Steam หยุดรองรับ Windows 7, 8, 8.1 อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม 2024 ตามที่ประกาศไว้ล่วงหน้าเมื่อเดือนมีนาคม 2023 ด้วยเหตุผลว่า Steam ใช้เอนจิน Chrome ฝังในแอพเพื่อเรนเดอร์เว็บเพจ เมื่อ Chrome หยุดรองรับระบบปฏิบัติการเหล่านี้ ทำให้ Steam ต้องหยุดตามไปด้วย
ไคลเอนต์ Steam จะยังใช้งานได้บน Windows 7, 8, 8.1 ดังเดิม แต่จะไม่มีอัพเดตใหม่ๆ ให้แล้ว ซึ่งรวมถึงอัพเดตแพตช์ความปลอดภัยด้วย ผู้ใช้ต้องรับความเสี่ยงเรื่องมัลแวร์เอาเอง อีกทั้ง Valve จะไม่การันตีว่า Steam จะไม่พังในอนาคต
Google Drive ประกาศหยุดซัพพอร์ตแอพเดสก์ท็อปบนวินโดวส์รุ่นเก่า ได้แก่ Windows 8, 8.1, Server 2012 และวินโดวส์อื่นที่เป็น 32 บิตทั้งหมด (รวม Windows 10 แบบ 32 บิต) โดยจะมีผลในเดือนสิงหาคม 2023 เป็นต้นไป
Steam ประกาศหยุดรองรับ Windows 7, 8, 8.1 ในวันที่ 1 มกราคม 2024 โดยตัวไคลเอนต์ Steam จะไม่สามารถรันได้อีกต่อไป ผู้ใช้จำเป็นต้องอัพเกรดไปใช้ระบบปฏิบัติการที่ใหม่กว่าอย่าง Windows 10 หรือ 11 แทน
Steam ให้เหตุผลว่าใช้ Chrome เวอร์ชันฝังในแอพสำหรับเปิดหน้าเว็บ เมื่อ Chrome หยุดรองรับ Windows รุ่นเก่าไปแล้ว ทำให้ Steam ต้องหยุดรองรับตามไปด้วย
วันนี้ 10 มกราคม 2023 เป็นวันที่ระบบปฏิบัติการ Windows 7, Windows 8.1 สิ้นอายุขัยอย่างสมบูรณ์ นั่นคือหมดระยะซัพพอร์ตพิเศษแบบเสียเงิน Extended Security Update (ESU) เท่ากับว่าหลังจากนี้ไมโครซอฟท์ไม่มีแพตช์ใดๆ ให้อีกแล้ว (แพตช์สุดท้ายจะออกวันนี้)
Windows 7 และ Windows 8.1 หมดระยะซัพพอร์ตแบบปกติตั้งแต่ 14 มกราคม 2020 ผู้ใช้ทั่วไปไม่มีแพตช์ใหม่มานาน 3 ปีแล้ว แต่องค์กรที่ยังไม่พร้อมเปลี่ยน ยังสามารถจ่ายเงินซื้อการอัพเดตแพตช์จากไมโครซอฟท์ต่อได้อีก 3 ปี
ไมโครซอฟท์เตือนสำหรับผู้ใช้ Windows 8.1 ว่าจะมีแพตช์อัพเดตรอบขยายครั้งสุดท้ายในวันที่ 10 มกราคม 2023 จากนั้นจะเข้าสู่สถานะหยุดการสนับสนุน ตาม Windows 7 ที่เข้าสู่สถานะหยุดสนับสนุนตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว
ทั้งนี้เมื่อเข้าสถานะหยุดการสนับสนุน ไมโครซอฟท์จะหยุดออกแพตช์ความปลอดภัย หยุดให้การสนับสนุนทางเทคนิค คำแนะนำสำหรับผู้ใช้งานคือการอัพเกรดไปใช้ระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่กว่า ซึ่งตอนนี้รุ่นล่าสุดคือ Windows 11 หรือ Windows 10 แต่ตัวหลังก็จะมีระยะสนับสนุนไปถึง 14 ตุลาคม 2025 หรือไม่ถึง 3 ปี
ที่มา: Neowin
มีคนพบว่า Chrome เริ่มแสดงข้อความแจ้งเตือนในตัวเบราว์เซอร์เวอร์ชันที่รันบน Windows 7 SP1, Windows 8.1 และ Windows Server 2012 R2 บอกว่าจะไม่มี Chrome เวอร์ชันใหม่บนระบบปฏิบัติการเก่าอีกแล้ว และขอให้อัพเกรดเป็น Windows 10 ขึ้นไปแทน
Windows 7 SP1, 8.1, 2012 R2 จะหมดระยะซัพพอร์ตอย่างสมบูรณ์ (หมดระยะ Extended Security Update ที่ต้องจ่ายเงินซื้อแพตช์) ในเดือนมกราคม 2023 ซึ่ง Chrome ก็ประกาศหยุดซัพพอร์ตวันเดียวกับไมโครซอฟท์ โดยจะออก Chrome 110 ให้เป็นเวอร์ชันสุดท้าย
การขึ้นข้อความเตือนของ Chrome สามารถกดปิดได้ แต่เมื่อเปิดเบราว์เซอร์ขึ้นมาใหม่ก็จะแสดงใหม่อีกครั้งเสมอ
Google ประกาศแผนการปล่อยอัพเดต Chrome เวอร์ชั่น 110 ซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นสุดท้ายที่สนับสนุนการใช้งานบนระบบปฏิบัติการ Windows 7 และ Windows 8.1 ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ปีหน้า
แม้ว่า Windows 7 จะมีอายุนานกว่า 13 ปีมาแล้ว และ Microsoft ได้ประกาศหยุดการอัพเดตเพื่อสนับสนุน Windows 7 ไปตั้งแต่ปี 2020 แต่จากการประเมินเมื่อต้นปี 2021 ยังมีอุปกรณ์ที่รันระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นนี้อยู่มากกว่า 100 ล้านเครื่องทั่วโลก ซึ่งเท่ากับว่าหลังจากปีหน้าไปเครื่องของใครที่ยังรัน Windows 7 อยู่ก็จะขาดการสนับสนุนจากทั้งผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการเองและผู้พัฒนาเว็บเบราว์เซอร์รายใหญ่
ไมโครซอฟท์ประกาศเตือนวันสิ้นสุดการซัพพอร์ต Microsoft 365 Apps (ซึ่งก็คือแอพตระกูล Office ทั้งหลาย) รวมถึง Office 2013 และ Office 2016 บนระบบปฏิบัติการ Windows 7 และ Windows 8.1 ในวันที่ 10 มกราคม 2023 วันเดียวกับระยะสิ้นสุดการซัพพอร์ตของ Windows 8.1
ไมโครซอฟท์หยุดซัพพอร์ต Windows 7 ไปแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2020 แต่ลูกค้าบางกลุ่มอาจยังจ่ายเงินซื้อ Extended Security Updates (ESU) เพิ่มอีก 3 ปี ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 10 มกราคม 2023 เช่นกัน (เท่ากับว่า Windows 7 ESU จะหมดอายุพร้อม Windows 8.1) ส่วน Office เวอร์ชันที่ใหม่กว่านั้นคือ 2019 ไม่รองรับ Windows 7/8.1 ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เชื่อว่าผู้อ่าน Blognone ที่ยังใช้ Windows 8.1 น่าจะมีไม่มาก แต่หากมีอุปกรณ์ใดที่ใช้อยู่ ก็ต้องเตือนว่า Windows 8.1 จะหมดระยะเวลาขยายการซัพพอร์ต (extended support) ที่ไมโครซอฟท์จะออกเฉพาะแพตช์ความปลอดภัยเป็นเวลา 5 ปี โดยกำหนดคือ 10 มกราคม 2023 ต้นปีหน้า
เนื่องจากเหลือเวลาอีกประมาณครึ่งปี ไมโครซอฟท์จึงเตรียมส่งการแจ้งเตือนตั้งแต่กรกฎาคมเป็นต้นไป ว่า Windows 8.1 ใกล้หมดการสนับสนุนทุกอย่างแล้ว
คำแนะนำของไมโครซอฟท์คือให้ผู้ใช้อัพเกรดไปเป็น Windows 11 เลย หากฮาร์ดแวร์รองรับ ส่วน Windows 10 นั้นเป็นทางเลือก ทั้งนี้ Windows 10 จะหมดระยะเวลาขยายการซัพพอร์ตในวันที่ 14 ตุลาคม 2025
ไมโครซอฟท์ประกาศเตรียมหยุดซัพพอร์ต OneDrive ที่เป็นโปรแกรมเวอร์ชันเดสก์ท็อป สำหรับผู้ใช้งาน Windows 7, Windows 8 และ Windows 8.1 มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2022 เป็นต้นไป โดยตั้งแต่วันดังกล่าว OneDrive จะหยุดซิงก์ไฟล์ แต่ยังสามารถเข้าถึงไฟล์ได้ผ่านเว็บ
เหตุผลนั้นก็ตรงไปตรงมา คือ Windows ดังกล่าวเป็นเวอร์ชันเก่า และไมโครซอฟท์ต้องการนำทรัพยากรทีมงานไปพัฒนาฟีเจอร์และความปลอดภัย สำหรับ Windows เวอร์ชันใหม่กว่าคือ Windows 10 และ Windows 11
NVIDIA ประกาศแผนหยุดซัพพอร์ตระบบปฏิบัติการ Windows 7 และ Windows 8/8.1 โดยจะออกไดรเวอร์ Game Ready ตัวสุดท้ายในเดือนสิงหาคม 2021 เท่านั้น ส่วนไดรเวอร์รอบเดือนตุลาคม 2021 เป็นต้นไปจะรองรับเฉพาะ Windows 10 เท่านั้น
NVIDIA ให้เหตุผลว่า Windows 7 และ Windows 8 เป็นระบบปฏิบัติการที่ไมโครซอฟท์เลิกซัพพอร์ตไปแล้ว ส่วน Windows 8.1 ก็ใกล้หมดระยะซัพพอร์ต จึงตัดสินใจย้ายทรัพยากรมาทำบน Windows 10 อย่างเดียวแทน
NVIDIA จะยังออกอัพเดตให้ Windows 7/8/8.1 เฉพาะแพตช์ความปลอดภัยอย่างเดียวอีก 3 ปี ไปจนถึงเดือนกันยายน 2024
เมื่อต้นเดือนนี้ เราเห็นไมโครซอฟท์เริ่มปล่อย Microsoft Edge ตัวใหม่ผ่าน Windows Update สำหรับ Windows 10
ล่าสุดไมโครซอฟท์ออกอัพเดต Microsoft Edge ให้ผู้ใช้ Windows 7 SP1 และ Windows 8.1 ด้วยเช่นกัน ในแง่ตัวเบราว์เซอร์คงไม่มีอะไรต่างกัน แต่กรณีของ Windows 7/8.1 ไม่มี Edge ตัวเดิมมาให้ด้วย การมาถึงของ Edge ตัวใหม่จึงไม่ได้มาแทน Edge ตัวเดิม แต่เป็นเบราว์เซอร์ตัวใหม่ที่เพิ่มเข้ามานอกเหนือจาก Internet Explorer 11 โดยจะไม่เปลี่ยนค่าดีฟอลต์ของระบบด้วย
สิ่งแรกๆ ที่เราจะเห็นในโลกไอทีปี 2020 คือ Windows 7 จะหมดระยะซัพพอร์ตในวันที่ 14 มกราคม 2020 (นั่นคืออีก 2 สัปดาห์) แม้ไมโครซอฟท์พยายามทุกทางให้ผู้ใช้อัพเกรดเป็น Windows 10 แต่ยังมีผู้ใช้ Windows 7 อีกจำนวนมาก (สถิติของ Blognone เองในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา มีผู้ใช้ Windows 7 ประมาณ 6.3% ของผู้ใช้ทั้งหมด หรือคิดเป็น 23% ของผู้ใช้ Windows ทั้งหมด)
เหตุผลที่ผู้ใช้เหล่านี้ไม่ได้อัพเกรดเป็น Windows 10 คงแตกต่างกันไป เช่น คอมพิวเตอร์เก่า (แต่จริงๆ Windows 10 ใช้สเปกขั้นต่ำเท่ากับ Windows 7), ไม่ชอบหรือไม่คุ้นเคยกับ Windows 10 หรือ อาจตกรถ ไม่ทันการอัพเกรดฟรีในช่วงปี 2015-2016
อย่างไรก็ตาม ไมโครซอฟท์ยังแอบหลับตาข้าง โดยเปิดให้ผู้ใช้ Windows 7/Windows 8.1 ที่มีไลเซนส์แท้ อัพเกรดเป็น Windows 10 ได้ต่อไป บทความนี้จะสอนวิธีการทำครับ
Microsoft ออกอัพเดท KB4516067 สำหรับผู้ใช้ Windows Server 2012 R2 และ Windows 8.1 ในวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา การอัปเดตประกอบไปด้วยการปรับปรุงความปลอดภัยทั่วไปของ Windows พร้อมกับการป้องกันช่องโหว่ที่สำคัญ ฟังดูเหมือนจะเป็นการอัพเดทตามปกติ แต่การอัพเดทในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ Windows 8.1 โดยอัพเดทตัวที่เป็นปัญหาที่มีชื่อว่า KB4516067 ที่ก่อปัญหาทำให้ไม่สามารถใช้งาน Internet Explorer บน Surface RT และ Surface 2 ซึ่งเป็นอุปกรณ์ตระกูล Surface ของทางบริษัท Microsoft ปัญหามาจาก ใบรับรองถูกเพิกถอนจากโปรแกรม Internet Explorer อันเป็นเหตุที่ทำให้ Surface ทั้งสองรุ่นไม่สามารถใช้งานโปรแกรมดั่งกล่าวได้ ซึ่ง Surface ทั้งสองรุ่นไม่สามารถใช้งานเว็บบราวเซอร์ตัวอื่นได้นอกจาก Internet Explorer เท่
ไมโครซอฟท์ประกาศปิดการทำงานของ VBScript บน Internet Explorer 11 ด้วยเหตุผลว่าเป็นฟีเจอร์ที่ล้าสมัย (deprecated) ไปนานแล้ว แต่ยังเปิดให้ใช้งานต่อมาอีกระยะหนึ่งเพื่อรักษาความเข้ากันได้ (backwards compatibility) โดยเฉพาะกับเว็บไซต์เก่าๆ ภายในองค์กร
ล่าสุดไมโครซอฟท์บอกว่าถึงเวลาอันสมควรแล้ว จึงออกอัพเดตปิดการทำงานของ VBScript ของ IE11 บน Windows 10 ไปตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม และ Windows 7, 8, 8.1 จะตามมาในวันที่ 13 สิงหาคมนี้
ผู้ที่ยังจำเป็นต้องใช้ VBScript จริงๆ ยังสามารถเปิดกลับมาได้ผ่านการแก้ไข Registry หรือ Group Policy ของระบบปฏิบัติการ
ไมโครซอฟท์ออกเว็บเบราว์เซอร์ Microsoft Edge ยุค Chromium สำหรับ Windows รุ่นเก่าคือ 7, 8, 8.1 โดยตอนนี้ยังมีสถานะเป็นรุ่น Canary channel และจะออก Dev channel ตามมาในเร็วๆ นี้
ฟีเจอร์ของ Edge บน Windows 7, 8, 8.1 ก็เทียบเท่ากับ Edge บน Windows 10 เกือบทุกประการ โดยจะมีฟีเจอร์แสดงผลด้วยเอนจิน IE เพื่อซัพพอร์ตเว็บไซต์เก่าๆ ด้วยเช่นกัน
Adobe ประกาศว่า Creative Cloud เวอร์ชันหน้าที่จะออกในเร็วๆ นี้ (น่าจะเปิดตัวในงาน Adobe MAX เดือนหน้า) จะไม่ซัพพอร์ตระบบปฏิบัติการรุ่นเก่าแล้ว ได้แก่
ส่วน Windows 7 ที่ยังมีผู้ใช้เป็นจำนวนมากจะยังซัพพอร์ตต่อไป ยกเว้นแอพพลิเคชันสายวิดีโอได้แก่ Adobe Media Encoder, After Effects, Audition, Character Animator, Prelude, Premiere Pro จำเป็นต้องใช้ Windows 10 v1703 ขึ้นไปเท่านั้น ไม่สามารถใช้บน Windows 7 ได้อีกแล้ว
ผู้ที่ใช้ระบบปฏิบัติการรุ่นเก่ายังสามารถใช้ Creative Cloud เวอร์ชันปัจจุบันได้ต่อไป แต่จะไม่สามารถติดตั้งแอพเวอร์ชันใหม่ได้แล้ว
Microsoft ออกประกาศล่าสุดเกี่ยวกับการรับแอพบน Microsoft Store ใหม่ โดยจะเลิกรับแอพใหม่สำหรับ Windows 8/8.1 และ Windows Phone 8.x ตั้งแต่ 31 ตุลาคมนี้ หลังจากนั้นจะเลิกปล่อยแอพตามไทม์ไลน์ ดังนี้
เมื่อปลายเดือนที่แล้วไมโครซอฟท์ได้เริ่มทยอยอัพเดตความสามารถใหม่ให้กับ OneDrive desktop ในชื่อ Known Folder Move (KFM) ฟีเจอร์ซึ่งจะช่วยซิงค์โฟลเดอร์ที่ Windows เตรียมไว้ให้ผู้ใช้จัดเก็บข้อมูลทั้ง Desktop, Documents และ Pictures ขึ้นไปเก็บบน OneDrive ได้ง่ายๆ ผ่านการตั้งค่าเพียงไม่กี่คลิก
โดยปกติแล้วการซิงค์โฟลเดอร์ข้างต้นกับ OneDrive ต้องอาศัยการย้ายตำแหน่งของแต่ละโฟลเดอร์ไปวางไว้ภายใต้ OneDrive ด้วยตัวเอง แต่ด้วยฟีเจอร์ KFM สิ่งที่ผู้ใช้ต้องทำเหลือเพียงแค่คลิกเลือกโฟลเดอร์ที่ต้องการจากหน้าตั้งค่า Auto Save ในเมนู Setting ของ OneDrive เท่านั้น
ไมโครซอฟท์มี 'บริการ' ความปลอดภัยชื่อ Windows Defender Advanced Threat Protection (เรียกย่อๆ คือ Windows Defender ATP) ที่เริ่มนำมาใช้กับ Windows 10 Fall Creators Update
ล่าสุดไมโครซอฟท์ประกาศว่าจะขยาย Windows Defender ATP ไปใช้กับ Windows 7 และ Windows 8.1 ด้วย เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าองค์กรที่ยังมี Windows เวอร์ชันเก่าใช้งานอยู่
เมื่อวันก่อน (9 มกราคม 2018) ถือเป็นวันหมดระยะซัพพอร์ตระบบปฏิบัติการ Windows 8.1 แบบ mainstream support แล้ว นั่นแปลว่าไมโครซอฟท์จะไม่แก้บั๊กหรือเพิ่มฟีเจอร์ใดๆ ให้กับ Windows 8.1 อีกต่อไป
จากนี้ไป Windows 8.1 จะเข้าสู่ระยะ extended support เป็นเวลาอีก 5 ปี (หมด 10 มกราคม 2023) ซึ่งใน 5 ปีนี้ ไมโครซอฟท์จะออกแพตช์อุดช่องโหว่ความปลอดภัยให้เพียงอย่างเดียวแล้ว
ส่วน Windows 7 ที่หมดระยะ mainstream support ไปตั้งแต่ปี 2015 จะหมดระยะ extended support ในวันที่ 14 มกราคม 2020 เท่ากับว่าเหลือเวลาอีกประมาณ 2 ปีในการอัพเกรดมาใช้ระบบปฏิบัติการที่ใหม่ขึ้น
หลังไมโครซอฟท์ประกาศไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ตอนนี้ Windows 7 Pro ร่วมกับ Windows 8.1 หมดระยะการขายให้กับผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ (OEM) แล้วตั้งแต่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา ดังนั้นหากพบเห็นแล็บท็อปที่ติดตั้งมาพร้อม Windows 7 Pro หรือ Windows 8.1 แสดงว่าเป็นเครื่องสต๊อคที่ยังขายไม่หมด
การหมดระยะดังกล่าว ทำให้ตอนนี้มีเพียง Windows 10 เท่านั้นที่จะถูกติดตั้งบนอุปกรณ์มาตั้งแต่โรงงาน ขณะที่ไมโครซอฟท์ระงับการขาย Windows 8 ให้กับ OEM ตั้งแต่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา
เมื่อเร็วๆ นี้ Shad Larsen หัวหน้าฝ่ายวางแผนธุรกิจของไมโครซอฟท์ ได้ออกมาประกาศนโยบายใหม่ของบริษัท หลังจากที่ประกาศเรื่องการปรับให้ซีพียูรุ่นใหม่ๆ ต้องทำงานบน Windows 10 ได้เท่านั้นไปก่อนหน้านี้ ซึ่งประกาศล่าสุดไมโครซอฟท์ได้ตัดสินใจขยายระยะเวลาการสนับสนุน Windows 7 และ Windows 8.1 ออกไปเพิ่มเติมแล้ว แต่เฉพาะอุปกรณ์ที่ใช้ Skylake เท่านั้น
โดยเรื่องหลักๆ ที่ ไมโครซอฟท์ประกาศออกมามีทั้งหมด 3 ข้อ ดังต่อไปนี้ครับ
ไมโครซอฟท์ประกาศปรับวิธีการออกแพตช์องระบบปฏิบัติการรุ่นเก่าที่ยังซัพพอร์ต ได้แก่ Windows 7, Windows 8.1, Windows Server 2008 R2, Windows Server 2012, Windows Server 2012 R2
เดิมทีไมโครซอฟท์ออกแพตช์แยกเป็นไฟล์ๆ (ตามรหัส KB) และเปิดให้ผู้ใช้หรือแอดมินเลือกอัพเดตเป็นบางแพตช์ได้ แต่หลังจากเดือนตุลาคม 2016 เป็นต้นไป ไมโครซอฟท์จะออกแพตช์รวมเป็นก้อนเดียวในแต่ละเดือน (Monthly Rollup) แทน
ไมโครซอฟท์ให้เหตุผลของการรวมแพตช์เป็นก้อน ว่าเพื่อลดความซับซ้อนของการอัพเดตแพตช์ลง ทุกเครื่องได้แพตช์เท่ากันหมด ลดจำนวนครั้งของการอัพเดตมาเหลือเดือนละครั้ง คาดเดาได้ว่าจะมาเมื่อไรอย่างไร และประสบการณ์การอัพเดตก็คงที่ เหมือนเดิมทุกเดือน
หลังจากไมโครซอฟท์ได้ยืดเวลาการซัพพอร์ต Windows 7/8.1 บนหน่วยประมวลผล Intel Skylake ไปเป็นวันที่ 17 กรกฎาคม 2018 (จากเดิมที่ประกาศไว้ตอนแรก 17 กรกฎาคม 2017)
ล่าสุด ไมโครซอฟท์ได้ต่ออายุการซัพพอร์ตเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ไปจนเท่ากับอายุการสนับสนุนระบบปฏิบัติการ Windows 7 คือวันที่ 14 กรกฎาคม 2020 และ Windows 8.1 ซึ่งตรงกับวันที่ 10 มกราคม 2023 โดยจะได้รับแพตช์ความปลอดภัยจนกว่าจะถึงวันสิ้นสุดการสนับสนุน
ทั้งนี้ สำหรับหน่วยประมวลผลสถาปัตยกรรมใหม่ๆ จากทั้งฝั่ง Intel Kaby Lake และ AMD Bristol Ridge รวมไปถึงรุ่นใหม่หลังจากนั้น จะรองรับเพียงแค่ Windows 10 เท่านั้น