กระแสของ Dark mode กำลังแผ่ขยายไปทุกแอพในตอนนี้ ต่อจาก Instagram ที่กำลังทดสอบ Dark modeก็เป็นคิวของ Play Store ที่รองรับ Dark mode กันบ้างแล้วหลังจากแอพอื่น ๆ ของกูเกิลพากันได้ Dark mode ไปจนเกือบหมด

สำหรับ Dark mode ต้องให้สมาร์ทโฟนของเราเป็น Android 10 และ Play Store ต้องอัปเดทเป็นเวอร์ชั่น 16.7.21 ก่อนถึงจะใช้งานได้ โดยสีของทั้งแอพจะเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเทาเข้มเกือบดำยกเว้นแถบค้นหาที่สีจะอ่อนลงเล็กน้อย โดยตัวอย่างภาพสามารถเปิดดูได้ในที่มา

ที่มา : 9to5Google

เสียวหมี่ประเทศไทยประกาศเปิดตัว Xiaomi Mi 9 Lite ราคาเริ่มต้น 7,999 บาท มีสเปคดังนี้

• ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 710
• หน้าจอขนาด 6.39" ความละเอียด FHD+ แบบ AMOLED อัตราส่วนพื้นที่หน้าจอ 91%
• แบตเตอรี 4,030 mAh รองรับการชาร์จเร็ว 18W
• กล้องหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล มีฟีเจอร์ผสาน 4 พิกเซลเป็น 1 พิกเซลให้ภาพสว่างขึ้น
• กล้องหลังตัวหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซลกับเซนเซอร์ขนาด 1/2 นิ้ว+เลนส์ ultrawide-angle ขนาด 118 องศา ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล+กล้อง Depth 2 ล้านพิกเซล พร้อมระบบ AI ช่วยประมวลผลภาพ

ก่อนหน้านี้ iPad ใช้ iOS ร่วมกับ iPhone มาตลอดจน Apple ประกาศเปิดตัว iPadOS สำหรับ iPad โดยเฉพาะ ซึ่งมีคำสั่งและวิธีการใช้ใหม่ ๆ เพียบ แอปเปิ้ลจึงส่งคลิปแนะนำวิธีการใช้คำสั่งใหม่ ๆ ของ iPadOS ขึ้นมาใน YouTube Official ของทางแอปเปิ้ลเองเพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้ iPadOS ได้ราบลื่นยิ่งขึ้น

คลิปนั้นจะเห็นว่ามีวิธีการใช้ต่าง ๆ ทั้ง Slide Over ที่เปิดแอพลอยเหนืออีกแอพที่กำลังทำงานอยู่, Split View เปิดแอพเดียวกันแต่แบ่งเป็นสองหน้าต่าง, คำสั่งท่าทาง (Gesture) เพื่อปรับแต่งเนื้อหารวมทั้งการพิมพ์แบบลากนิ้วอีกด้วย

พอหลาย ๆ แอพเริ่มมี Dark mode กันแล้ว Instagram เองก็เริ่มทดสอบ Dark Mode ในแอพเบต้าของตัวเองเช่นกันในเวอร์ชั่น v114.0.0.0.24 บนแอนดรอยด์ โดยจะใช้สีดำที่พื้นหลังเป็นหลักและใช้สีเทากับแถบค้นหาและแถบด้านล่างของแอพรวมทั้งระบบส่งข้อความ (Direct Messages), กับ IGTV ด้วย (สำหรับภาพตัวอย่างของ Dark mode สามารถดูได้ในที่มา)

โดย Instagram จะใช้ Dark mode เมื่อ Android 10 ปรับไปใช้ธีมแบบ Dark mode ส่วนถ้าเป็น Android 9 Pie อาจต้องเข้าไปปรับเองใน settings ของแอป ซึ่งถ้าเริ่มมีการทดสอบแล้ว ไม่นานเวอร์ชั่นเต็มก็น่าจะตามมา

นอกจากสมาร์ทโฟนแล้ว Xiaomi ก็เปิดตัวทีวีรุ่นใหม่ "MI Full Screen TV Pro" มาพร้อมความละเอียด 4K พร้อมราคาเริ่มต้นเป็นมิตรต่อกระเป๋าตามสไตล์ โดยสเปคของทีวีรุ่นนี้คือ

• หน้าจอมีสามขนาดคือ 43" / 55" / 65" ความละเอียด 4K ทั้งหมด
• รองรับคลื่น 5G โดยทาง Xiaomi ให้เหตุผลว่าถ้าใช้ทีวีรุ่นนี้ชมการถ่ายทอดสดกีฬาในความละเอียดระดับนี้มีแบนด์วิธสูง ต้องใช้ระบบ 5G เพื่อให้การถ่ายทอดสดไหลลื่น
• ชิปประมวลผล Amlogic T972 เป็นชิปขนาด 12 นาโนเมตรรองรับการเล่นวิดีโอความละเอียด 8K ผ่าน USB
• เฟรมตัวเครื่องเป็นอัลลอยด์ขอบบางมากเมื่อเทียบกับทีวีรุ่นอื่นส่วนด้านหลังเป็น 3D Carbon Fiber
• ระบบเสียง Dolby ATMOS, DTS
• ราคาแต่ละรุ่นอยู่ที่ 43” 1,499 หยวน (ราว 6,XXX บาท) / 55” ที่ 2,399 (ราว 10,XXX บาท) / 65” ที่ 3,399 (ราว 14,XXX บาท)

นอกจาก Xiaomi MI 9 Pro 5G ที่เปิดตัวไปแล้ว Xiaomi ยังส่ง Xiaomi MI MIX Alpha กับดีไซน์ล้ำที่หน้าจอโอบถึงด้านหลังตัวเครื่อง โดยมีสเปคดังนี้

• หน้าจอแบบใหม่ Xiaomi เรียกว่า Surround display แบบ 360 องศา รอบตัวเครื่องเป็นหน้าจอเกือบทั้งหมด กินพื้นที่ 180.6% ของเครื่อง
• กล้องมีเพียงชุดกล้องหลัง 1 ชุด เป็นแถบยาวด้านหลังตัวเครื่อง เอาไว้ใช้เป็นกล้องหลักและกล้องเซลฟี่ได้
• ติดตั้งระบบ Press Sensitive ป้องกันการแตะแล้วระบบแตะหน้าจอทำงานโดยไม่ตั้งใจ
• ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 855+
• แรม 12GB กับสตอเรจ 512GB แบบ UFS 3.0

เมื่อวานมีข่าวหลุด Xiaomi MI MIX Alpha กับ MI 9 Pro 5G มาแล้ว ตอนนี้ Xiaomi เปิดตัว Xiaomi MI 9 Pro 5G มากับฟีเจอร์เด่นอย่างระบบชาร์จไร้สาย 30W ส่วนสเปคมีดังนี้

• หน้าจอ 6.39" AMOLED อัตราส่วนจอ 19.5:9 มีระบบ Color management ให้สีบนหน้าจอแม่นยำ Xiaomi เคลมว่าสีแม่นยำกว่ารุ่นเรือธงหลายค่าย
• บอดี้กระจกด้านหลังเป็น Anti-glare ไม่ให้ติดคราบนิ้วมือ
• ชิปเซต Qualcomm Snapdragon 855+ พร้อมระบบระบายความร้อน
• รองรับระบบ 5G
• แบตเตอรี 4,000 mAh พร้อม Fast charge 45W + 30W Wireless charge + 10W Reverse Wireless charge ชาร์จให้สมาร์ทโฟนเครื่องอื่น, หูฟังหรือเครื่องโกนหนวดได้
• กล้องหน้า 20 ล้านพิกเซล
• กล้องหลัง 3 ตัว แบ่งเป็นกล้องหลัก 48MP f/1.75 เซนเซอร์ IMX586 + 16MP Wide-angle 117 องศา IMX481 + 12MP f/2.2 AI Camera + Laser Focus ช่วยโฟกัสแม่นและเร็วขึ้น Xiaomi อ้างว่า DxOMark ได้ 110 คะแนน (DxOMark ยังไม่ขึ้นรีวิว)

Amazon เองก็ผลิตสินค้าออกมาหลากหลายแบบแล้ว มีหรือจะพลาดหูฟัง True Wireless ที่กำลังได้รับความนิยม โดยหูฟังรุ่นใหม่ที่ Amazon ผลิตนั้นจะเปิดตัวในวันที่ 25 กันยายนที่จะถึงนี้ โดย Amazon ใช้รหัสพัฒนาสินค้านี้ว่า "Puget"

ถ้าตรงตามข่าวหลุดแล้ว หูฟังของ Amazon รุ่นนี้จะติดตั้ง Accelerometer มาให้ในตัวหูฟังเลยเพื่อติดตามการวิ่งและการเผาผลาญแคลลอรีรวมทั้งจับค่า Pace ที่น่าจะถูกใจคนชอบวิ่งออกกำลังกายไม่น้อย และใช้งาน Alexa ได้จากตัวหูฟังเลย

ราคาคาดว่าจะอยู่ต่ำกว่า $100 ซึ่งราคานี้จะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ AirPods ของ Apple กับ Bang & Olufsen ไปโดยปริยาย ซึ่งคาดว่าถ้าเป็นตามนี้จริงคงจะได้รับความนิยมไม่น้อยทีเดียว

ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่า Google ลดขนาดทีม Pixelbook, Pixel Slate ลง นำมาซึ่งประเด็นว่า Google จะยกเลิกผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ ก่อนที่พนักงาน Google จะใบ้ว่าฮาร์ดแวร์ใหม่ในไลน์นี้อาจจะยังมีอยู่

ล่าสุดมีภาพและข้อมูลหลุดที่คาดว่าน่าจะเป็น Pixelbook Go รุ่นใหม่ที่น่าจะเปิดตัวในวันที่ 15 ตุลาคมนี้พร้อมกับสินค้าอื่น ๆ ด้วย จากภาพหลุดจะเห็นว่าดีไซน์ของ Pixelbook Go จะเหมือนโน้ตบุ๊กทั่วไป ส่วนของสเปคที่ทาง 9to5Google คาดไว้จะมีดังนี้

Xiaomi เปิดตัว Redmi K20 Proไปเมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ไม่ทันครบปีก็มีรุ่นอัปเกรดในชื่อ Redmi K20 Pro Premium มาวางจำหน่ายโดยอัปเกรดสเปคตัวเครื่องและติดตั้งชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 855+ มาให้ รายละเอียดมีดังนี้

กระแสหน้าจอโค้งถือว่ามาแรงจนค่ายใหญ่อย่าง Huawei, Vivo ก็เริ่มเปิดตัวมือถือที่จอโค้งทั้งสองฝั่งมาแล้ว ล่าสุด Xiaomi มาเหนือกว่า โพสต์ภาพ Mi MIX Alpha บน Weibo ที่โชว์หน้าจอของตัวเครื่องที่โค้งกินพื้นที่ขอบเครื่องไปจนถึงด้านหลัง โดยพื้นที่ตรงสันสามารถแสดงวันที่และเวลาได้

Xiaomi ระบุว่าจะเปิดตัว Mi MIX รุ่นใหม่วันที่ 24 กันยายนนี้

สัปดาห์ก่อน Uber ถูกทางการนครนิวยอร์กสั่งให้ลดปริมาณรถยนต์ในบางช่วงเวลานั้น ทาง Uber จึงตัดสินใจยื่นฟ้องทาง Taxi and Limousine Commission (TLC) เพราะ Uber มองว่ากฎหมายมีข้อบกพร่องและไม่เป็นธรรม

Uber ให้เหตุผลว่ากฎหมายฉบับดังกล่าวออกมาอย่างเร่งรีบ ผิดกระบวนการในการออกกฎหมาย และออกมาโดยอยู่บนฐานทางเศรษฐศาสตร์ที่มีข้อบกพร่องและตามอำเภอใจ (ของผู้ออกกฎ) แม้เป้าหมายคือจะช่วยลดปัญหาการจราจรในเขตแมนฮัตตันก็ตาม พร้อมระบุด้วยว่ากฎหมายนี้เป็นปัญหาต่อโมเดลการดำเนินธุรกิจแบบ Ride-Sharing ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ รวมทั้งลดผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นระหว่างคนขับกับผู้ใช้บริการอีกด้วย

Intel วางจำหน่าย Intel NUC 2 รุ่นใหม่ที่รู้จักกันในชื่อ Chaco Canyon เน้นงาน IoT, Edge analytics และป้ายแสดงข้อมูลแบบดิจิตอล(Digital signage) แข่งกับ Raspberry Pi โดยเฉพาะ โดยมีรหัส NUC8CCHB ที่มีเพียงบอร์ดให้ลูกค้าเลือกติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเองหรือ NUC8CCHKR ที่มีแรมกับสตอเรจติดตั้งมาเลย โดยราคาเริ่มที่ 166-198 ดอลล่าร์สหรัฐ (5,XXX-6,XXX บาท) (ดูภาพได้จากที่มา)

จากการเปิดตัว Huawei Mate 30 Series ที่ใช้ Google Mobile Services (GMS) ไม่ได้แล้วเปลี่ยนมาใช้ Huawei Mobile Service (HMS) ที่ Huawei เป็นผู้พัฒนาด้วยตัวเองนั้น เป็นความพยายามสร้าง Services ขึ้นมาใช้ด้วยตัวเองเหมือนกับที่บริษัทดัง ๆ เคยพยายามทำแอนดรอยด์ในเวอร์ชั่นของตัวเองมาก่อน วันนี้เราจะมาย้อนรอยกันว่ามีบริษัทไหนบ้างที่พยายามทำแอนดรอยด์เวอร์ชั่นของตัวเองมาก่อน แล้วปัจจุบันนี้ยังอยู่หรือเปล่า?

เว็บไซต์ iTnews ได้รับรายงานจากผู้ให้บริการสายเคเบิ้ลว่าตอนนี้ SEA-ME-WE 3 ไม่สามารถใช้งานได้และไม่รู้ว่าจะซ่อมให้กลับมาใช้งานได้เมื่อไหร่ โดยพบว่าปัญหาอยู่ระหว่างตัวทวนสัญญาณ (Repeater) ที่ 345 และ 346

อย่างไรก็ตาม ทาง Optus กับ Telstra ผู้ให้บริการเครือข่ายในออสเตรเลียได้ย้ายไปใช้อีกสายสัญญาณแทนแล้ว จึงเกิดความหน่วง (Latency) ตามมา โดยสายสัญญาณที่ย้ายไปเป็นสายสัญญาณเชื่อมต่อจากฝั่งตะวันตกเชื่อมสู่สิงคโปร์ (east-coast-to-Singapore links) หรือเป็นเคเบิ้ลอีกสองเส้นที่เชื่อมออสเตรเลียสู่สิงคโปร์ (Perth-to-Singapore) แทน

ถ้ายังจำกันได้ในงาน Google I/O เมื่อ 4 เดือนก่อนเราเคยรายงานข่าวว่าเราจะได้ใช้ Google Search และ Google Maps ในโหมดไม่แสดงตัวตนแล้ว ล่าสุดเว็บไซต์ Android Police รายงานว่า Google เริ่มทดสอบโหมดนี้ในวงจำกัดแล้วและได้ภาพจากคนที่ได้รับการทดสอบมาโชว์ด้วย

นอกจากจะเปิดตัว iPhone 11 ในงาน Keynote ครั้งล่าสุดแล้ว Apple Watch Series 5 ก็ได้รับฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพิ่มเข้าไปใกล้เคียงกับนาฬิกาที่เราคุ้นเคยมากยิ่งขึ้น แต่จากการทดสอบของสื่อต่างประเทศหลายเจ้าแล้ว Apple Watch Series 5 ก็ยังมีเรื่องให้เปรียบกับรุ่นก่อน ๆ อยู่หลายส่วนเช่นกัน

จุดเด่นอย่างแรกคงหนีไม่พ้นฟีเจอร์ Always-On เพราะรุ่นที่ผ่าน ๆ มาตอนจะดูเวลาต้องพลิกข้อมือขึ้นมาตลอด แต่ Series 5 นั้นแค่เหลือบตาดูก็ได้ ช่วยให้เหมือนใช้นาฬิกาจริง ๆ อยู่ แม้จะดูเล็กน้อยแต่ก็สะดวกขึ้นมาก ที่สำคัญคือใช้พลังงานไม่เยอะมากอีกด้วย

ระบบชาร์จเร็วถือเป็นหนึ่งในจุดเด่นของสมาร์ทโฟน OPPO และล่าสุด OPPO ได้เปิดตัวเทคโนโลยีชาร์จเร็วใหม่ 3 รุ่น ได้แก่ 65W SuperVOOC Fast Charge 2.0, 30W Wireless VOOC Flash Charge และ VOOC Flash Charge 4.0 ที่จะนำไปใช้กับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของบริษัท

ก่อนหน้านี้ เราเคยรายงานฟีเจอร์ Fast Share ไปครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้เป็นข้อมูลหลุดจากเว็บไซต์ XDA-Developers เผยข้อมูลของ Fast Share ที่ Google ปรับแต่งหน้าตาของ Settings กับแถบแชร์ไฟล์ที่ปรับแต่งให้เป็นแถบสไลด์ขึ้นมาจากขอบด้านล่างของหน้าจอแทน

สำหรับฟีเจอร์นี้อยู่บน Google Play Services เท่ากับว่าถ้า Google พัฒนาเสร็จก็จะใช้งานได้ทันที และจะทำงานร่วมกับระบบ Bluetooth และ Wi-Fi Direct เพื่อส่งไฟล์ (มีตัวเลือกเปิดปิดอยู่ในหน้า Bluetooth ใน Setting) ซึ่งสามารถใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ด้วยกัน, Wear OS, Chromebook หรือแม้แต่ iPhone ก็ได้

Sammobile สื่อสายซัมซุงได้ข้อมูลจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือว่าทาง Samsung จะเริ่มทดสอบ Android 10 Beta กับ Galaxy S10 กับ Galaxy Note 10 สำหรับเครื่องในสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ ก่อนจะเป็นคิวของบางประเทศในยุโรปช่วงเดือนตุลาคม

นอกจากนี้ SamMobile ยังคาดการณ์สมาร์ทโฟน Samsung ที่คาดว่าจะได้อัปเดต Android 10 Beta โดยอิงจากนโยบายการอัปเดทของ Samsung ที่จะอัพเดต Android เวอร์ชันหลักให้ 2 รุ่น ทำให้ส่วนใหญ่เป็นรุ่นที่มาพร้อม Android 8.0 Oreo ที่จะได้อัส่วนรุ่นที่มาพร้อมกับ Android 7.0 Nougat จะไม่ได้รับอัปเดทเป็น Android 10 โดยรายชื่อรุ่นที่คาดว่าจะได้รับอัปเดทคือ

ดาวเด่นในงาน Keynote เดือนกันยายนของทุกปีนั้น อย่างไรก็ต้องเป็น iPhone ที่แอปเปิลมักเปิดตัวรุ่นใหม่พร้อมอัปเกรดฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ iPhone 11 ที่หลายสื่อเห็นตรงกันว่ามีกล้องที่ดีสุดในกลุ่มสมาร์ทโฟนของปีนี้ รวมทั้งจัดการพลังงานได้ดี ถ้าใช้งานทั่วไปก็ไม่ต้องพึ่งแบตเตอรีสำรองอีกด้วย

ตัวเครื่องของทั้งสามรุ่นยังคงดีไซน์คล้ายกับรุ่นที่ผ่านมา ทว่าปรับแก้รายละเอียดในบางจุดแทน เริ่มต้นที่ iPhone 11 ที่มีขนาด 6.1” โดยเข้ามาแทนตำแหน่งของ iPhone XR ของปีที่แล้วแต่ใช้ชุดกล้องทรงสี่เหลี่ยมแบบเดียวกับ iPhone 11 Pro, 11 Pro Max แทน และเป็น iPhone ที่มีสีให้เลือกมากที่สุดถึง 6 สี ได้แก่ ขาว, ดำ, แดง, เหลือง ที่ใช้มาตั้งแต่ iPhone XR และเปลี่ยนฟ้ากับสีส้มเป็นสีเขียวกับม่วงแทน

การปรับเงื่อนไขบางอย่างเพื่อให้สอดคล้องกับกฏหมายเป็นเรื่องจำเป็น เช่นเดียวกับ Uber และ Lyft ที่ต้องปิดไม่ให้คนขับรับงานในพื้นที่ที่มีผู้ใช้บริการน้อยและในบางช่วงเวลา เพื่อให้สอดคล้องกับกฏระเบียบใหม่ที่ทาง Taxi and Limousine Commission (TLC) ของนครนิวยอร์กร่างขึ้นมา

กฏหมายใหม่กำหนดเพดานปริมาณรถยนต์สูงสุดที่ให้บริการ Ride-Sharing, กำหนดอัตราจ่ายค่าตอบแทนขั้นต่ำให้กับคนขับ โดยอ้างอิงจากเวลาที่ผู้ขับให้บริการกับผู้โดยสาร ​รวมถึงต้องจำกัดเวลาการวนขับรถหาผู้โดยสารไปเรื่อย ๆ (Cruising) และการจอดรอผู้โดยสารด้วย

วันที่ 19 กันยายนนี้จะเป็นวันเปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงของ Huawei ซีรี่ย์ Mate 30 แล้ว แม้จะมีข่าวว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนี้จะไม่สามารถใช้แอพและบริการของกูเกิลได้ก็ตาม ข่าวนี้เลยขอรวบยอดข่าวหลุดทั้งหมดไว้ให้ก่อนเปิดตัว

Huawei Mate 30 Series จะแบ่งเป็น Mate 30 Pro, Mate 30 ที่ใช้ชิปเซ็ต Kirin 990 รุ่นใหม่และถ้าสังเกตที่เสาสัญญาณจะเห็นว่าทั้งสองรุ่นรองรับ 5G อีกด้วย ส่วน Mate 30 Lite จะใช้ Kirin 810 แทน ส่วนรุ่นพิเศษ Porsche Design จะใช้พื้นฐานของ Huawei Mate 30 Pro

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา Wi-Fi Alliance ได้เริ่มการรับรองมาตรฐาน Wi-Fi 6 ให้กับอุปกรณ์ IEEE 802.11ax ที่ทำงานได้มีประสิทธิภาพและผ่านมาตรฐานความปลอดภัยที่ทางองค์กรกำหนดเอาไว้ได้

Wi-Fi 6 จะเน้นประสิทธิภาพของคลื่นสัญญาณและเพิ่ม OFDMA (Orthogonal Frequency-Division Multiple Access) ที่ทำให้แต่ละช่องสัญญาณรองรับอุปกรณ์ได้มากขึ้นโดยแยกช่องสัญญาณย่อยให้แต่ละอุปกรณ์ ส่วนความเร็วสูงสุดถูกเคลมเอาไว้ที่ 2.4 Gbps

Wi-Fi 6 จะรองรับ WPA3 security, 1024-QAM, 160 MHz channels รวมถึงระบบ Target Wake Time (TWT) ทำให้อุปกรณ์ไม่ต้องส่งสัญญาณหากันบ่อย ๆ ช่วยประหยัดพลังงานได้มากขึ้น โดยอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน Wi-Fi 6 เบื้องต้นมีรายชื่อดังนี้

หลังเปิดตัว iPhone 11 ได้ไม่นาน ก็มีคะแนน Benchmark จาก AnTuTu ออกมาแล้ว ซึ่งทั้งสามรุ่นที่ติดตั้งชิปเซ็ต A13 Bionic และใช้ระบบปฏิบัติการ iOS 13 นั้นทำคะแนนได้กว่า 450,000 คะแนน โดยมีแรมเพียง 4GB เท่านั้น โดยใน AnTuTu จะแสดงชื่อ iPhone 11 ทั้งสามรุ่นเป็น iPhone 12,1 (iPhone 11) / iPhone 12,3 (iPhone 11 Pro) / iPhone 12,5 (iPhone 11 Pro Max) ตามลำดับ

ที่มา : notebookcheck