หลังจากแอปเปิลเปิดตัว iOS 14 ไปพร้อมกับแอปแปลภาษาแบบ standalone built-in ที่ติดตั้งมาให้เลยบน iOS 14 แล้ว ยังมีการเพิ่มฟีเจอร์แปลหน้าเว็บไซต์ไว้บนแอพ Safari อีกด้วย ทำให้สามารถแปลหน้าเว็บเพจจากในซาฟารีได้โดยตรง
อย่างไรก็ตามฟีเจอร์แปลภาษาบนซาฟารียังไม่รองรับการใช้งานในประเทศไทย ถึงแม้เราจะสามารถใช้แอพ Translate ได้แล้วก็ตาม และรองรับเพียงแค่ 11 ภาษาได้แก่อังกฤษ, จีนกลาง, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, สเปน, อิตาเลียน, ญี่ปุ่น, เกาหลี, อารบิก, โปรตุเกส และรัสเซีย
เบื้องต้นพบว่าสามารถใช้งานได้บนทั้ง iOS 14.1, iOS 14.2 รวมไปถึง macOS Big Sur beta แต่ยังใช้ได้เพียงแค่ประเทศบราซิล และเยอรมนีเท่านั้น
แนวทางการลดอายุใบรับรองการเข้ารหัสเว็บเป็นแนวทางที่ต่อเนื่องกันมาในช่วงห้าปีที่ผ่านมา จากเดิมสมัยก่อนที่เราเคยซื้อใบรับรองเข้ารหัสอายุยาวนานถึง 8 ปีได้ ในปี 2015 CA/Browser Forum ก็ลดเพดานอายุใบรับรองเหลือ 39 เดือน และในปี 2017 ก็ลดเพดานลงเหลือ 825 วัน วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของการซื้อใบรับรองอายุ 2 ปี เนื่องจากใบรับรองที่ออกวันที่ 1 กันยายนเป็นต้นไป หากมีอายุเกิน 397 วันจะใช้งานกับเบราว์เซอร์หลักทั้ง Chrome, Firefox, และ Safari ไม่ได้อีกต่อไป
Apple ปล่อยวิดีโอเซสชั่นใน WWDC 2020 โดยมีตอนหนึ่งโชว์ฟังก์ชันการล็อกอินเว็บไซต์บน Safari 14 แบบ frictionless experience ซึ่ง FIDO Alliance ระบุว่าเป็นการใช้เทคโนโลยี WebAuthn ระบบล็อกอินโดยไม่ต้องใช้รหัสผ่านที่ทาง W3C รับเข้าเป็นมาตรฐานเว็บในปีที่แล้ว
เทคโนโลยี WebAuthn หรือ Web Authentication API เป็นมาตรฐานกลางในการยืนยันตัวตนแบบใหม่ที่ให้นักพัฒนาเว็บไซต์เลือกเปิดใช้งาน ซึ่งระบบนี้พัฒนาโดย FIDO Alliance โดยกรณีของ iOS และ macOS คือ Apple จะเปิดให้ใช้ Touch ID หรือ Face ID ในการยืนยันตัวตนบนเว็บไซต์ต่าง ๆ ดังนั้นผู้ใช้จึงล็อกอินได้โดยไม่ต้องใส่ชื่อผู้ใช้งานและรหัสผ่านเหมือนเดิม
macOS Big Sur ที่เปิดตัวไปในงาน WWDC เมื่อคืนนี้ นอกจากการปรับเปลี่ยนเพื่อเตรียมรองรับสถาปัตยกรรม ARM ที่ Apple จะผลิตชิปเองแล้ว ยังมีการปรับดีไซน์ใหม่ของ UI และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เข้ามาเพื่อให้การใช้งานสะดวกขึ้น และมีความเข้ากันได้กับ iOS และ iPad OS มากขึ้น
แอปเปิลประกาศ Safari เวอร์ชันใหม่ใน macOS 11 Big Sur รองรับส่วนขยายที่เขียนด้วย WebExtensions API ซึ่งหมายถึงส่วนขยายของ Chrome
การที่ Safari รองรับ WebExtensions API ทำให้ส่วนขยายของ Chrome สามารถพอร์ตมาได้แทบจะทันที (ลักษณะเดียวกับที่ Edge หรือ Firefox ทำอยู่ ซึ่ง Firefox เริ่มรองรับในปี 2015) ส่วนการแจกจ่ายสามารถทำผ่าน Mac App Store โดยจะมีหมวด Extension เพิ่มเข้ามาให้ (หมายเหตุ: เป็นคนละตัวกับ Safari App Extensions ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้)
แอปเปิลเปิดตัว macOS Big Sur (ชื่อภูเขาในแคลิฟอร์เนีย โดยตัวระบบปฎิบัติการเองมีการปรับแต่งหน้าจอปลีกย่อย จุดสำคัญคือมันเป็น macOS เวอร์ชั่นแรกที่จะรองรับชิป ARM อย่างเป็นทางการ โดยแอปเปิลปรับเลขเวอร์ชั่นเป็น 11.0 หลังจากก่อนหน้านี้ใช้เป็นเวอร์ชั่น 10.x มานาน
Safari เพิ่มตัวแปลภาษาในตัว รองรับภาษาอังกฤษ, สเปน, จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, รัสเซีย, และโปรตุเกสแบบบราซิล ฟีเจอร์ Privacy Report รวมรายงานว่า Safari บล็อคส่วนต่างๆ ในเว็บที่ติดตามผู้ใช้ไปอย่างไรบ้าง และด้านความปลอดภัยนั้นเพิ่มระบบตรวจสอบการใช้งานรหัสผ่านที่เคยรั่วไหลมาแล้ว โดยระบบตรวจสอบจะไม่เปิดเผยรหัสผ่านนี้ให้แอปเปิลเอง
แอปเปิลปล่อย iOS 13.4, iPad OS 13.4, watchOS 6.2 และ macOS 10.15.4 ออกมาล่าสุดและมีการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างสำคัญกับ Safari คือแอปเปิลเลิกรองรับคุกกี้ที่มาจากนอกเว็บ (third-party cookies) โดยดีฟอลต์แล้ว เป็น
นอกจากนี้แอปเปิลระบุด้วยว่าเว็บนอกมักจะย้ายไปดึงข้อมูลจากตัวเว็บหลัก (first-party) แทน ดังนั้นนอกจากบล็อกคุกกี้จากภายนอกแล้ว Safari จะลบคุกกี้ที่เป็น first-party ด้วยหลังผ่านไป 7 วันและหากผู้ใช้งานไม่มีการเข้าเว็บหรือมี interaction กับเว็บนั้นอีกหลังผ่านไป 7 วันก็จะลบข้อมูลในสตอเรจที่เว็บนั้น ๆ ใช้งาน (script-writable storage) เพื่อป้องกันไม่ให้เว็บนอกมาดึงข้อมูลจากส่วนนี้ไปแทน
เดิมการเปิดใช้งาน (enroll) กุญแจ U2F เพื่อล็อกอิน 2 ชั้นบนแอคเคาท์ Google ต้องทำผ่าน Chrome เฉพาะพีซีหรือ macOS เท่านั้น ล่าสุด Google ให้เปิดใช้งานผ่าน Chrome บน Android และ Safari แล้ว
Android ต้องเป็นเวอร์ชัน 7.0 Nougat และ Chrome 70 ขึ้นไป ส่วน Safari ต้องเป็นเวอร์ชัน 13.0.4 ขึ้นไป ขณะที่การเปิด 2FA ด้วยกุญแจ ให้เข้าไปที่แอคเคาท์ Google >> เลือก Security >> เลือก 2-Step Verification และเลือก Add Secrutiy Key
ที่มา - G Suite Update via 9to5Google
ตอนนี้ Safari กำลังจะเริ่มบังคับใช้นโยบายใหม่ คือจะไม่ยอมรับใบรับรองเว็บไซต์ที่กำหนดวันหมดอายุไว้มากกว่า 13 เดือนนับจากวันสร้างใบรับรอง ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อเว็บไซต์ที่ใช้ใบรับรองที่กำหนดวันหมดอายุไว้นาน ๆ
นโยบายใหม่นี้เสนอในที่ประชุม CA/Browser โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน Safari จะไม่ยอมรับใบรับรองใดก็ตามที่มีอายุมากกว่า 398 วันนับจากวันออกใบรับรอง ลดลงจากเดิมที่กำหนดไว้ 825 วัน โดยจะขึ้นคำแจ้งเตือนผู้ใช้เหมือนกับเว็บไซต์ที่ใบรับรองไม่ปลอดภัย
แอปเปิลถอด Adobe Flash ออกจาก Safari Technology Preview 99 รุ่นทดสอบล่าสุด นับเป็นการเตรียมอำลาเทคโนโลยีที่เคยครองเว็บอย่างเป็นทางการภายในปีนี้
ก่อนหน้านี้ Adobe เคยประกาศมาก่อนแล้วว่าจะเลิกซัพพอร์ต Flash Player ทั้งหมดภายในปี 2020 ทำให้ผู้ผลิตเบราว์เซอร์มักปิดการทำงานเป็นค่าเริ่มต้นมานานแล้วแต่ผู้ใช้ก็ยังเปิดกลับมาใช้งานเองได้อยู่ การถอดส่วนเสริมออกทั้งหมดเช่นนี้ทำให้ผู้ใช้ไม่มีทางเลือกเปิด Flash กลับมาใช้งานอีกต่อไป
สัปดาห์ที่ผ่านมามีรายงานเป็นข่าวขึ้นมาว่าแอปเปิลเริ่มความร่วมมือกับ Tencent เพื่อใช้บริการ Tencent Safe Browsing เพิ่มเติม จากเดิมที่ใช้งานเฉพาะ Google Safe Browsing เท่านั้น โดยจะใช้บริการจาก Tencent เมื่อผู้ใช้เลือกใช้ภาษาจีน
ความกังวลเกิดขึ้นเนื่องจากบริการนี้ทำให้ Tencent อาจรู้ถึง URL ที่ผู้ใช้กำลังเข้าใช้งานอยู่ เปิดทางทั้งการตรวจสอบว่ามีผู้ใช้ใดกำลังเข้าเว็บต้องห้าม และสามารถบล็อคเว็บในระดับ URL โดยแจ้งว่าเป็นเว็บต้องสงสัยได้ไปพร้อมกัน
ผู้ใช้ macOS เมื่อต้องการซื้อสินค้าผ่านเว็บ Apple Store Online น่าจะรู้สึกปลอดภัยขึ้นไปอีกขั้น เมื่อมีผู้พบว่าหากเข้าเว็บด้วย Safari บนระบบปฏิบัติการเวอร์ชันเก่ากว่า OS X 10.10.5 Yosemite จะขึ้นข้อความเตือน ทำให้เข้าเว็บไม่ได้
ข้อความนั้นระบุว่าเวอร์ชันเบราว์เซอร์ที่ใช้อยู่ไม่สนับสนุน ทั้งยังบอกอีกว่า ถ้าจะดาวน์โหลด Firefox หรือ Chrome มาใช้งาน ก็ไม่สนับสนุนระบบปฏิบัติการเวอร์ชันนี้เช่นเดียวกัน ทางเลือกจึงต้องอัพเดตระบบปฏิบัติการไปเลย
ถือเป็นการควบคุมผู้ใช้งานให้แน่ใจว่าใช้ระบบปฏิบัติการล่าสุดจริง ๆ เพื่อความปลอดภัยของแอปเปิลนั่นเอง
Apple ประกาศในรายการเปลี่ยนแปลงของ Safari เวอร์ชัน 12.1 โดยระบุว่าจะมีการถอดฟีเจอร์ Do Not Track หรือฟีเจอร์ “อย่าตามรอย” ออกจาก Safari อย่างถาวร
ตามคอนเซปต์ของฟีเจอร์ Do Not Track นั้น ถูกออกแบบมาเพื่อส่งสัญญาณให้เว็บไซต์, บริษัทที่ทำการวิเคราะห์ข้อมูล, บริษัทโฆษณา หรือเซอร์วิสต่าง ๆ บนเว็บ เพื่อขอให้อย่าตามรอยผู้ใช้ ซึ่งก็คือขอความร่วมมือแต่เว็บไซต์นั้น ๆ จะทำตามด้วยหรือไม่ก็ได้
Apple ระบุเหตุผลในการถอดฟีเจอร์ Do Not Track ไว้ว่าเพื่อป้องกันโอกาสในการใช้เป็น fingerprint variable ซึ่งใน iOS 12.2 และ macOS 10.14.4 ที่ตอนนี้อยู่ในช่วงทดสอบแบบเบต้าก็ไม่มีตัวเลือก Do Not Track ให้เปิดใช้งานแล้วเช่นกัน
มีรายงานจากผู้ใช้งาน OS X Yosemite ว่าพบปัญหาหลังจากอัพเดต iTunes เวอร์ชันล่าสุด 12.8.1 ที่ออกมาสำหรับ macOS รุ่นเก่า (เวอร์ชันล่าสุดคือ 12.9 ใช้ได้กับ Mojave เท่านั้น) โดยเมื่ออัพเดต iTunes แล้วจะไม่สามารถเปิดใช้งาน Safari ได้
มีผู้ตั้งข้อสังเกตใน Stack Exchange ว่า iTunes เวอร์ชันนี้มีอาจมีการอัพเดต Framework บางตัว ที่ทำให้การเรียกใช้ Safari มีปัญหา อย่างไรก็ตามแอปเปิลยังไม่ได้ออกมาให้ข้อมูลและวิธีแก้ไขเบื้องต้น
ผู้ที่ยังใช้ OS X Yosemite ทางเลือกก็คืออัพเกรดไปเป็น macOS เวอร์ชันใหม่กว่า แต่หากอัพเกรดไม่ได้ ก็คงต้องใช้เบราว์เซอร์อื่นไปก่อนในตอนนี้
ที่มา: MacRumors
Apple ได้ปล่อย Safari Technology Preview 71 โดยมีฟีเจอร์หนึ่งที่สำคัญคือรองรับ WebAuthentication หรือ WebAuthn ซึ่งเป็น API สำหรับการล็อกอินด้วยกุญแจความปลอดภัยแบบ USB
WebAuthn นั้นเป็นมาตรฐานล็อกอินจาก W3C ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยสำหรับ Safari นั้นจะรองรับการล็อกอินด้วยโปรโตคอล Client to Authenticator Protocol หรือ CTAP เวอร์ชันที่ 2 ซึ่งเบราว์เซอร์หลักเจ้าอื่นอย่าง Firefox และ Chrome นั้นรองรับฟีเจอร์นี้ไปแล้ว
Infosec รายงานการพบช่องโหว่ในแอพกล้องของ iOS 11 ซึ่งเพิ่มคุณสมบัติสแกน QR Code แล้วเข้าไปยังเว็บไซต์ได้โดยตรง โดยพบว่าสามารถแสดง url หลอกเพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจผิดกดเข้าไป แต่ความจริงเป็นอีก url หนึ่งได้
ตัวอย่างที่ทดสอบนั้น เจตนาต้องการให้เข้าเว็บไซต์ https://infosec.rm-it.de/ แต่เมื่อใส่ฟอร์แมตใน QR Code เป็น https://xxx\@facebook.com:443@infosec.rm-it.de/ จะพบว่า url ที่แสดงขึ้นมาในแอพกล้องเป็น url แรกนั่นคือ facebook.com
Infosec บอกว่ารายงานปัญหานี้ให้แอปเปิลไปแล้วตั้งแต่ 23 ธันวาคม แต่ยังไม่ถูกแก้ไข
ที่มา: 9to5Mac
แอปเปิลออกอัพเดตย่อยสำหรับ macOS High Sierra เวอร์ชัน 10.13.2 เพื่อแก้ไขปัญหา Spectre เช่นเดียวกับ iOS 11.2.2 ที่ออกมาในวันนี้ โดยใช้วิธีปิดช่องโหว่ผ่าน Safari ซึ่งผู้ใช้สามารถอัพเดตผ่าน Software Update ใน Mac App Store
ก่อนหน้านี้แอปเปิลบอกว่า macOS 10.13.2 ได้มีการปิดช่องโหว่ Meltdown ไปเรียบร้อยแล้ว แต่จะมีอัพเดตย่อยสำหรับ Safari ในสัปดาห์นี้
สำหรับผู้ใช้ macOS เวอร์ชันก่อนหน้านี้ทั้ง Sierra และ El Capitan แอปเปิลก็ได้ออกอัพเดต Safari 11.0.2 ที่แก้ไขช่องโหว่ Spectre อีกด้วย
ที่มา: MacRumors
แอปเปิลออกอัพเดต iOS เวอร์ชัน 11.2.2 ซึ่งถือเป็นการอัพเดตครั้งที่ 9 ของระบบปฏิบัติการ iOS 11 รอบนี้ทิ้งช่วงจาก iOS 11.2.1 ไปเกือบหนึ่งเดือน
ในรายละเอียดส่วนผู้ใช้นั้นแอปเปิลไม่ได้ระบุมากไปกว่า บอกว่าเป็นการอัพเดตเรื่องความปลอดภัย และแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัพเดต แต่อัพเดตครั้งนี้ก็เป็นการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติมของ Meltdown และ Spectre ซึ่งมีการแก้ไขไปแล้วใน 11.2 โดยใน 11.2.2 เป็นการปรับปรุงส่วนของ Safari และ Webkit เพื่อปิดช่องโหว่ Spectre
ที่มา: MacRumors
ในชุมชนผู้ใช้ Spotify นั้นเริ่มมีการพูดถึงปัญหาดังกล่าวว่า Web Player บริการเล่นเพลงบนเบราว์เซอร์ของ Spotify ไม่สามารถใช้งานกับเบราว์เซอร์ Safari ได้ ซึ่ง riegelstamm ผู้ใช้ Spotify รายหนึ่งก็ไปพบว่าหน้าความต้องการระบบของ Web Player นั้น แต่เดิมมี Safari เวอร์ชัน 6 ขึ้นไปด้วย แต่ตอนนี้ถูกตัดออกไปแล้ว
Federico Viticci แห่ง MacStories พบฟีเจอร์ใหม่ใน Safari บน iOS 11 เวอร์ชันสำหรับนักพัฒนา beta 7 โดยเมื่อเราแชร์เว็บจาก Safari ไปยัง iMessage (หรือแอพอื่น) หากเว็บนั้นแสดงผลแบบ AMP ซึ่งอาจมี url รูปแบบพิเศษ ตัว Safari จะทำการแปลง url แบบ AMP คืนเป็น url แบบปกติแทน
ต่อมา Malte Ubl หัวหน้าทีม AMP ของกูเกิลออกมาเปิดเผยว่ากูเกิลเองที่เป็นฝ่ายขอให้แอปเปิล รวมทั้งผู้ผลิตเบราว์เซอร์รายอื่นเพิ่มคุณสมบัตินี้ เพราะเมื่อเราดูเนื้อหาแบบ AMP เวลาแชร์ต่อออกไป url ก็ควรเปลี่ยนกลับเป็นแบบเดิมจึงจะเหมาะสมกว่า
ที่มา: 9to5Mac
บริษัทวิจัย Bernstein ออกรายงานวิเคราะห์ว่าในปีนี้กูเกิลอาจจ่ายเงินให้แอปเปิลถึง 3 พันล้านดอลลาร์ เพื่อให้เสิร์ชกูเกิลยังเป็นค่าเริ่มต้น (default) อยู่บน Safari
ตัวเลขนี้ไม่มีการยืนยันแต่เกิดจากประเมินของนักวิเคราะห์ โดยมีเอกสารจากคดีความในอดีตระบุว่าปี 2014 กูเกิลเคยจ่ายเงินให้แอปเปิล 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคำนวณจากโอกาสที่กูเกิลได้จากค่าโฆษณาผ่านการเสิร์ชของ Safari บน iOS ซึ่งหากการจ่ายเงินยังใช้สมการเดิม ในปีนี้กูเกิลก็ควรจ่ายให้แอปเปิล 3 พันล้านดอลลาร์
บทวิเคราะห์นี้มองว่าเงิน 3 พันล้านดอลลาร์นั้นสูงมาก กูเกิลอาจเลือกไม่จ่ายก็ได้ในอนาคต และหากเป็นเช่นนั้นก็กระทบกับรายได้ส่วน Services ของแอปเปิลอยู่มากเช่นกัน
จากข่าว Adobe ประกาศหยุดพัฒนาและสนับสนุน Flash ในปี 2020 กูเกิลและไมโครซอฟท์ ก็ต่างออกมาประกาศแผนปิดการใช้งาน คราวนี้ก็เป็นประกาศจากฝั่งแอปเปิลครับ
โดยแอปเปิลได้ประกาศผ่านโครงการ WebKit ว่ากำลังร่วมมือกับ Adobe และพาร์ทเนอร์ในการเปลี่ยนผ่านจาก Flash ไปสู่เทคโนโลยีเปิดมาตรฐาน
เป็นที่รู้กันดีว่าช่วงหลังมานี้ Safari เป็นเว็บเบราว์เซอร์ที่รองรับมาตรฐานเว็บแบบใหม่ๆ น้อยมาก (Safari is the new IE) แต่ล่าสุดหลังจากงาน WWDC 2017 ก็มีข่าวดีว่า แอปเปิลประกาศรองรับเทคโนโลยี WebRTC สำหรับคุยด้วยเสียงและวิดีโอผ่านเว็บแล้ว
โครงการ WebKit เลือกใช้งานเฟรมเวิร์คโอเพนซอร์ส LibWebRTC จัดการเครือข่าย, รองรับตัวเข้ารหัสเสียง Opus และวิดีโอ H.264, เรียกใช้ไมโครโฟนและกล้องผ่าน Media Capture and Streams API ของ W3C
การที่เอนจิน WebKit รองรับ WebRTC จะส่งผลให้ Safari ใน macOS High Sierra และ iOS 11 สามารถใช้คุยวิดีโอผ่านเว็บได้ ตอนนี้มีผู้ให้บริการบางราย เช่น TokBox และ BlueJeans รองรับแล้ว
ที่มา - WebKit
หลัง Consumer Reports นิตยสารรีวิวผลิตภัณฑ์ชื่อดัง ออกผลการทดสอบ MacBook Pro รุ่นว่าไม่แนะนำ เนื่องจากปัญหาแบตเตอรี่ ล่าสุดแอปเปิลเปิดเผยแล้วว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดจากบั๊กของ Safari ในโหมดนักพัฒนา อย่างเช่นการปิดการเก็บแคชของเบราเซอร์
แอปเปิลระบุว่าวิธีการทดสอบของ Consumer Reports ไม่ได้เป็นวิธีการปกติของการใช้งานทั่วไป ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปแทบจะไม่มีทางเจอบั๊กในลักษณะ โดยหลังเจอปัญหาแล้ว แอปเปิลได้ติดต่อให้ทาง Consumer Reports รันการทดสอบอีกรอบ ก่อนจะพบว่าการใช้งานแบตเตอรีกลับมาเป็นปกติเหมือนที่แอปเปิลอ้าง
ด้าน Consumer Reports ระบุว่าจะทดสอบแบตเตอรีอีกครั้งและพร้อมจะแก้ไขคำแนะนำให้หลังอัพเดตแพทช์
Apple ได้ออกอัพเดตความปลอดภัยใหม่ให้ผู้ใช้ Mac เพื่อปิดช่องโหว่ Pegasus ซึ่งเป็นช่องโหว่เดียวกับที่เพิ่งปิดบน iOS 9.3.5 ซึ่งเป็นช่องโหว่แบบ zero-day
ช่องโหว่ Pegasus นี้ อนุญาตให้มีการเจลเบรคและติดตั้งซอฟต์แวร์สำหรับมอนิเตอร์บนอุปกรณ์ของผู้ใช้ได้จากระยะไกลโดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว โดยช่องโหว่นี้ส่วนหนึ่งใช้ช่องโหว่ memory corruption บน Safari WebKit ซึ่งอนุญาตให้แฮกเกอร์เริ่มกระบวนการนี้ได้
การอัพเดตนี้ มีสำหรับผู้ใช้ทั้ง OS X El Capitan, OS X Yosemite และ Safari โดยผู้ใช้สามารถอัพเดตได้โดยไปที่ App Store และเข้าไปที่แท็บ Updates เพื่อตรวจสอบการอัพเดต และเนื่องจากเป็นการอัพเดตเพื่อความปลอดภัย จึงแนะนำให้ผู้ใช้อัพเดตทันที