ถ้ายังจำกันได้กูเกิลเพิ่งต่อสัญญากับ Mozilla ไปอีกสามปี เพื่อให้ได้สิทธิในการเป็นเครื่องมือค้นหาหลักบนเบราว์เซอร์ Firefox โดยมีค่าใช้จ่ายถึงปีละ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
แน่นอนว่าบน Safari นั้นกูเกิลก็เป็นฝ่ายจ่ายเช่นกัน โดย Ben Schachter นักวิเคราะห์จาก Macquarie คาดว่ากูเกิลนั้นทำสัญญากับแอปเปิลเพื่อให้ได้เป็นเครื่องมือค้นหาหลักบน Safari ทั้งบนเดสก์ท็อปเบราว์เซอร์ และโมบายล์เบราว์เซอร์ (บนไอแพด ไอพอด และไอโฟน) มูลค่าถึงปีละ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา Wall Street Journal ได้เผยผลงานวิจัยจากนักวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งเขาได้พบช่องโหว่บนเบราว์เซอร์ Safari ที่ทำให้ผู้ให้บริการโฆษณารวมถึงกูเกิลสามารถติดตามพฤติกรรมการเข้าเว็บไซต์ต่างๆ ผ่านทางไฟล์คุกกี้ได้
โดยปกติแล้ว Safari จะยอมรับไฟล์คุกกี้จากเว็บไซต์ที่ผู้ใช้เข้าถึงเท่านั้น และจะบล็อคไฟล์ดังกล่าวหากมาในรูปแบบอื่นซึ่งผู้ให้บริการโฆษณามักจะแอบฝังมา แต่นักวิจัยดังกล่าวกลับพบว่าผู้ให้บริการโฆษณาก็ยังสามารถหลอกล่อผู้ใช้ให้สามารถรับไฟล์คุกกี้ได้อย่างไม่ตั้งใจอยู่ดี
สืบเนื่องจากผลวิจัยเรื่องผู้ใช้ IE มีไอคิวน้อยกว่าผู้ใช้เบราเซอร์อื่นซึ่งต่อมา
ถึงแม้ Safari จะมีส่วนแบ่งตลาดไม่หวือหวาแบบ Chrome แต่ด้วยปัจจัยเรื่องส่วนแบ่งตลาดของแมคที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็ช่วยให้ Safari มีส่วนแบ่งตลาดเบราว์เซอร์โตขึ้นแบบช้าๆ เช่นกัน
สถิติล่าสุดจากบริษัท Net Applications ระบุว่า Safari มีส่วนแบ่งตลาดโลก 5.02% แล้ว ถือเป็นครั้งแรกที่ Safari ขึ้นมาแตะระดับ 5% ได้สำเร็จ สำหรับส่วนแบ่งตลาดของแมคในการเข้าเว็บ (แปลว่าใช้แมค+เบราว์เซอร์อะไรก็ได้บนแมค) อยู่ที่ 6.45% ของตลาดโลก (ในสหรัฐจะเยอะกว่ามาก คือใช้แมค 13.7%)
สำหรับระบบปฏิบัติการอื่นๆ วินโดวส์ยังครองตลาด 92% ของโลก ลินุกซ์ประมาณ 1% ในส่วนของเบราว์เซอร์ IE 54.39%, Firefox 22.48%, Chrome 16.20%, Opera 1.67%
บริษัทที่ปรึกษาด้านจิตวิทยาของแคนาดา AptiQuant ได้รายงานผลการวิจัยว่าด้วยความสัมพันธ์ของระดับเชาวน์ปัญญา (ไอคิว) กับเว็บเบราเซอร์ที่ใช้ โดยใช้กลุ่มตัวอย่างมากกว่าหนึ่งแสนคนทำแบบทดสอบวัดไอคิว จากนั้นก็เก็บผลคะแนนที่ได้กับเว็บเบราเซอร์ที่บุคคลนั้นใช้ พบผลลัพธ์ที่น่าสนใจดังนี้
ในภาพรวมแล้วผลการสำรวจพบว่าผู้ใช้ Internet Explorer มีระดับไอคิวอยู่ราว 80-90 ขณะที่กลุ่มผู้ใช้ Firefox, Chrome และ Safari มีไอคิวอยู่ในช่วง 100-110 ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเป็นผู้ใช้งาน Chrome Frame, Camino หรือ Opera จะมีระดับไอคิวสูงมากกว่า 120 กันเลย
หลังจากปล่อยให้ IE และ Firefox นำหน้าในเรื่อง Do Not Track หรือการกำหนดไม่ให้เว็บไซต์ "ตามรอย" เก็บข้อมูลของผู้ชมเว็บ ก็มีข่าวว่า Safari จะมีฟีเจอร์แบบเดียวกันตามมา
หนังสือพิมพ์ Wall Street Journal รายงานว่าแอปเปิลได้เพิ่มฟีเจอร์ Do Not Track ให้กับ Safari รุ่นทดสอบที่มากับ Mac OS X 10.7 Lion แล้ว และผู้ที่ได้ทดสอบ Lion ก็เริ่มพูดถึงฟีเจอร์นี้กันแล้วตามกระดานสนทนาต่างๆ
ข่าวการเพิ่มฟีเจอร์ Do Not Track ของ Safari ทำให้ทุกคนจับตาไปยัง Chrome ซึ่งเป้นเบราว์เซอร์รายใหญ่รายเดียวที่ยังไม่มีฟีเจอร์นี้ และกูเกิลก็มีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้โดยตรงอย่างโฆษณาหรือ Google Analytics
เว็บไซต์ Blaze.io ได้ทดสอบเว็บเบราว์เซอร์ของ Android 2.3 กับ iOS 4.3 ด้วยเว็บไซต์จำนวน 45,000 หน้า ผลปรากฎว่า Android โหลดเร็วกว่าใน 84% ของเว็บไซต์ทั้งหมดที่ทดสอบ
เว็บไซต์เหล่านี้เป็นเว็บไซต์ของบริษัทใหญ่ใน Fortune 1000 และเมื่อคำนวณเวลาเฉลี่ยที่ใช้ในการโหลดหน้าเว็บแล้ว เบราว์เซอร์ของ Android เร็วกว่าถึง 52%
ความเร็วของเบราว์เซอร์ Android จะเห็นได้ชัดเจนเมื่อโหลดเว็บเพจแบบเต็ม แต่พอเป็นเว็บเพจสำหรับมือถือที่ซับซ้อนน้อยกว่า Android จะเร็วกว่า 3%
ที่งาน pwn2own ซึ่งเป็นงานแข่งขันการแฮกเบราว์เซอร์ประจำปี มีเบราว์เซอร์สามตัวที่ถูกทดสอบในวันแรกคือ Safari 5.0.4, IE8, และ Chrome 10
ตัว Safari นั้นถูกแฮกโดยบริษัทด้านความปลอดภัยจากฝรั่งเศสที่ชื่อว่า VUPEN โดยเมื่อผู้ทดสอบเข้าหน้าเว็บที่เตรียมเจาะเอาไว้ ทำให้โปรแกรมเครื่องคิดเลขถูกรันขึ้นมา และไฟล์ถูกเขียนลงดิสก์ โดย VUPEN สามารถเจาะผ่านโครงสร้างรักษาความปลอดภัยเช่น Data Execution Prevention (DEP) และ Address Space Layout Randomization (ASLR) ของตัว OS X ไปได้ ทีมงานต้องใช้เวลาสองสัปดาห์เพื่อเตรียมการแฮกนี้
ข่าวลือจากเว็บที่ไม่สามารถยืนยันความน่าเชื่อถือได้อย่าง Three Guys and a Podcast อ้างว่าแอปเปิลพยายามที่จะรวม iTunes เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Safari ภายในปีนี้ โดย Safari จะกลายเป็นเบราว์เซอร์ที่สามารถเปิดได้ทั้งเว็บ และเป็นโปรแกรมเล่นไฟล์มีเดียด้วย
โดยจากรายงานดังกล่าว สาเหตุที่แอปเปิลต้องการรวมสองโปรแกรมเข้าด้วยกันก็เพื่อที่จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของ Safari โดยทุกวันนี้แอปเปิลยังมีส่วนแบ่งตลาดเบราว์เซอร์ไม่ถึง 5% โดยการผูก iTunes เข้ากับ Safari แอปเปิลหวังว่าจะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเบราว์เซอร์ของ Safari ได้
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เว็บ MacRumors เองยังไม่เชื่อว่าข่าวลือนี้จะเป็นจริงแต่อย่างใด โดยทั้งหมดนี้ดูเหมือนว่ามาจากการคาดเดาทั้งสิ้น
ข่าวลือจากเว็บที่ไม่สามารถยืนยันความน่าเชื่อถือได้อย่าง Three Guys and a Podcast อ้างว่าแอปเปิลพยายามที่จะรวม iTunes เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Safari ภายในปีนี้ โดย Safari จะกลายเป็นเบราว์เซอร์ที่สามารถเปิดได้ทั้งเว็บ และเป็นโปรแกรมเล่นไฟล์มีเดียด้วย
โดยจากรายงานดังกล่าว สาเหตุที่แอปเปิลต้องการรวมสองโปรแกรมเข้าด้วยกันก็เพื่อที่จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของ Safari โดยทุกวันนี้แอปเปิลยังมีส่วนแบ่งตลาดเบราว์เซอร์ไม่ถึง 5% โดยการผูก iTunes เข้ากับ Safari แอปเปิลหวังว่าจะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเบราว์เซอร์ของ Safari ได้
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เว็บ MacRumors เองยังไม่เชื่อว่าข่าวลือนี้จะเป็นจริงแต่อย่างใด โดยทั้งหมดนี้ดูเหมือนว่ามาจากการคาดเดาทั้งสิ้น
บริษัท Skyfire ได้ทำงานร่วมกับแอปเปิลในการพัฒนาเครื่องมือ "Skyfire 2.0" บนเบราว์เซอร์ Safari ให้เบราว์เซอร์รองรับการเล่น Flash วีดีโอได้แล้ว
หลักการทำงาน คือ เมื่อผู้ใช้เข้าถึงหน้าที่มี Flash วีดีโอ Skyfire จะดาวน์โหลดมาเก็บไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ของตน จากนั้นก็แปลงเป็น HTML5 แล้ว Skyfire จะแสดง thumbnail ให้ผู้ใช้กดเข้าไปดู Flash วีดีโอที่ถูกแปลงแล้วจากเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท (ลองดูคลิปเดโมได้ที่ท้ายข่าว) แต่โปรแกรมดังกล่าวจะไม่รองรับการแปลงคอนเทนต์ที่เป็น Flash แต่ไม่ใช่คอนเทนต์ประเภทวีดีโอ (อาทิ เกม) รวมถึงไม่รองรับการแปลงคอนเทนต์จาก Hulu และคอนเทนต์ในเว็บไซต์ประเภทการทำธุรกรรมออนไลน์ [(เว็บไซต์ที่ใช้โปรโตคอล HTTPS)]
โหมด Private Browsing (หรือที่ Chrome เรียก Incognito และ IE เรียก InPrivate) กลายเป็นฟีเจอร์มาตรฐานของเบราว์เซอร์ 4 เจ้าใหญ่ ได้แก่ Chrome, Firefox, Safari และ IE แต่จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กลับพบว่าโหมด Private Browsing ไม่ทำให้ผู้ใช้ "ล่องหน" ทั้งหมดอย่างที่โฆษณา
ใน Firefox, Safari, IE พบปัญหาเดียวกันเมื่อเข้าเว็บผ่าน SSL ซึ่งเบราว์เซอร์ทั้งสามตัวจะเก็บไฟล์ certificate ของเว็บเหล่านี้ไว้บนคอมพิวเตอร์ ยังเหลือเป็นร่องรอยให้ตามได้อยู่ว่าผู้ใช้เข้าเว็บใดบ้าง นอกจากนี้เบราว์เซอร์แต่ละตัวยังทิ้งรอยในสถานการณ์ที่ต่างกันไป เช่น IE ถ้าเจอเว็บไซต์ที่ส่งข้อมูลผ่าน SMB ก็จะทิ้งรอยไว้ในวินโดวส์ เพราะมีส่วนที่แชร์โค้ดกับ Windows Explorer เป็นต้น
หลังจากแอปเปิลเปิดตัว Safari 5 ในงาน WWDC 2010 ไปไม่นาน ตอนนี้ได้ออกรุ่นอัพเดตย่อย 5.0.1 แล้ว
การเปลี่ยนแปลงสำคัญมี 2 ประการ
ที่มา - TechCrunch
มีคนพบช่องโหว่ของฟีเจอร์กรอกฟอร์มอัตโนมัติ หรือ AutoFill ของ Safari เวอร์ชัน 4 และ 5 ซึ่งจะดึงข้อมูลส่วนตัวของเรา เช่น ชื่อ อีเมล องค์กร จาก Address Book ของระบบ (ผมหาไม่เจอว่าเป็นเฉพาะแมค หรือรวมเวอร์ชันวินโดวส์ด้วย) ไปกรอกฟอร์มให้อัตโนมัติ
แฮ็กเกอร์สามารถใช้ช่องโหว่ที่ว่า สร้างเว็บไซต์ปลอมๆ ขึ้นมาดึงเอาข้อมูลส่วนตัวจาก Safari ไปได้เลย ตอนนี้มีคนสร้างเว็บตัวอย่างที่ทำงานขโมยข้อมูลได้จริงแล้ว แต่ยังไม่มีรายงานว่ามีแฮ็กเกอร์ประสงค์ร้าย ใช้โอกาสจากช่องโหว่นี้มาก่อนหรือไม่
หลังจากที่กูเกิลเปิดตัว Android 2.2 ไปได้ไม่นาน และได้เห็นรีวิว กันไปแล้ว
ทาง Ars Technica ได้นำ Nexus One มาวัดประสิทธิภาพในการรัน JavaScript ด้วย SunSpider และ V8 benchmarks บนเบราว์เซอร์ของ Froyo ซึ่งเร็วกว่าเวอร์ชันก่อนหน้านี้พอสมควร และนำมาเปรียบเทียบกับการรันบน iPhone 4 โดยใช้ Safari ผลปรากฏว่า Nexus One ทิ้ง iPhone 4 แทบไม่เห็นฝุ่น โดยผลจากการรัน V8 นั้น Nexus One ได้ผลออกมามากกว่า iPhone 4 เกือบสี่เท่า (ดูภาพ benchmarks ได้จากที่มา)
แอปเปิลคงต้องทำการบ้านเยอะซักหน่อยแล้ว ถ้ายังอยากจะให้ Safari ครองบัลลังก์เรื่องของเบราว์เซอร์บนมือถือที่เร็วที่สุด
เว็บไซต์ Lifehacker ได้ทดสอบความเร็วในการทำงานของเบราว์เซอร์บนแมค 4 ตัวคือ Safari 5, Chrome 5, Opera 10.6 และ Firefox 3.6.6 โดยรวมซอฟต์แวร์รุ่นทดสอบเข้ามาอีก 2 ตัวคือ Firefox 4 และ Chrome 6 ผลเป็นดังนี้
Safari 5 ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อสัปดาห์ก่อน มีฟีเจอร์ Safari Reader ที่ช่วยให้ประสบการณ์ "การอ่านข้อความบนเว็บ" นั้นดีขึ้น ตัดโฆษณาออกไปและต่อบทความแบบหลายๆ หน้าให้เลย
แต่แท้จริงแล้ว Safari Reader เอาโค้ดมาจากโครงการโอเพนซอร์สชื่อ Readability ของบริษัท Arc90 ซึ่งเป็น Javascript Bookmarklet สำหรับงานแบบเดียวกัน
Readability นั้นใช้สัญญาอนุญาตแบบ Apache ซึ่งไม่บังคับให้ผู้นำโค้ดไปใช้ ต้องเปิดโค้ดกลับคืนสู่ชุมชนแบบ GPL และแอปเปิลได้ให้เครดิตกับ Arc90 เป็นตัวเล็กๆ ในหน้า Help > Acknowledgments ของ Safari ซึ่งถูกต้องตามสัญญาอนุญาตทุกอย่าง
ไม่รู้ว่าจะเป็นการตอบโต้คู่แข่งอย่าง Safari 5 ที่แอปเปิลเพึ่งปล่อยออกมาล่าสุดหรือเปล่า เพราะล่าสุดไมโครซอฟท์ได้ปล่อยคลิปวีดีโอเปรียบเทียบประสิทธิภาพของฟีเจอร์ hardware acceleration ใน Internet Explorer 9 เทียบกับ Safari 5 ออกมา
คลิปวีดีโอแรกเป็นการทดสอบจาวาสคริปแสดงภาพเคลื่อนไหว (ต้นฉบับเรียก flying images) ซึ่ง Internet Explorer 9 สามารถเรนเดอร์ได้ราว 50fps แต่ Safari 5 นั้นทำได้เพียง 9fps ส่วนอีกคลิปวีดีโอหนึ่งเป็นการทดสอบ Flickr Explorer ซึ่ง Internet Explorer 9 สามารถเรนเดอร์ได้ราว 20fps แต่ Safari 5 นั้นทำได้เพียง 7fps เท่านั้น
แม้ว่า iPhone 4 จะเป็นพระเอกของงาน WWDC 2010 แต่แอปเปิลก็ยังเปิดตัวผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น Safari 5 ด้วย
Safari 5 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางรูปลักษณ์ภายนอกมากนัก แต่ปรับปรุงในเรื่องความเร็วกับฟีเจอร์มากกว่า การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญได้แก่
ต่อเนื่องจากข่าว แอปเปิลโชว์ความสามารถ HTML5 และ Firefox แฉเล่ห์แอปเปิลเรื่อง HTML5 อีกรายที่ออกมาร่วมวงคือ Opera
พนักงานคนหนึ่งของ Opera ชื่อ Haavard เขียนลงในบล็อกของเขาว่า เดโม HTML5 ของแอปเปิลนั้น มีส่วนที่เป็น HTML5 จริงๆ แค่แท็ก <video> และ <audio> เท่านั้น ที่เหลือเป็นโค้ดเฉพาะบริษัท (เช่น -webkit-border-radius) แถมยังมีวิดีโอแบบ H.264 ที่ยังตกลงกันไม่ได้เพราะติดสิทธิบัตรอีกด้วย
จากข่าว แอปเปิลโชว์ความสามารถ HTML5 ที่ดูได้เฉพาะ Safari แต่ดันโปรโมทว่า "มาตรฐาน[ที่แท้จริง]ของเว็บต้องไม่ใช่ Add-on แต่มันคือตัวเว็บเอง"
จริงๆ ข่าวนี้โดนชาว Blognone แฉกันไปนานแล้ว (และมีสาวกแอปเปิลแถกันอีกเเป็นจำนวนไม่น้อย) แต่เราลองมาดูการ "แฉ" จากฝั่ง Mozilla กันบ้างครับ
Christopher Blizzard ผู้บริหารของ Mozilla คนหนึ่งได้เขียนบล็อกชื่อ intellectual honesty and html5 เขาบอกว่าแท้จริงแล้ว คนที่เชี่ยวชาญเทคนิคสร้างภาพแบบนี้คือกูเกิล แต่รอบนี้ แอปเปิลทำตัวน่าอับอายจนเกินจะทน
Blizzard เริ่มจากบรรยายภาพๆ แรก
ล่าสุดแอปเปิลได้ทำหน้าเว็บแสดงพลังของ HTML5 แล้ว โดยตัวอย่างแต่ละอย่างที่แอปเปิลเอามาโชว์อาจจะทำให้นักพัฒนาเว็บหลาย ๆ คนน้ำลายไหลเลยก็ได้ โดยแอปเปิลก็ได้ทิ้งคำพูดเล็กน้อยไว้ว่า...
Standards aren't add-ons to the web. They are the web.
"มาตรฐาน[ที่แท้จริง]ของเว็บต้องไม่ใช่ Add-on แต่มันคือตัวเว็บเอง"
ข้อเสียคือแอปเปิลบังคับให้ดาวน์โหลด Safari เพื่อชมเว็บนี้
คลิกเข้าไปดูได้ที่นี่ครับ HTML5 Showcase
ที่มา - Daring Fireball
John Gruber แห่ง DaringFireball ได้ออกมารายงานว่าแอปเปิลเตรียมตัวที่จะเปิดประตูให้สู่นักพัฒนาที่สนใจเข้าพัฒนา Extensions ให้กับ Safari ก็เป็นได้ โดยคาดว่าหากข่าวลือนี้เป็นจริงแอปเปิลน่าจะทำการเปิดตัวในงาน WWDC 2010 นี้
สำหรับข่าวต่าง ๆ ที่ออกมาจากปากของ Gruber นั้นที่ผ่านมามีความแม่นยำค่อนข้างสูง ที่น่าแปลกใจคือสตีฟ จ็อบส์เอง ก็ชอบอ่านบล็อกของ Gruber เหมือนกัน หรือว่าเขามีความสัมพันธ์กับแอปเปิลทางใดทางหนึ่ง?
ที่มา - MacRumors
จากที่ แฮกเกอร์อาชีพฟันธง iPhone โดนเจาะแน่ในงาน Pwn2Own 2010 ปรากฎว่าแฮกเกอร์ใช้เวลาแค่ 20 วินาทีเท่านั้น วิธีการที่ใช้คืออาศัยประโยชน์จากรูโหว่ของ iPhone ล่อให้เปิดหน้าเว็บที่เตรียมเอาไว้ ซึ่งทำให้ iPhone ส่งฐานข้อมูล SMS ในเครื่องขึ้นไปบนเซิร์ฟเวอร์ได้