออกจากประเทศอินเดียไปยังปลายทางสหรัฐอเมริกา ทั้งหมดใช้เวลาเพียง 3 วัน ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงมากกว่าปกติ
โฆษกทำเนียบขาว Karoline Leavitt ยืนยัน ประธานาธิบดี Donald Trump เชื่อว่า Apple สามารถย้ายฐานการผลิต iPhone มาที่สหรัฐฯ ได้จริง เพราะสหรัฐฯ มีแรงงานและทรัพยากรเพียงพอ รวมทั้ง Apple มีแผนลงทุน 5 แสนล้านดอลลาร์ฯ ในสหรัฐฯ
ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ Howard Lutnick ยืนยันในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า มาตรการเพิ่มภาษีนำเข้าใหม่ อาจทำให้แรงงานหลายล้านคนประกอบ iPhone ในสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์ชี้ว่าการลงทุน 5 แสนล้านดอลลาร์ฯ เป็นการใช้จ่ายปกติของ Apple ซึ่งทั้ง Steve Jobs และ Tim Cook เคยพูดมานานแล้วว่า การผลิต iPhone ในสหรัฐฯ นั้น “ไม่สามารถทำได้”
หลังจากที่รัฐบาล Trump ขู่เก็บภาษีนำเข้าจากจีน 54% (ล่าสุดขู่จะเพิ่มอีก 50% หลังจีนเปิดศึกเพิ่มภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เช่นกัน) ทำให้หุ้นของ Apple ดิ่งลงอย่างหนัก แต่ก็ทำให้คนอเมริกันแห่กันไปซื้อ iPhone ตาม Apple Store ทั่วประเทศ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
สาเหตุเป็นเพราะพวกเขากลัวว่าราคา iPhone จะพุ่งขึ้นเร็ว ๆ นี้ โดยพนักงานบอกว่าบรรยากาศในร้านเหมือนช่วงเทศกาล ลูกค้าเข้ามาซื้อแบบตื่นตระหนก และถามเป็นเสียงเดียวกันว่า “iPhone จะขึ้นราคาเมื่อไหร่?”
The Wall Street Journal อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องเผยว่า แอปเปิลได้สั่งเร่งนำเข้า iPhone จากอินเดียมาสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก เพื่อหวังชดเชยความเสี่ยงจากคำสั่งขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า ซึ่งอินเดียมีอัตราภาษีใหม่ 26% ส่วนจีนซึ่งเป็นฐานการผลิตหลักของ iPhone อัตราภาษีอาจสูงถึง 54%
ในปีที่ผ่านมาแอปเปิลผลิต iPhone ในอินเดียประมาณ 25 ล้านเครื่อง โดย 10 ล้านเครื่องทำเพื่อขายในอินเดีย แต่แผนล่าสุดนั้นแอปเปิลต้องการให้ iPhone ในอินเดียเกือบทั้งหมดส่งไปที่อเมริกา ซึ่งจะรองรับประมาณ 50% ของ iPhone ที่ขายได้ในอเมริกา นอกจากนี้แอปเปิลยังสั่งเพิ่มการผลิต iPhone ในอินเดียอีกด้วย
รายงานข้อมูลสินค้าใหม่แอปเปิลประจำสัปดาห์นี้โดย Mark Gurman แห่ง Bloomberg คนเดิม คราวนี้มาพร้อมข้อมูลฟังก์ชันใหม่ Apple Watch
ก่อนหน้านี้ Gurman เคยพูดถึงฟังก์ชัน AirPods ติดกล้องเซ็นเซอร์อินฟาเรด คราวนี้กล้องจะมาที่ Apple Watch ด้วย โดยวางแผนติดกล้องที่ส่วนจอสำหรับรุ่น Apple Watch ทั่วไป และด้านข้างติดกับปุ่ม Digital Crown สำหรับรุ่น Ultra
หลังจากแอปเปิลเปิดตัว iPad Air, MacBook Air และ Mac Studio รุ่นใหม่ไปแล้ว ก็กลับเข้าสู่รายงานข่าวลือกันอีกครั้ง คราวนี้มาจาก Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์สายซัพพลายเชนคนเดิม
Kuo คาดว่าแอปเปิลจะเปิดตัว iPhone หน้าจอพับได้ประมาณปี 2026-2027 หรือเร็วที่สุดคือปีหน้า สินค้าจะถูกวางตำแหน่งเป็นรุ่นพรีเมียมบนสุด ราคาประมาณ 2,000-2,500 ดอลลาร์ หรือประมาณ 67,000-84,000 บาท (เทียบกับ iPhone 16 Pro Max เริ่มต้น 1,199 ดอลลาร์) โดยอีกจุดขายที่แอปเปิลใช้คือการเป็น iPhone ที่ใช้งาน AI ได้เต็มรูปแบบที่สุดเพราะมีหน้าจอใหญ่กว่ารุ่นอื่น
Leica เปิดตัว Leica LUX Grip กริปติดกับ iPhone สำหรับช่างภาพมืออาชีพที่ต้องการควบคุมการถ่ายภาพด้วยประสบการณ์เดียวกับปุ่มของกล้อง Leica
LUX Grip ติดกับ iPhone ด้วย MagSafe รองรับทั้งโหมดถ่ายรูปแบบแนวนอนและแนวตั้ง ใช้งานร่วมกับแอป Leica LUX สามารถปรับค่าแบบแมนนวล สร้างเลนส์เสมือน และปรับสีด้วยเทคโนโลยีของ Leica รวมถึงปุ่มชัตเตอร์ 2 จังหวะ
อุปกรณ์เสริมนี้ชาร์จไฟด้วย USB-C รองรับการถ่ายรูปประมาณ 1,000 รูปต่อหนึ่งการชาร์จ น้ำหนัก 130 กรัม ราคา 329 ดอลลาร์
ที่มา: MacRumors
Windows 11 Insiders รองรับการแสดงข้อมูลจาก iPhone บน Start Menu โดยตรง หลังจากรองรับฝั่ง Android ไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2024
เมื่อเชื่อมต่อ iPhone กับ Windows 11 แล้ว ข้อมูลบน Start Menu จะแสดงแบตเตอรี่, ความแรงสัญญาณ, ฟีเจอร์โทรศัพท์และข้อความ SMS รวมถึงรองรับการส่งไฟล์ไปยัง iPhone ด้วย
ฟีเจอร์นี้จำเป็นต้องใช้ Windows 11 Insider Preview Build 4805 ขึ้นไป, แอพ Phone Link เวอร์ชันล่าสุด และเปิดใช้งาน Bluetooth LE
T-Mobile ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ในอเมริกา เปิดให้ลูกค้าสามารถทดสอบเชื่อมต่อสัญญาณกับดาวเทียม Starlink ได้แล้ว โดยสถานะบริการยังเป็นเบต้า เริ่มต้นที่ iPhone รุ่นที่รองรับ (iPhone 14 ขึ้นไป) และต้องอัปเดตเป็นระบบปฏิบัติการเวอร์ชันล่าสุด iOS 18.3
T-Mobile ประกาศความร่วมมือกับ Starlink มาตั้งแต่ปี 2022 และเริ่มทยอยเปิดบริการเริ่มที่การส่ง SMS ผ่านดาวเทียมเมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นโทรศัพท์ที่รองรับมีเฉพาะซัมซุง ยังไม่มี iPhone
เรื่องราวของโนเกียที่แพ้ในสงครามสมาร์ทโฟนโดยมี iPhone ของแอปเปิลเป็นจุดเริ่มการเปลี่ยนแปลง น่าจะเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาทางธุรกิจที่พบได้ทั่วไปในตำราโรงเรียนบริหารยุคนี้ ล่าสุดโครงการ Nokia Design Archive โดยมหาวิทยาลัย Aalto ของฟินแลนด์ ซึ่งรับผิดชอบการเก็บรวบรวมข้อมูลเอกสารภายในของโนเกีย เพื่อสะท้อนแนวคิดต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมา มีเอกสารฉบับหนึ่งจากพนักงานโนเกีย 9 คน ในเวลานั้น ที่นำเสนอผู้บริหารว่า iPhone กำลังเป็นภัยคุกคามโนเกียที่น่ากลัวอย่างไร
สไลด์ 22 หน้านี้มีหัวข้อว่า "แอปเปิลเพิ่งเปิดตัว iPhone" พร้อมดอกจันว่าเขาใช้ชื่อนี้จริง ๆ เพราะมีประเด็นเรื่องแบรนด์ไปซ้ำกับสินค้าของ Cisco แต่ตกลงกันได้ในที่สุด
รายงานจาก CIRP พบว่าลูกค้า Apple ส่วนใหญ่ ใช้งาน iPhone บ่อยกว่า iPad เพราะพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา แม้ iPad จะมีหน้าจอที่ใหญ่กว่า และมีประสิทธิภาพสำหรับการใช้งานต่าง ๆ เช่น เล่นเกม และดูวิดีโอ
ในรายงานบอกว่า ผู้ใช้งาน iPhone 97% ส่งข้อความ และใช้อินเทอร์เน็ตทุกวันผ่าน iPhone, ประมาณ 80% ใช้ส่งอีเมล และ ดูคลิปวิดีโอ, และ 70% เล่นเกม
ส่วนผู้ใช้งาน iPad ประมาณ 89% ใช้อินเทอร์เน็ตผ่าน iPad, 70% ดูคลิปวิดีโอ, 65% ส่งอีเมล และเล่นเกม ในขณะที่ 59% ฟังเพลง
แม้ iPads มักถูกมองเป็นอุปกรณ์สำหรับอ่านหนังสือที่พกพาสะดวก แต่รายงานบอกว่ามีเพียง 37% ที่ใช้ iPad อ่านหนังสือและสื่ออื่น ๆ ในแต่ละวัน
เมื่อปีที่แล้ว มีรายงานปัญหาจากคนใช้ iPhone ว่านาฬิกาปลุกไม่ส่งเสียงดังตามหน้าที่ของนาฬิกาปลุกที่ควรเป็น แอปเปิลก็ยืนยันปัญหานี้และบอกว่าได้แก้ไขไปแล้ว แต่ดูเหมือนปัญหานี้จะกลับมาอีกครั้ง
มีโพสต์ใน Reddit เมื่อสองวันก่อน ผู้ใช้งานชื่อ bryanlolwut ลงภาพให้เห็นว่านาฬิกาปลุกใน iPhone ที่เขาตั้งไว้เวลา 10:30น. เพิ่งมาดังตอน 12:42น. เขาพบว่าปัญหานี้ไม่ได้เกิดแค่นาฬิกาปลุก แต่แอป Reminders ก็เจอปัญหาเตือนช้าไปจากกำหนดด้วย ผู้ใช้งานบางรายก็ยืนยันว่าเจอปัญหานี้เหมือนกัน
แอปเปิลออกแคมเปญลดราคาสินค้าหลายรายการในประเทศจีน โดย iPhone ลดราคาสูงสุด 500 หยวน หรือประมาณ 2,300 บาท สำหรับ iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max โปรโมชันนี้จัดขึ้นเป็นเวลา 4 วันระหว่างวันที่ 4-7 มกราคม เมื่อซื้อผ่านเว็บไซต์ของแอปเปิล หรือที่ร้าน Apple Store ในประเทศ
การออกโปรโมชันลดราคาในจีนครั้งนี้เป็นปีที่สองที่จัดขึ้น ครั้งแรกทำเมื่อปีที่แล้ว โดยที่ผ่านมาการลดราคาสินค้าแอปเปิลในจีนจะทำผ่านช่องทางตัวแทนจำหน่าย หรือเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอื่น การที่แอปเปิลลงมาทำโปรโมชันเองโดยตรง จึงอาจสะท้อนการแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนจีนที่แอปเปิลเผชิญอยู่ตอนนี้ได้
เมื่อสองปีที่แล้วมีข่าวว่าแอปเปิลเตรียมออกแพ็คเกจ Subscription iPhone จ่ายรายเดือน ได้ใช้โทรศัพท์รุ่นใหม่ตลอด และมีราคาถูกกว่าผ่อนรายเดือน ทำให้หลายคนคาดว่าอาจเป็นการเปลี่ยนเกมครั้งใหญ่ในตลาดสมาร์ทโฟน ซึ่งหลังจากนั้นก็มีข่าวคืบหน้าเป็นระยะ แล้วก็เงียบหายไป
ล่าสุด Mark Gurman แห่ง Bloomberg (ซึ่งเป็นคนให้ข่าวนี้คนแรกเอง) บอกว่าแอปเปิลได้ระงับโครงการพัฒนา iPhone แบบ Subscription ไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากปัญหาซอฟต์แวร์และประเด็นอาจถูกหน่วยงานกำกับดูแลมาตรวจสอบ เนื่องจากแอปเปิลจะใช้วิธีคิดเงินรายเดือนผ่าน Apple Account โดยตรง ไม่ได้ผ่านผู้ให้บริการภายนอก ระบบการให้สินเชื่อก็จะทำผ่านระบบของแอปเปิลเอง ซึ่งแอปเปิลทดสอบการใช้งานนี้ไปเมื่อต้นปี
ไมโครซอฟท์ประกาศฟีเจอร์ของแอพ Phone Link บนพีซีวินโดวส์ ว่ารองรับการย้ายไฟล์ข้ามเครื่องกับ iPhone แล้ว ตามหลังสมาร์ทโฟน Android ที่นำร่องไปก่อนหน้านี้
ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้ iPhone จำนวนมากสามารถถ่ายโอนไฟล์กับพีซีวินโดวส์ได้ เหมือนกับการใช้ AirDrop ในจักรวาลแอปเปิล แต่เป็นโซลูชันที่ไมโครซอฟท์ทำเอง ไม่ต้องไปใช้แอพจาก third party แต่อย่างใด
ฟีเจอร์นี้ต้องการ iOS 16 ขึ้นไป ส่วนฝั่งวินโดวส์ยังทดสอบเฉพาะกลุ่ม Windows Insiders เท่านั้นก่อน
Vipps แอปจ่ายเงินผ่านมือถือจากนอร์เวย์ ประกาศเป็นแอปแรกในโลกที่รองรับการจ่ายเงินผ่าน NFC บน iPhone เพื่อเป็นทางเลือกนอกจากการจ่ายเงินด้วย Apple Pay โดยบริการ Vipps MobilePay สามารถเชื่อมต่อกับบัญชีธนาคารที่มีให้บริการในนอร์เวย์ประมาณ 70% โดยการจ่ายเงินสามารถยื่น iPhone ไปใกล้กับเครื่องรับชำระเงิน แล้วยืนยันตัวตนเพื่อจ่ายเงินด้วย Face ID, Touch ID หรือกรอก Passcode ผู้ใช้งานยังสามารถตั้งค่าให้ Vipps เป็นแอปพื้นฐานในการจ่ายเงินได้ด้วย
ถ้าจะเข้าไปลงทุนสร้างโรงงานผลิตสมาร์ตโฟนในอินโดนีเซีย มีกฎข้อหนึ่งที่ต้องทำตาม คือต้องใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในอินโดนีเซียไม่น้อยกว่า 35% นี่คือประเด็นที่ทำให้ iPhone และ Google Pixel ถูกอินโดนีเซียสั่งห้ามซื้อขาย
ในทางตรงกันข้าม Oppo มีสัดส่วนตรงนี้ราว 36-37% โดยข้อมูลจากฝั่งโรงงานผลิตบอกว่า ชิ้นส่วนที่ Oppo ซื้อจากซัพพลายเออร์ในประเทศ มีทั้งแบตเตอรี่ บรรจุภัณฑ์ อแดปเตอร์ รวมถึงสาย USB และมีแผนที่จะซื้อเพิ่มเติมอีกด้วย
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีรายงานเรื่องปัญหา iPhone รีบูทเอง หากเครื่องถูกทิ้งไว้ช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งทำให้ iPhone กลับไปสู่สถานะ BFU (Before First Unlock) จากเดิมที่เป็น AFU (After First Unlock) ปัญหานี้กระทบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เก็บ iPhone เป็นหลักฐานในการสอบสวนเพื่อดึงข้อมูลออกมา ล่าสุดมีรายละเอียดเพิ่มเติมของการทำงานส่วนนี้
โดย Jiska Classen นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Hasso Plattner Institute เผยแพร่วิดีโอทดสอบ ยืนยันว่า iPhone ที่เป็นระบบปฏิบัติการ iOS 18 ถูกตั้งค่าให้รีบูทเองหากเครื่องไม่มีการทำอะไรครบ 72 ชั่วโมง เช่นเดียวกับบริษัท Magnet Forensics ที่พัฒนาเครื่องมือสำหรับเจาะข้อมูลสมาร์ทโฟน Graykey ก็ยืนยันตัวเลข 72 ชั่วโมง
ข้อมูลนี้มาจากบันทึกของตำรวจเมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน ระบุปัญหาที่พบจาก iPhone ที่ยึดมาเป็นหลักฐานประกอบคดี บอกว่า iPhone สามารถรีบูทตัวเองได้ หากเครื่องถูกทิ้งไว้ระยะหนึ่งในสถานะที่ไม่ถูกเชื่อมต่อกับเครือข่ายโทรศัพท์
เรื่องนี้เป็นปัญหาสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ต้องใช้เครื่องมือสำหรับปลดล็อก iPhone ซึ่งสามารถทำได้ง่ายหาก iPhone อยู่ในสถานะหลังถูกปลดล็อกครั้งแรก (AFU - After First Unlock) แต่พอ iPhone ถูกรีบูทจะทำให้สถานะเปลี่ยนเป็นก่อนถูกปลดล็อกครั้งแรก (BFU - Before First Unlock) ซึ่งเครื่องมือที่เจ้าหน้าที่ใช้ไม่รองรับการปลดล็อก และอาจนำหลักฐานออกมาจาก iPhone ยากขึ้น ทางตำรวจดีทรอยต์จึงทำบันทึกนี้เพื่อให้ตำรวจเมืองอื่นระมัดระวังปัญหานี้เช่นกัน
มีฟีเจอร์ใหม่เล็ก ๆ ใน iOS 18 ระบบปฏิบัติการของ iPhone เวอร์ชันล่าสุดที่เพิ่งออกอัปเดตมา โดยสามารถโทรศัพท์ด้วยวิธี T9 ได้แล้ว
สำหรับใครที่ลืมไปแล้วหรือไม่เคยพิมพ์โทรศัพท์แบบ T9 ต้องย้อนไปถึงยุคโทรศัพท์แบบปุ่ม 12 ปุ่ม ซึ่ง T9 ออกแบบมาให้สามารถพิมพ์ตามชื่อได้อย่างรวดเร็ว อาศัยชุดตัวอักษรที่ติดกับตัวเลขในแป้น 2-9 เช่น ถ้าจะพิมพ์ John ก็กด 5-6-4 ระบบจะค้นหาชื่อที่ตรงชุดตัวอักษรขึ้นมาให้ ซึ่ง T9 นี้รองรับในสมาร์ทโฟน Android หลายค่ายอยู่แล้ว
ในการทำงานของ iPhone จะใช้วิธีค้นหาจากสมุดรายชื่อผู้ติดต่อและแสดงชื่อที่ใกล้เคียงที่สุดมาให้ จึงเพิ่มความสะดวกไม่ต้องพิมพ์ค้นหารายชื่อนั่นเอง
มีรายงานการค้นพบบั๊กใน iPhone และ iPad ที่ทำให้เครื่องแครชได้จากการพิมพ์อักษรเพียง 4 อักขระเท่านั้น โดยนักวิจัยความปลอดภัยบอกว่า เมื่อพิมพ์อักขระ "":: สี่ตัว ในช่องค้นหา Springboard เช่น ช่องค้นหาใน Settings หรือช่องค้นหา App Library ในหน้าขวาสุดของโฮม จะทำให้การทำงานของ iOS ขัดข้อง
โดยในบางกรณีอาจเด้งมาที่หน้าโฮมเท่านั้น แต่บางกรณีหน้าจอก็ดับไปชั่วขณะ หรืออาจเกิดหน้าจอล็อก (Soft Reboot) อย่างไรก็ตามนักวิจัยความปลอดภัยบอกว่าปัญหานี้เป็นบั๊ก ไม่ใช่ช่องโหว่ความปลอดภัย
จากการตรวจสอบเบื้องต้น บั๊กนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากพิมพ์ในที่ใดก็ได้ของ iOS แต่เป็นเฉพาะบางส่วนเท่านั้น และแอปเปิลยังไม่ได้ให้ความเห็นกับรายงานดังกล่าว