เมื่อไม่กี่วันที่แล้ว เราได้เห็นนวัตกรรมใหม่จากกูเกิล Project Glass แว่นตาที่รวมฟังก์ชันการใช้งานบนสมาร์ทโฟนมาอยู่บนแว่น แสดงผลด้วยอินเทอร์เฟซแบบ HUD (ดูวิดีโอตัวอย่างการใช้งานได้จากข่าวเก่า)

ล่าสุดมีผู้ไปพบเห็นคนใส่แว่นตัวนี้ (ไม่รู้ว่าของต้นแบบ หรือตัวดัมมี่) เดินอยู่ในแถบแคลิฟอร์เนียซึ่งนายแบบที่ว่าก็คือ Sergey Brin ผู้ร่วมก่อตั้งกูเกิลนั่นเอง

หลายคนคงจำ รถยนต์ไร้คนขับ โครงการทดลองของกูเกิลได้ ตอนนี้เวลาผ่านมาเกือบสองปี มันพัฒนาขึ้นมากจนกูเกิลเตรียมส่งมันเข้าแข่ง NASCAR Racing การแข่งขันรถแข่งรายการสำคัญของสหรัฐแล้ว

Sergey Brin และภรรยา Anne Wojcicki บริจาคเงิน 500,000 ดอลลาร์ให้กับ Wikimedia Foundation มูลนิธิที่ดูแลกิจการของ Wikipedia และเว็บในเครือ Wiki อื่นๆ

การบริจาคจะผ่านมูลนิธิ Brin Wojcicki Foundation ของทั้งคู่ ในอดีตมูลนิธินี้เคยบริจาคเงินให้กับ Michael J. Fox Foundation ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อวิจัยหาแนวทางรักษาโรคพาร์กินสัน

การจัดอันดับเศรษฐีอเมริกา Forbes 400 ปีล่าสุด บิล เกตส์ ยังรักษาแชมป์ไว้ได้ โดยมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยเป็น 59 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ (แต่วัดกันที่ระดับโลก เกตส์เป็นเบอร์สองนะครับ)

การเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจคือ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook ไต่อันดับความรวยเร็วที่สุด มีทรัพย์สินคิดมูลค่ารวม 17.5 พันล้านดอลลาร์ ขึ้นมาอยู่อันดับ 14 แซงหน้าสองผู้ก่อตั้งกูเกิลซึ่งมีทรัพย์สินเท่ากันคนละ 16.7 พันล้านดอลลาร์ อยู่อันดับ 15 ร่วม ปัจจัยสำคัญของความรวยเกิดจากมูลค่าหุ้นของ Facebook ที่ซื้อขาย (นอกตลาด) กันแพงมากนั่นเอง

In The Plex: How Google Thinks, Works, and Shapes Our Lives คือหนังสือเล่มใหม่โดย Steven Levy ซึ่งเปิดเผยแง่มุมใหม่ๆ เชิงลึกของกูเกิลที่เขาศึกษาในช่วงสองปีที่ผ่านมา

หนังสือเปิดเผยว่าในสมัยที่สองผู้ก่อตั้ง Sergey Brin และ Larry Page กำลังหาคนมาเป็นซีอีโอนั้น สตีฟ จ็อบส์ คือตัวเลือกที่พวกเขาต้องการมากที่สุด แน่นอนว่าจ็อบส์ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว แต่เพราะจ็อบส์มองเห็นอนาคตของเสิร์ชที่กูเกิลทำอยู่ เขาจึงตกลงเป็นพี่เลี้ยง (mentor) ให้กับสองผู้ก่อตั้ง ซึ่งที่นั่นเองทำให้พวกเขาได้พบกับ Eric Schmidt ซึ่งเป็นกรรมการบอร์ดของแอปเปิล ผู้กลายมาเป็นซีอีโอของกูเกิลช่วงที่ผ่านมา

สำหรับประเด็นกูเกิล vs จีน คนที่คัดค้านเรื่องการเซ็นเซอร์ผลการค้นหาในจีนตั้งแต่แรกไม่ใช่ใครอื่น เขาคือ Sergey Brin ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทนั่นเอง

Sergey Brin เป็นคนรัสเซียที่ย้ายมาอยู่ในสหรัฐตั้งแต่เด็ก เขาบอกว่านโยบายควบคุมแบบเข้มข้นของจีน ทำให้เขานึกถึงอดีตในสหภาพโซเวียตเดิม และนโยบายล่าสุดของจีนนั้นเข้มงวดเกินกว่าจะทำธุรกิจได้สะดวกเช่นเดิมอีกแล้ว เขายังเสริมว่าการโจมตีกูเกิลโดยแฮกเกอร์ชาวจีน เปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้กูเกิลตัดสินใจลาขาดจากจีน

สองผู้ก่อตั้งกูเกิลได้ประกาศว่ากำลังเตรียมการขายหุ้นของบริษัทออกทั้งหมด 10 ล้านหุ้นมูลค่่ากว่า 5.5 พันล้านดอลลาร์ (คิดตามราคาปัจจุบัน) ในระยะเวลา 5 ปีเพื่อลดผลกระทบต่อราคาหุ้นในตลาด

ราคาหุ้นของกูเกิลเคยขึ้นสูงสุดถึง 629.51 ดอลาร์ต่อหุ้นและเคยตกต่ำที่สุดเหลือแค่ 289.45 ดอลลาร์ต่อหุ้นเมื่อปลายปี 2008 ดังนั้นมูลค่าเป็นเงินสดที่สองคู่หูจะได้รับยังเป็นแค่มูลค่าประมาณเท่านั้น

สิทธิในการออกเสียงของทั้งคู่หลังจากการขายหุ้นจะอยู่ที่ 48% ส่วน Eric Schmidt นั้ันมีหุ้นอยู่ประมาณ 10%

ที่มา - MarketWatch

นับถึงตอนนี้ กูเกิลมีระบบปฏิบัติการของตัวเองแล้ว 2 ตัวคือ Android และ Chrome OS ซึ่งแนวทางนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงการทับซ้อนตลาดกันเอง แม้แต่สตีฟ บัลเมอร์เองยังเตือนกูเกิลว่า การมีระบบปฏิบัติการสองสายไม่ใช่เรื่องง่ายนัก (ข่าวเก่า)

คำตอบมาตรฐานของผู้บริหารกูเกิลก็คือ ระบบปฏิบัติการแต่ละตัวจับตลาดที่แตกต่างกัน (ซึ่งไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไรนัก) แต่ล่าสุดมีคำตอบแบบอื่นออกมาจากปาก Sergey Brin ผู้ก่อตั้งบริษัท

มีรายงานข่าวถึงการซื้อเครื่องบินลำใหม่ของบริษัท H211 L.L.C. ที่เป็นนอมินีของสองผู้บริหารกูเกิลคือ Sergey Brin และ Larry Page เพื่อใช้ในการถือครองเครื่องบินต่างๆ เช่น Boeing 757, Boeing 767 และ Gulfstream V ว่าได้มีการซื้อเครื่องบินลำล่าสุดคือ Dornier Alpha Jet ซึ่งเป็นเครื่องบินรบสัญชาติเยอรมัน

Dornier Alpha Jet เป็นเครื่องบินรบขนาดเบา มีการใช้งานหลักๆ ในสามประเทศคือ ฝรั่งเศส, เยอรมัน, และไทย ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 994 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทำการ 2,780 กิโลเมตร

Sergey Brin หนึ่งในผู้ก่อตั้งกูเกิล ได้เปิดเผยลงในบล็อกส่วนตัวของเขาว่า เขามีสิทธิ์ป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน โดยมีความเสี่ยงระหว่าง 20-80%

ภรรยาของ Sergey นั้นก่อตั้งบริษัทด้านวิจัย DNA ชื่อ 23andMe และนำเอา DNA ของ Sergey ไปทดสอบ พบว่ายีนของเขามีการกลายพันธุ์ชนิดหนึ่งที่หาได้ยาก แต่มีโอกาสทำให้เกิดโรคพาร์กินสัน Sergey ยังเล่าว่าในเครือญาติของเขาก็มีคนที่ป่วยเป็นโรคนี้มาก่อนแล้ว