จากเดิมที่ Microsoft ประกาศหยุดการสนับสนุน Windows XP ภายในวันที่ 8 เมษายนที่จะถึงนี้ สิ่งที่น่าวิตกอย่างยิ่งสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ยังใช้ระบบปฏิบัติการดังกล่าวอยู่ คือเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลที่สุ่มเสี่ยงว่าอาจจะโดนผู้ไม่หวังดีเจาะระบบมาขโมยเอาไปได้ และ 95% ของตู้ ATM ทั่วโลก ล้วนอยู่ในข่ายดังกล่าว
BusinessWeek อ้างว่าตู้ ATM กว่า 95% ยังคงใช้ระบบปฏิบัติการ Windows XP อยู่ในขณะนี้ ซึ่งแน่นอนว่ากำลังตกอยู่ภายใต้อภิมวลมหาความเสี่ยงที่จะโดนโจมตีช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการเพื่อดึงเอาข้อมูลสำคัญไปจากตู้ ATM
ไมโครซอฟท์ได้ชี้แจงการหยุดสนับสนุน Windows XP เพิ่มเติม ดังนี้
Windows XP จะสิ้นอายุขัยอย่างสมบูรณ์แบบในวันที่ 8 เมษายน 2014 หรืออีกไม่ถึง 3 เดือนนับจากนี้
Blognone เขียนเตือนเรื่อง Windows XP มานับครั้งไม่ถ้วน ผลลัพธ์ที่ได้คือมีผู้ใช้กลุ่มหนึ่งตอบกลับมาว่า "ก็ฉันจะใช้ต่อไป ใครจะทำไม" (อ่านแล้วอยากเลิกทำเว็บเลยครับ)
บทความนี้เขียนขึ้นโดยมีจุดประสงค์ว่าต้องการ "ท้าชน" ผู้ใช้ Windows XP ทุกท่าน ถ้าอ่านแล้วยังไม่รู้สึกอะไรก็คงทำอะไรไม่ได้อีกแล้วล่ะครับ
ปีนี้ปี 2014
Windows XP เปิดตัวและวางขายครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2001
ย้ำว่า 2001
ลบเลขครับ
12 ขวบเกือบครึ่ง!
Windows XP จะสิ้นอายุขัยในวันที่ 8 เมษายน 2014 (เขียนเป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่รู้) แต่สิ่งที่จะตายไปหลังจากวันที่ 8 เมษายนไม่ได้มีเฉพาะตัว Windows XP เพราะครอบคลุมไปถึงซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส Microsoft Security Essentials (MSE) รุ่นบน XP ด้วย
MSE จะหยุดอัพเดตฐานข้อมูลไวรัสนับตั้งแต่วันที่ 8 เมษายนเป็นต้นไป และจะหยุดให้ดาวน์โหลดตัวโปรแกรมจากหน้าเว็บของไมโครซอฟท์ในวันเดียวกัน
ท่าทีของไมโครซอฟท์นั้นชัดเจนว่าจะไม่สนใจ Windows XP อีกต่อไปในทุกกรณี อย่างไรก็ตาม ซอฟต์แวร์สำคัญๆ บางตัวเช่น Chrome หรือ Firefox จะยังรองรับ Windows XP ต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง (Chrome จะออกรุ่นบน XP ถึงเดือนเมษายน 2015)
Net Applications เผยสถิติส่วนแบ่งตลาดระบบปฏิบัติการเดสก์ท็อป นับถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2013
Windows XP จะสิ้นอายุขัยในวันที่ 8 เมษายน 2014 ซึ่งไมโครซอฟท์จะหยุดออกแพตช์ความปลอดภัยให้ และมีโอกาสสูงมากที่แฮ็กเกอร์จะนำข้อมูลจากแพตช์ของ Windows 7/8 มาดูว่ามีช่องโหว่แบบเดียวกันบน XP หรือไม่ ถ้าเจอก็จะเป็นช่องโหว่ที่ผู้ใช้ XP แทบไม่มีทางเลี่ยง (ข่าวเก่าที่ไมโครซอฟท์เตือนเรื่องนี้)
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยและการอัพเกรดระบบไอทีหลายคนก็ลงความเห็นตรงกันว่า ลูกค้าองค์กรยังไม่ตื่นตัวเรื่อง Windows XP เท่าที่ควรเนื่องจากสาเหตุหลายอย่างประกอบกัน เช่น องค์กรไม่นิยมอัพเกรดระบบพีซีครั้งใหญ่ทั้งหมด, องค์กรเริ่มอัพเกรดพีซีช้าลงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย จากเดิมอัพเกรดทุก 4 ปีก็ยืดเป็น 5-6 ปี
หลังจาก Windows XP เป็นต้นมา เราแทบไม่เห็นอาการ "จอฟ้า" หรือ Blue Screen of the Dead อันเลื่องชื่อของวินโดวส์สักเท่าไรนัก (ส่วนใหญ่ที่เจอเกิดจากฮาร์ดแวร์มีปัญหาเสียมาก) เว็บไซต์ ZDNet มีบทความเล่าว่าไมโครซอฟท์แก้ปัญหานี้ได้อย่างไรครับ
Byron Cook หัวหน้านักวิจัยของ Microsoft Research ในเคมบริดจ์ อธิบายวิธีแก้ปัญหาของไมโครซอฟท์ว่าเริ่มจากการวิเคราะห์สถิติการแครชของระบบ ซึ่งไมโครซอฟท์พบว่า 85% มาจากปัญหาไดรเวอร์ที่ไม่ได้เขียนโดยไมโครซอฟท์ แต่พัฒนาโดยผู้ผลิตฮาร์ดแวร์จำนวนมาก (และไม่เปิดเผยโค้ด) โจทย์วิจัยของไมโครซอฟท์จึงกลายเป็นการสร้างระบบปฏิบัติการที่ทนทานต่อปัญหาไดรเวอร์
ไมโครซอฟท์วิเคราะห๋ต่อแล้วพบว่าปัญหาไดรเวอร์แยกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ
ในงานประชุมภายในประจำปีของไมโครซอฟท์ บริษัทได้ประกาศว่ามีพีซีร้อยละ 27 ที่ยังคงรัน Windows XP อยู่ ซึ่งก็ประมาณได้เป็นจำนวน 405 ล้านเครื่อง
นอกจากนั้น บริษัทประกาศว่า Windows 7 จะไม่ซ้ำรอยแบบเดียวกับ Windows XP ที่บริษัทต้องยืดอายุการสนับสนุนออกไปจนถึง 8 มิถุนายน ปีหน้าอีก เนื่องจาก Windows 8.1 ได้รับการพัฒนาตามเสียงของลูกค้า โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงในด้านการใช้งานในองค์การ ดังนั้นบริษัทจะผลักดันให้องค์การอัพเกรดเป็นระบบปฏิบัติการล่าสุด
Net Applications เผยส่วนแบ่งตลาดระบบปฏิบัติการประจำเดือนสิงหาคม 2013 แชมป์ยังเป็น Windows 7 ที่ครองตลาดระบบปฏิบัติการพีซี 45.63%
อันดับสอง Windows XP 33.66% (ลดลงจาก 37.19% เมื่อเดือนกรกฎาคม), อันดับสาม Windows 8 7.65% (เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่มีสัดส่วน 5.42%), อันดับสี่ Windows Vista 4.11%, อันดับห้า OS X 10.8 3.42%
การเติบโตของ Windows 8 แม้จะยังน้อยถ้าวัดตามส่วนแบ่งตลาด แต่ก็มีส่วนแบ่งเหนือ OS X ทุกเวอร์ชันนับรวมกันแล้ว (7.26%)
ที่น่าสนใจคือ Windows 8.1 เริ่มเข้ามาในชาร์ทแล้วแม้จะมีแค่รุ่นพรีวิว ตอนนี้มีสัดส่วน 0.24% แล้ว
ที่มา - ZDNet
ไมโครซอฟท์ยังคงเดินหน้ากระทุ้งกลุ่มผู้ใช้งาน Windows XP ให้รีบอัพเกรดไปเป็น Windows เวอร์ชันใหม่ (7/8) อยู่เรื่อยๆ ล่าสุดไมโครซอฟท์ก็ยกประเด็น zero day exploit ขึ้นมาเล่น โดยกระทุ้งไปประมาณว่า ถ้ายังไม่อัพเกรดออกมาจาก Windows XP หลังวันที่ 8 เมษายน คุณจะต้องอยู่กับช่องโหว่นี้ไปตลอดกาล
โดย Tim Rains ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ช่องโหว่ zero day ถูกแก้ไขใน Windows 7 และ 8 ไปเยอะแล้ว ดังนั้นการอัพเกรดจาก Windows XP ขึ้นมาเป็น Windows 7 และ 8 จึงเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะอย่างน้อยก็ช่วยให้อุ่นใจได้ว่าข้อมูลสำคัญต่างๆ ของตัวผู้ใช้เองก็ยังคงปลอดภัยเช่นเคย
Windows XP เหลืออายุอีกแค่ 1 ปี แต่ยังมีผู้ใช้งานอยู่มาก (ตัวเลขในประเทศไทยที่ไมโครซอฟท์ประเมินจากสถิติ StatCounter อีกทีคือ 7.2 ล้านเครื่อง อันนี้เฉพาะที่ต่อเน็ตนะครับ)
Ask Blognone ตอนนี้จึงขอถามผู้ใช้ Windows XP ในปัจจุบันนี้ (โดยเฉพาะผู้ใช้ทั่วไป ไม่ใช่ผู้ใช้องค์กร) สามข้อดังนี้
เนื่องในโอกาส นับถอยหลัง 1 ปีก่อน Windows XP สิ้นอายุขัย ไมโครซอฟท์ออกมากระตุ้นเตือนผู้ใช้ให้รีบย้ายระบบเพื่อลดปัญหาความปลอดภัย (XP จะไม่ได้แพตช์อีกแล้ว) และความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์ (ซอฟต์แวร์องค์กรบางตัวจะหยุดสนับสนุน XP)
ไมโครซอฟท์ยังออกโปรโมชันพิเศษสำหรับองค์กรที่ใช้ Windows XP โดยลดราคา Windows 8 Pro และ Office 2013 Standard ลง 15% จนถึงวันที่ 30 มิถุนายนนี้ (ต้องซื้อแบบ open licensing ผ่านตัวแทนจำหน่ายเท่านั้น ไม่มีข้อมูลว่าประเทศไทยได้โปรโมชั่นนี้ด้วยหรือเปล่า) รายละเอียดดูจากเว็บไซต์ Retiring Windows XP
วันนี้ในอีก 1 ปีข้างหน้า (8 เมษายน 2014) จะเป็นวันสิ้นสุดระยะการสนับสนุนของ Windows XP อย่างเป็นทางการ หลังจากเลื่อนวันตายมาแล้วหลายครั้ง (ข่าวเก่า)
หลังจากเพิ่งโดน Windows 7 แซงหน้าเป็นระบบปฏิบัติการที่มีผู้ใช้เยอะัที่สุดไปแล้ว ตอนนี้ยอดผู้ใช้ Windows XP ก็ถดถอยลงเรื่อย ล่าสุดข้อมูลจาก Net Applications รอบเดือนพฤศจิกายนระบุว่าสัดส่วนของ Windows XP ลดลงไปต่ำกว่า 40% เรียบร้อยแล้ว
ส่วนแชมป์อย่าง Windows 7 ที่แม้จะมีรุ่นใหม่มาแล้ว แต่สัดส่วนก็ยังคงเพิ่มขึ้นเป็น 44.71 ในขณะที่รุ่นใหม่เอี่ยมอย่าง Windows 8 ก้าวข้าม 1% แรกได้แล้ว ในขณะที่ยอดรวม Windows ทุกเวอร์ชันอยู่ที่ 91.45% ตามมาอย่างห่างๆ ด้วย OS X 7.30% และ Linux ที่ 1.25%
อโดบีประกาศผ่านบล็อกของตนว่า Photoshop CS6 (13.0) จะเป็นรุ่นสุดท้ายที่สนับสนุน Windows XP ส่วนรุ่นถัดไปและรวมถึงตัวอัพเดตที่เกี่ยวข้องกับ Creative Cloud จะไม่สนับสนุน Windows ที่มีอายุเกือบ 11 ปีนี้อีกต่อไป
อโดบียังแนะนำว่าลูกค้าของบริษัทที่ยังใช้ Windows XP อยู่ควรเริ่มวางแผนย้ายไปยัง Windows รุ่นใหม่ได้แล้ว เพื่อที่จะได้ใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมของ Photoshop ในอนาคตต่อไป
อนึ่ง Photoshop CS6 ไม่สนับสนุน Windows Vista นอกจากนั้นฟีเจอร์บางรายการที่ขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่และฮาร์ดแวร์กราฟิก อาทิ ฟีเจอร์กับงานด้านสามมิติ และเอนจิ้น Lighting Effects ก็ไม่สามารถใช้งานบน Windows XP ได้เช่นกัน
ไมโครซอฟท์ออกมาประกาศชัดแล้วว่าฟีเจอร์การดาวน์เกรดระบบปฏิบัติการของ Windows 8 ไม่สามารถดาวน์เกรดลงมาเป็น Windows XP ได้ อนุญาตให้ดาวน์เกรดลงเฉพาะ Windows 7/Vista เท่านั้น
ประเด็นนี้คงไม่กระทบกับผู้ใช้ตามบ้านสักเท่าไร (โดยเฉพาะแถวบ้านเราที่เป็น XP เถื่อนเสียเยอะ) แต่มีผลกับองค์กรที่ยังจำเป็นต้องใช้ XP แต่ไม่มีคอมพิวเตอร์ใหม่ที่ติดตั้ง XP ขายอีกแล้ว ดังนั้นการซื้อคอมใหม่ที่พรีโหลด Windows 8 แล้วจะดาวน์เกรดลงมาใช้ XP จึงเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป (ทางออกในตอนนี้คือซื้อคอมใหม่ที่พรีโหลด Windows 7 แทน ซึ่งก็คงจะน้อยลงไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลา)
Windows 8 รุ่นที่ดาวน์เกรดได้คือ Windows 8 Pro กับ Windows 8 Enterprise เท่านั้น ส่วนรุ่นปกติไม่สามารถดาวน์เกรดได้ในทุกกรณี
เรารู้กันดีว่า Windows XP มีส่วนแบ่งตลาดลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่ Windows 7 ก็มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งต้องมีสักวันที่กราฟจะตัดกันและ Windows 7 จะแซงหน้า XP ขึ้นมาได้
จากสถิติของบริษัท Net Applications มันเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้วครับ
ถ้านับเฉพาะระบบปฏิบัติการสำหรับเดสก์ท็อป ส่วนแบ่งตลาดของวินโดวส์ทั้งหมดอยู่ที่ 92.01% ในจำนวนนี้คิดเป็น Windows XP 42.52% (จากระบบปฏิบัติการทั้งหมด) ส่วน Windows 7 แซงหน้าขึ้นมาเป็น 42.72% เรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไป ช่องว่างระหว่าง 7 กับ XP คงเริ่มถ่างมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นไปได้สูงว่า Windows 7 จะกลายเป็นวินโดวส์ยอดนิยมตลอดกาลแทน XP ถ้าเราประเมินว่าคนจะใช้ Windows 8 ไม่เยอะนักในช่วงปีแรกๆ
นอกจากไมโครซอฟท์ได้ปล่อยแคมเปญ Windows Upgrade Offer สำหรับผู้ที่ซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ที่มากับ Windows 7 โดยให้สิทธิ์อัพเกรดเป็น Windows 8 Pro ในราคา 14.99 ดอลลาร์ วันนี้บริษัทก็ได้เปิดตัวแคมเปญสำหรับผู้ที่มี Windows XP, Windows Vista หรือ Windows 7 อยู่แล้ว โดยให้สิทธิ์อัพเกรดเป็น Windows 8 Pro ในราคาพิเศษ รายละเอียดมีดังนี้
ZDNet ได้ข้อมูลวงในที่อ้างว่าเป็นข้อมูลของไมโครซอฟท์ส่งให้พาร์ทเนอร์ บอกแผนการอัพเกรดวินโดวส์รุ่นเก่าๆ มาเป็น Windows 8 ดังนี้
สำหรับการอัพเกรดข้ามสถาปัตยกรรม (32 เป็น 64 บิต) ไม่สามารถย้ายข้อมูลอัตโนมัติได้ครับ (อัพเกรดได้แต่ข้อมูลหาย)
งานวิจัยจาก IDC ที่ได้รับสปอนเซอร์จากไมโครซอฟท์ สำรวจองค์กรขนาดใหญ่จำนวน 9 แห่งที่ใช้ทั้งระบบปฏิบัติการ Windows XP และ Windows 7 ผลสำรวจพบว่า Windows XP มีต้นทุนการดูแลรักษาเยอะกว่ามาก
ตัวเลขของ IDC บอกว่าในบางกรณี ค่าใช้จ่ายเรื่องการสนับสนุนผู้ใช้และระบบไอทีของ Windows XP อาจมากกว่า Windows 7 ถึงห้าเท่าตัว นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องเสถียรภาพและความปลอดภัยของ Windows XP ที่ต่ำกว่า ทำให้องค์กรอาจเสียเวลากับปัญหาเครื่องติดไวรัส ต้องบูตระบบหรือลงใหม่ ซึ่งถือว่าเสียเวลาทำงานไปกับเรื่องเปล่าประโยชน์
Asa Dotzler ผู้ดูแลชุมชน Mozilla ประกาศข่าวการตัดสินใจของ Mozilla ว่าหลังจาก Firefox 12 เป็นต้นไป ทางนักพัฒนาของ Mozilla จะเปลี่ยนระบบคอมไพล์บนวินโดวส์ ซึ่งจากเดิมใช้ Visual Studio 2005 มาเป็น Visual Studio 2010 แทน
ข่าวดีอย่างยิ่งสำหรับนักพัฒนาเว็บที่ปวดหัวกับ IE รุ่นเก่าๆ ครับ ไมโครซอฟท์ประกาศว่าจะเปลี่ยนนโยบายการอัพเกรด IE ผ่าน Windows Update ใหม่ โดยจะอัพเกรด IE เป็นเวอร์ชันใหม่ล่าสุดให้อัตโนมัติ (แบบเดียวกับ Chrome) เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมปีหน้าเป็นต้นไป
นโยบายนี้จะครอบคลุม Windows XP, Windows Vista และ Windows 7 ซึ่งในกรณีของ XP จะอัพเป็น IE8 และ Vista/7 จะได้ IE9 หรือรุ่นใหม่กว่านั้นในอนาคต
ไมโครซอฟท์ให้เหตุผลว่าการอัพเกรด IE โดยอัตโนมัติจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องความปลอดภัยขณะท่องเว็บได้ และผู้ใช้เองก็จะได้ฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่างการรองรับ HTML5 ใน IE9 ด้วย
เมื่อวานนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้วคือ 25 ตุลาคม 2001 ไมโครซอฟท์ได้ออกระบบปฏิบัติการวินโดวส์รุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ นั่นคือ Windows XP
ปัจจุบันแม้เวลาผ่านมาถึง 10 ปี และไมโครซอฟท์เองก็ออกวินโดวส์รุ่นใหม่กว่านั้นมาอีก 2 รุ่น แต่ XP ก็ยังได้รับความนิยมสูง และมีส่วนแบ่งตลาดผู้ใช้เน็ตถึง 30% จากข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ ไมโครซอฟท์เองก็พยายามจะจบวงจรชีวิตของ Windows XP อยู่หลายครั้ง แต่ก็ทนเสียงเรียกร้องจากผู้ใช้ไม่ไหว จนต้องต่ออายุมาหลายรอบ
บริษัทวิจัย Gartner ออกมาเตือนว่าองค์กรที่ใช้ Windows XP ไม่ควรชะงักไปกับการเปิดตัว Windows 8 ของไมโครซอฟท์ และควรอัพเกรดระบบเป็น Windows 7 จะได้ประโยชน์สูงสุด
เหตุผลของ Gartner มีหลายประการ
บริษัทความปลอดภัย Avast เก็บสถิติพีซีที่ใช้วินโดวส์กว่า 600,000 เครื่อง และพบว่า 74% ของ rootkit ที่พบอยู่บน Windows XP
สถิติของ Avast บอกว่า XP มีส่วนแบ่ง 58% ของวินโดวส์ทั้งหมด ในขณะที่ Windows 7 ซึ่งมีส่วนแบ่ง 31% นั้นติด rootkit เพียง 12% ของคอมพิวเตอร์ที่สำรวจ
Avast บอกว่าเหตุผลของตัวเลขนี้มาจาก Windows 7 มีระบบความปลอดภัยดีกว่า และผู้ใช้ XP จำนวนมากละเมิดลิขสิทธิ์ ทำให้ไม่กล้าอัพจาก SP2 เป็น SP3 ที่แก้ปัญหาด้านความปลอดภัยไปมาก (ไมโครซอฟท์หยุดออกแพตช์ให้ XP SP2 มาประมาณหนึ่งปีแล้ว)