Windows
ไมโครซอฟท์ออกแพตช์ Meltdown/Spectre มาตั้งแต่วันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นแพตช์ที่แก้ไขการทำงานเคอร์เนล ทำให้มีปัญหากับซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสบางตัวโดยไมโครซอฟท์รับรู้ปัญหานี้ตั้งแต่ระหว่างทดสอบแพตช์
ทางแก้คือไมโครซอฟต์กำหนดให้เครื่องที่จะได้รับแพตช์วันที่ 3 มกราคม ต้องตั้งค่าในรีจิสตรี SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\QualityCompat
เอาไว้ล่วงหน้า ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้รับแพตช์ หากติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสเอาไว้ แม้จะเป็นของฟรีเช่น Microsoft Security Essentials เมื่ออัพเดตซอฟต์แวร์ที่รองรับแพตช์ใหม่เรียบร้อยแล้ว ตัวป้องกันไวรัสก็จะเขียนรีจิสตรีนี้ให้เอง แต่หากไม่ได้ติดตั้งตัวป้องกันไวรัสใดๆ เลยจะต้องตั้งค่ารีจิสตรีนี้ด้วยตัวเอง
Classic Shell โปรแกรมปรับแต่ง Start Menu สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใช้ที่ยังต้องการ Start Menu ในแบบเดิมๆ ที่คุ้นเคย ประกาศยุติการพัฒนาแล้ว
ทาง Ivo Beltchev ผู้พัฒนาได้ให้เหตุผลของหยุดพัฒนาไว้บนฟอรั่มว่าเขาต้องการใช้เวลาว่างกับงานอดิเรกอื่นๆ การที่ต้องตามอัพเดต Classic Shell ให้สามารถใช้งานกับ Windows 10 รุ่นใหม่ที่ออกอัพเดตใหญ่ถึงปีละสองครั้ง พร้อมๆ กับการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่นั้นกลายเป็นงานที่หนักเกินไปสำหรับเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Windows เวอร์ชันใหม่ๆ มีการเปลี่ยนแปลงโมเดลการพัฒนาที่ฉีกไปจากเขียนโปรแกรม Win32 แบบเดิม งานของ Ivo ก็ยิ่งทวีความยากขึ้นอย่างมาก
ผู้ใช้ Windows ที่จำเป็นต้องใช้งานเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ผ่าน OpenSSH อาจจะเลือกดาวน์โหลด PuTTY ซึ่งเป็นโปรแกรมไคลเอนท์ของ OpenSSH ยอดนิยมมาติดตั้งบน Windows แต่ล่าสุด Microsoft เริ่มทดสอบโปรแกรม OpenSSH บน Windows 10 แล้ว ทั้งไคลเอนท์และเซิร์ฟเวอร์ ทำให้ผู้ใช้ที่ใช้งานฟีเจอร์พื้นฐานอาจจะไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดโปรแกรมอื่นมาติดตั้งอีกต่อไป
เว็บไซต์ ServerTheHome ไปค้นพบฟีเจอร์นี้ โดยทำวิดีโอแนะนำวิธีติดตั้งมาให้ดู โดยเข้าไปที่ Manage Optional Features กด Add a Feature และค้นหา OpenSSH ซึ่งจะมีให้ดาวน์โหลดทั้งไคลเอนท์และเซิร์ฟเวอร์ เมื่อติดตั้งแล้วก็สามารถเรียกจาก Command Prompt ของ Windows ได้ทันที
Microsoft 365 Business ชุดโปรแกรมรวมไลเซนส์ Windows และ Office แบบจ่ายรายเดือนสำหรับขายธุรกิจ SME ขนาดประมาณ 300 คน ได้เริ่มเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบแล้ว หลังจากเปิดตัวตั้งแต่เดือนกรกฎาคม และเริ่มให้ทดสอบตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
ชุดโปรแกรม Office 365 Business จะมาพร้อมกับ Office 365 Business Premium พร้อมทั้งระบบความปลอดภัยและระบบจัดการให้เรียบร้อย มีระบบควบคุมกลางสำหรับการดีพลอยและจัดการด้านความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน
นอกจากนี้ Microsoft ยังเปิดตัวแอพอีกสามตัวซึ่งจะมาพร้อมกับชุด Microsoft 365 Business และ Office 365 Business Premium สำหรับผู้ใช้ในแคนาดา, สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ ดังนี้
ไมโครซอฟท์เพิ่งปล่อยอัพเดตใหญ่ให้ Windows 10 ในชื่อ Fall Creators Update ไปเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา มีฟีเจอร์ใหม่ๆ หลายอย่าง และมีฟีเจอร์เล็กๆ อันหนึ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องนำเสนองานด้วย PowerPoint บ่อยๆ นั่นคือการใช้ปากกาดิจิทัลเป็นรีโมทกดสไลด์
การจะใช้ฟีเจอร์ดังกล่าวมีเงื่อนไขเล็กน้อย คือปากกาดิจิทัลที่ใช้ต้องถูกออกแบบมาตามหลักการ Windows Pen Design และต้องเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่านบลูทูธเท่านั้น เช่น Surface Pen ของไมโครซอฟท์เอง หรือปากกา Wacom Bamboo Ink
จากข่าวดังเมื่อวานนี้เรื่อง "KRACK" ช่องโหว่ Wi-Fi ระดับโพรโทคอล ที่เปิดเผยโดย US-CERT แต่สามารถแก้ได้ในระดับซอฟต์แวร์ฝั่งไคลเอนต์
ล่าสุดไมโครซอฟท์เปิดเผยว่าได้อุดช่องโหว่นี้เรียบร้อยแล้ว ในอัพเดตของ Windows รอบเดือนตุลาคม (ที่ออกตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคมหรือ Patch Tuesday รอบล่าสุดที่ออกในสัปดาห์ที่แล้ว) ครอบคลุม Windows 7 SP1, 8.1, 10 และ Windows Server 2008, 2008 R2, 2012 R2, 2016 เรียกว่าใครอัพเดตไปแล้วก็อุ่นใจได้ (กรณีของ 2008 ต้องลงแพตช์เพิ่มเอง)
ไมโครซอฟท์เปิดโครงการ Windows Bounty Program สำหรับวินโดวส์ทั้งเซิร์ฟเวอร์และไคลเอนต์ทั้งหมด โดยรวม Edge เข้ามาด้วย
โครงการนี้เริ่มที่ Windows Insider Preview เป็นพื้นฐาน รางวัล 500 ถึง 15,000 ดอลลาร์ แล้วเพิ่มเติมบริการอื่น ได้แก่ Edge 500-15,000 ดอลลาร์, Windows Defender Application Guard 500-30,000 ดอลลาร์, mitigation bypass 500-200,000 ดอลลาร์ และที่รางวัลสูงสุดคือ Hyper-V ที่ครอบคลุมทั้ง Windows 10 รุ่นปกติ, Windows Server 2012 ไปจนถึง Windows Server Insider Preview รางวัล 5,000-200,000 ดอลลาร์
Microsoft จะเริ่มแจ้งเตือนผู้ใช้ Windows 10 เวอร์ชัน 1507 ซึ่งเป็น Windows 10 เวอร์ชันแรก โดยส่งการแจ้งเตือนเพื่อให้ผู้ใช้อัพเดตเป็นรุ่นล่าสุดหรือ Windows 10 Creators Update เนื่องจากเวอร์ชัน 1507 หมดเขตการสนับสนุนและไม่ได้รับการอัพเดตความปลอดภัยแบบรายเดือนอีกแล้ว
ปัจจุบัน Microsoft จะให้ผู้ใช้ตรวจสอบการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวก่อนติดตั้ง Creators Update ซึ่งถ้าเกิดว่าผู้ใช้ยังไม่ได้รับการอัพเดต ในสัปดาห์นี้ Microsoft จะเริ่มเตือนแจ้งผู้ใช้โดยจะแสดงหน้าการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวขึ้นมา แต่ถ้าผู้ใช้ยังไม่พร้อมสามารถกดข้ามไปก่อนได้
Microsoft ประกาศหยุดให้บริการ Windows App Studio เครื่องมือสร้างแอพออนไลน์ที่เปิดให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอพแบบ Windows Universal ซึ่งตัวแอพสามารถดาวน์โหลดและนำไปคอมไพล์กับ Visual Studio ต่อได้
การปิดตัวในครั้งนี้ Microsoft แจ้งว่าเพื่อให้ผู้ใช้ย้ายไปใช้ Windows Template Studio ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใหม่กว่าแทน โดยทางบริษัทได้ประกาศแผนการปิดตัวดังนี้
แบบสำรวจที่จัดทำโดย Verto Analytics เผยให้เห็นว่าผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในสหรัฐฯ ที่ใช้แล็ปท็อปวินโดวส์จำนวน 21% และผู้ใช้เดสก์ท็อประบบวินโดวส์ 25% มีแผนจะเปลี่ยนไปใช้แมคภายใน 6 เดือนข้างหน้า ในขณะที่มีผู้ใช้แมคจำนวน 2% เท่านั้นที่มีแผนจะเปลี่ยนไปใช้วินโดวส์ ทั้งนี้กลุ่มผู้ใช้งานที่มีแผนจะเปลี่ยนไปใช้แมคมากที่สุดคือผู้ที่มีรายได้ 1.5 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีขึ้นไป รองลงมาคือผู้ที่มีรายได้ตั้งแต่ 1.5 หมื่นดอลลาร์สหรัฐฯ ลงไป
ไมโครซอฟท์ออกประกาศแจ้งเตือนความปลอดภัยหมายเลข 4025685 ปล่อยแพตช์ความปลอดภัยระดับวิกฤติ 14 รายการและระดับสำคัญอีก 1 รายการ กระทบแพลตฟอร์มเก่าๆ ได้แก่ Windows XP, Windows Vista, Windows Server 2003, และ Windows 8
ไมโครซอฟท์เผยว่าย้ายซอร์สโค้ด Windows ทั้งหมดจากระบบ Source Depot ของตัวเอง มาสู่ Git เรียบร้อยแล้ว ส่งให้ไมโครซอฟท์มี git repository ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในทันที
กระบวนการย้ายระบบของไมโครซอฟท์เริ่มในเดือนมีนาคม โดยพนักงานกลุ่มแรก 2,000 คนจากทีม Windows OneCore ใช้งาน Source Depot ในวันศุกร์ เมื่อกลับมาเช้าวันจันทร์ก็เจอกับระบบใหม่ที่เป็น Git แทน
ขณะนี้มัลแวร์เรียกค่าไถ่ WannaCry / WannaCrypt กำลังระบาดหนักทั่วโลก มีคอมพิวเตอร์โดนโจมตีไปแล้วกว่า 200,000 เครื่องใน 99 ประเทศภายในเวลาเพียง 2 วันเท่านั้น
เรามีวิธีป้องกันตัวเองจากมัลแวร์ดังกล่าวอยู่ 2 อย่าง คือการอัพเดตวินโดวส์เพื่ออุดช่องโหว่ และอีกอย่างคือการปิดโปรโตคอล Server Message Block (SMB) ที่เป็นโปรโตคอลสำหรับการรับส่งไฟล์ระหว่างคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน
แม้ว่าไมโครซอฟท์จะปล่อยอัพเดตแพตช์เพื่ออุดช่องโหว่ไปเมื่อเดือนมีนาคม และไมโครซอฟท์ยังออกอัพเดทแพตช์ให้กับ OS เก่าๆ อย่าง Windows XP, Windows 8, และ Windows Server 2003 เป็นกรณีพิเศษแล้วก็ตาม
แต่ยังมีข่าวระบบไอทีโดนโจมตีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเซิร์ฟเวอร์ Blade & Soul ประเทศไทยที่ดูแลโดยบริษัท การีนา ออนไลน์ (ประเทศไทย) ก็ถูกพิษของ WannaCrypt เล่นงานไปด้วย
ชุดเครื่องมือ EternalBlue ที่น่าจะเป็นของ NSA แสดงให้เห็นว่ามันมีประสิทธิภาพสูงยิ่ง สามารถเจาะเครื่องวินโดวส์ที่ไม่ได้อุดช่องโหว่นี้อย่างง่ายดาย มัลแวร์ที่พัฒนาต่ออย่าง WannaCrypt มีอัตราการแพร่ระบาดสูง ตอนนี้ไมโครซอฟท์ก็ประกาศปล่อยแพตช์ KB4012598 ให้กับ Windows XP, Windows 8, และ Windows Server 2003 ที่หมดอายุซัพพอร์ตไปแล้วเป็นกรณีพิเศษ
ตอนนี้ผมทดลองเข้าลิงก์ดาวน์โหลดของไมโครซอฟท์พบหน้า error อยู่ แต่น่าจะหากมีการแก้ไขแล้วก็น่าจะดาวน์โหลดกันได้เร็วๆ นี้ครับ
ไมโครซอฟท์ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับโครงการ Windows Insider จนขยายมาเป็น Office Insider และ Xbox Insider ด้วยในภายหลัง
ล่าสุดไมโครซอฟท์ประกาศในงาน Build 2017 ว่าจะส่ง Windows Server ระบบปฏิบัติการสำหรับเซิร์ฟเวอร์เข้ามาร่วมโครงการ Windows Insider ด้วยในช่วงฤดูร้อนกลางปีนี้ โดยผู้ใช้ Windows Insider สามารถทดสอบ Windows Server เวอร์ชันหม่ล่าสุดได้เช่นเดียวกับ Windows 10
ไมโครซอฟท์ยังประกาศฟีเจอร์ใหม่ให้ Windows Server ประกอบด้วย Windows Subsystem for Linux (WSL) on Windows Server, การปรับเวอร์ชัน Nano Server ให้ทำงานร่วมกับ Container และ Container Orchestration/Storage โดยทั้งหมดจะให้ทดสอบกันผ่านโครงการ Insider
กลุ่มแฮกเกอร์ Shadow Broker เคยออกมาขอเงิน 1 ล้านดอลลาร์เพื่อแลกกับชุดเครื่องมือที่น่าจะเป็นของ NSA แต่ปรากฎว่าไม่มีใครยอมจ่ายทำให้ทางกลุ่มปล่อยเครื่องมือออกมาฟรี และตอนนี้ก็เริ่มมีแฮกเกอร์ใช้เครื่องมือเหล่านี้แฮกเครื่องที่ต่ออินเทอร์เน็ตเป็นวงกว้างแล้ว
มัลแวร์ DoublePulsar ทำงานในแรมทั้งหมดทำให้มัลแวร์หายไปเมื่อบูตเครื่อง แต่การนำมัลแวร์ไปรันต้องอาศัยช่องโหว่อื่น ซึ่งไมโครซอฟท์แพตช์ไปก่อนแล้ว ชุดแฮกสำคัญเช่น EternalBlue ถูกแพตช์ไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่เซิร์ฟเวอร์จำนวนมากยังคงไม่ยอมอัพเดตทำให้ยังคงเป็นเหยื่อต่อเครื่องมือเหล่านี้ได้
Microsoft ได้หยุดสนับสนุน Windows Vista แบบ extended support (ความปลอดภัยอย่างเดียว) อย่างเป็นทางการแล้วตามกำหนด คือวันที่ 11 เมษายน 2017 หลังจากที่หมดระยะ mainstream support (ความปลอดภัย, แก้บั๊ก, เพิ่มฟีเจอร์) ตั้งแต่เดือนเมษายน 2012
การหยุดสนับสนุนแบบ extended support นั้นหมายความว่า Microsoft จะไม่มีการออกแพทซ์ความปลอดภัยให้กับ Windows Vista อีกแล้ว ซึ่งก็คือหมดระยะการซัพพอร์ตอย่างเป็นทางการ ดังนั้นผู้ใช้ Vista จะมีความเสี่ยงทันที
ส่วน Microsoft Security Essentials ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ความปลอดภัยของ Microsoft ก็จะหยุดให้การดาวน์โหลดบน Windows Vista เช่นกัน และถ้าผู้ใช้ได้ติดตั้งซอฟต์แวร์ไปแล้ว ก็สามารถใช้งานได้อีกในระยะเวลาจำกัด
StatCounter ผู้ให้บริการเก็บสถิติผู้ใช้อินเทอร์เน็ตรายใหญ่ ประกาศว่าสัดส่วนการใช้งาน Android แซงหน้า Windows ได้เป็นครั้งแรกแล้ว
ตัวเลขของ StatCounter นับรวมอุปกรณ์ทุกประเภท ทั้งพีซี โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน โดยนับเฉพาะการใช้งานอินเทอร์เน็ตจริง (ไม่ได้นับตามจำนวนอุปกรณ์) ผลคือเดือนมีนาคม 2017 สัดส่วนการใช้งาน Android อยู่ที่ 37.93% ส่วน Windows อยู่ที่ 37.91%
อัตราการเติบโตของ Android ถือว่ารวดเร็วมาก เมื่อ 5 ปีก่อนเพิ่งมีส่วนแบ่งแค่ 2.4% เท่านั้น
ส่วนแบ่งตลาดระบบปฏิบัติการ แปรผันตามภูมิภาคด้วย ในอเมริกาเหนือ Windows ยังมีส่วนแบ่งถึง 39.5% ตามด้วย iOS 25.7% ส่วน Android ตามมาอันดับสามที่ 21.2% แต่ในเอเชีย Android มีส่วนแบ่งถึง 52.2% ส่วน Windows อยู่ที่ 29.2%
หลังจากที่ทาง StatCounter บริษัทเก็บสถิติในการใช้งานอินเทอร์เน็ต เคยเผยข้อมูลว่าทราฟฟิคอินเทอร์เน็ตบนอุปกรณ์พกพาแซงหน้าเดสก์ท็อปไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ตอนนี้เมื่อแบ่งเป็นระบบปฏิบัติการณ์แล้ว แอนดรอยด์เองก็กำลังแซงหน้าวินโดวส์แล้วเช่นกัน
StatCounter เผยว่าส่วนแบ่งทราฟฟิคของวินโดวส์ตอนนี้อยู่ที่ 38.6% ขณะที่แอนดรอยด์อยู่ที่ 37.4% ซึ่ง Aodhan Cullen ซีอีโอของ StatCounter ระบุว่าเทรนด์นี้ ถ้าพูดเมื่อ 5 ปีที่แล้วแทบไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้น เพราะตอนนั้นส่วนแบ่งวินโดวส์อยู่สูงถึง 82% ส่วนแอนดรอยด์มีเพียง 2.2% เท่านั้น
ทาง Project Zero ของกูเกิลเปิดเผยช่องโหว่ในไลบรารี gdi32.dll ของระบบปฏิบัติการ Windows โดยช่องโหว่ดังกล่าวพบในระบบปฏิบัติการหลายรุ่นตั้งแต่ Windows Vista Service Pack 2 จนถึง Windows 10
ตามรายงานบอกว่า ช่องโหว่เปิดช่องให้แฮคเกอร์ขโมยข้อมูลจากหน่วยความจำได้ และมีผลถึงทุกแอพที่ใช้ไลบรารีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การโจมตีช่องโหว่นี้ต้องเข้าถึงไลบรารีโดยตรงเท่านั้น (Physical Access)
Project Zero แจ้งให้ไมโครซอฟท์ทราบตั้งแต่เดือนมีนาคม 2016 และไมโครซอฟท์ก็ออกแพทช์แก้แล้วเมื่อเดือนมิถุนายน 2016 แต่ปรากฏว่ายังไม่สามารถแก้ไขบั๊กได้อย่างสมบูรณ์
Microsoft ได้ขยายโครงการ Windows Insider Program ให้รองรับการใช้งานภายในองค์กรด้วย คือ Windows Insider Program for Business หลังจากประสบความสำเร็จกับโครงการ Windows Insider สำหรับผู้ใช้ทั่วไปมาแล้ว
Windows Insider สำหรับองค์กรนี้ ตั้งขึ้นมาเพื่อให้ Microsoft เก็บข้อมูลจากการใช้งานขององค์กรได้ เนื่องจากการใช้งานของฝั่งองค์กรนั้นแตกต่างจากผู้ใช้ทั่วไป เพราะมักจะมีการใช้งานเครื่องมือองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ เช่น Group Policies, ระบบ sandbox โดยมีพื้นฐานจาก Hyper-V หรือการใช้งานทางไกล
แหล่งข่าวจากไต้หวันเผยว่า ไมโครซอฟท์ลดราคาไลเซนส์ Windows 10 ให้กับผู้ผลิตที่จะวางขายโน้ตบุ๊กหน้าจอเล็กกว่า 14.1 นิ้ว ในปีนี้
แหล่งข่าวเผยว่า การลดราคานี้อาจมาจากการแข่งขันกับ Chromebook ของกูเกิล ที่ไม่ได้มีค่าไลเซนส์ระบบปฏิบัติการ Chrome OS ทำให้ฮาร์ดแวร์มีราคาถูกกว่า และผู้ผลิตหลายรายที่ผลิตฮาร์ดแวร์บนแพลตฟอร์ม Windows อย่าง เลอโนโว เอเซอร์ เอซุส เดลล์ และซัมซุงได้เปิดตัว Chromebook กันมากขึ้น
ที่มา: DigiTimes
กูเกิลเปิดเผยช่องโหว่ของ Windows system call ในไฟล์ win32k.sys ทำให้แฮกเกอร์สามารถยกระดับสิทธิ์เป็นสิทธิ์ระดับสูงเพื่อเจาะออกจาก sandbox ของวินโดวส์
ช่องโหว่นี้เป็นช่องโหว่ชุดเดียวกับที่ Adobe เพิ่งออกแพตช์ไปก่อนหน้านี้ โดยกูเกิลระบุว่าตรวจพบการโจมตีบ้างแล้ว และเนื่องจากช่องโหว่มีการโจมตีแล้ว กูเกิลใช้นโยบายที่ต่างไปจากการแจ้งช่องโหว่ปกติ โดยจะให้เวลาผู้ผลิตเพียง 7 วันหลังการแจ้งเตือน
ไมโครซอฟท์ได้รับแจ้งไปตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา และตอนนี้กูเกิลก็เปิดเผยช่องโหว่นี้แล้วหลังแจ้งไปยังไมโครซอฟท์ 10 วัน
Touch Bar หรือแถบหน้าจอสัมผัสที่มาแทนที่ปุ่มฟังก์ชัน เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของ MacBook Pro ที่เปิดตัวเมื่อคืน ซึ่งก่อให้เกิดคำถามตามมาว่า แล้วถ้าเอา MacBook Pro มารันวินโดวส์ผ่าน Boot Camp แถบ Touch Bar จะเป็นอย่างไร
คำถามนี้มีคนส่งอีเมลปถาม Craig Federighi รองประธานฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ของแอปเปิลว่า Touch Bar จะกลายเป็นแถบฟังก์ชันตามปกติ หากรัน MacBook Pro ด้วยวินโดวส์ถูกหรือไม่ ซึ่ง Federighi ก็ตอบว่าใช่ อย่างไรก็ตามเว็บไซต์ MacRumors ระบุว่าไม่กล้าจะยืนยันว่าอีเมลนี้ถูกตอบกลับโดย Federighi จริง 100% แต่ดูจากหัวของอีเมลแล้วก็น่าจะเป็นอีเมลจากแอปเปิลจริง