หลังจาก Amazon หยุดขาย Kindle Paperwhite ทุกโมเดลจนคนเดาไปว่าน่าจะเตรียมเปิดตัวรุ่นใหม่ในไม่ช้า ซึ่งก็ถูกเผง และเป็น Amazon เองที่หลุดข้อมูลของ Kindle Paperwhite รุ่นใหม่บนหน้าเว็บ แน่นอนว่ามีผู้ใช้เก็บภาพเอาไว้ได้ครับ
สรุปจากภาพที่ Amazon หลุดมา Kindle Paperwhite รุ่นใหม่จะมาพร้อมกับหน้าจอที่คอนทราสต์สูงขึ้น ระบบไฟใหม่ที่แก้ปัญหาตาล้า ชิปประมวลผลทำงานเร็วขึ้น 25% และระบบสัมผัสหน้าจอใหม่ที่แม่นยำขึ้น
จากข่าวปีที่แล้วที่อเมซอนร่อนจดหมายถึงลูกค้าแจ้งจะคืนเงินบางส่วนจากการซื้อหนังสือจาก 3 ค่ายใหญ่ หลังจากบรรดาสำนักพิมพ์ตกลงระงับข้อพิพาท (settlement) ไปเกือบทั้งหมดแล้ว เมื่อวานนี้ทางอเมซอนก็ส่งอีเมลฉบับที่สองมาถึงลูกค้าในอเมริกา ใจความสำคัญคือ
ในวันที่ 17 ที่ผ่านมา ทางอเมซอนปล่อยอัพเดต 5.3.6 สำหรับ Kindle Paperwhite แล้วครับ
ข้อมูลรายละเอียดของการอัพเดตตามหน้าเว็บไซต์มีเพียงเรื่องเดียว คือ การปรับปรุงเวลาจะสั่งซื้อหนังสือจากหนังสือตัวอย่าง จากเดิมที่มีปุ่ม "Buy This Book Now" ซึ่งเมื่อกดปุ่มก็จะเป็นการชำระเงินและโหลดหนังสือทันที เปลี่ยนมาเป็น "Buy for $xx.xx" แทน ซึ่งเป็นการแจ้งข้อมูลราคาหนังสือที่จะกำลังจะสั่งซื้อ ทำให้หนอนหนังสือตัวน้อยๆ ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ว่าไม่ได้ตั้งใจซื้อ เพราะไม่รู้ว่าราคาหนังสือตัวเต็มๆ ของหนังสือตัวอย่างที่กำลังอ่านเพลินๆ นั้นเล่มละเท่าไร
จากข่าวเก่า ใครที่พลาดโอกาสซื้อแรว์ไอเท็ม Kindle DX Graphite ตอนนี้โอกาสนั้นกลับมาแล้วครับ
มีคนตาดีเห็นว่าอเมซอนกลับมาขาย Kindle DX Graphite บนเว็บไซต์ตัวเองอีกครั้ง ด้วยราคาเดิม 299 เหรียญสหรัฐและรับส่งทั่วโลก
เครื่อง Kindle DX Graphite ถือเป็นเครื่องอ่านหนังสือแบบจอกระดาษอิเล็กทรอนิกส์จอใหญ่รุ่นที่สอง (หรือรุ่นสุดท้าย) จากอเมซอน มีขนาดจอใหญ่ 9.7 นิ้ว น้ำหนัก 540 กรัม แต่ด้วยข้อจำกัดเดิมๆในเรื่องพลิกหน้าช้า, บันทึกโน้ตลำบาก, ไม่รองรับการจัดหน้าที่ซับซ้อน, และไม่รองรับฟอร์แมตใหม่อย่าง KF8
หลังจากที่ Amazon เปิดให้บริการ Amazon Appstore เกือบ 200 ประเทศทั่วโลก แฟน ๆ ในไทยหลายคนต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาว่าเมื่อไหร่ แท็บเล็ตจาก Amazon อย่าง Kindle Fire จะมาวางขายในไทยอย่างเป็นทางการเสียที ล่าสุด Amazon ประกาศเปิดให้จอง Kindle Fire HD ทั้งรุ่น 7 นิ้ว และ 8.9 นิ้วใน 170 ประเทศทั่วโลก (แน่นอน มีประเทศไทยด้วย!) ผ่านหน้าเว็บไซต์ของ Kindle Fire HD และจะจัดส่งวันที่ 13 มิถุนายนนี้
วัฒนธรรมแฟนฟิคชั่น (fan fiction - บ้านเราคงเรียกกันสั้นๆ ว่า "แฟนฟิค") เป็นวัฒนธรรมที่มีอยู่ทั่วโลกรวมถึงในฝั่งตะวันตกที่มีคนแต่งภาคเสริมของหนังสือ, ภาพยนตร์, ละคร, หรือเกม ต่างๆ อยู่มากมาย แม้จะเข้าข่ายผิดลิขสิทธิ์แต่เจ้าของลิขสิทธิ์ก็มักจะไม่เอาเรื่องหากไม่ทำเพื่อการค้า แต่ในตอนนี้อเมซอนก็เริ่มขอลิขสิทธิ์จากเจ้าของเพื่อให้นักแต่งแฟนฟิคสามารถทำการค้าจากเรื่องที่ตัวเองแต่งขึ้นได้แล้วในชื่อบริการ Kindle Worlds
ในตอนนี้เรื่องที่สามารถแต่งแฟนฟิคและส่งเข้าไปขายยัง Kindle Worlds ได้อย่างถูกต้องได้แก่ Gossip Girl, Pretty Little Liars, และ The Vampire Diaries และทางอเมซอนสัญญาว่าจะค่อยๆ ขอลิขสิทธิ์เรื่องอื่นเพิ่มเติมเรื่อยๆ ส่วนระบบส่งเรื่องเข้าไปจะเปิดให้บริการจริงเร็วๆ นี้
มีคนตาดีสังเกตเห็นว่า อเมซอนไม่ขาย Kindle Keyboard 3G ในหน้าเว็บไซต์แล้วและได้มีการสอบถามกับส่วนบริการลูกค้าของอเมซอนถึงเรื่องนี้และได้คำยืนยันแล้วว่าหยุดการผลิตแล้วจริง
“I understand your concern that you love the Kindle Keyboard device and I’m sorry to inform you that our company does not manufacture the old Kindle devices due to the in demand of the newer version of Kindle devices. I’m so sorry for the disappointment caused.”
เจ้า Kindle Keyboard 3G เป็นรุ่นสุดท้ายที่ยังมีคีย์บอร์ดจริง โดยก่อนหน้านี้อเมซอนได้หยุดขาย Kindle Keyboard with WiFi ไปก่อนแล้ว ทั้งคู่วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม 2010 และวางขายมาอย่างต่อเนื่อง
ในวันที่ 24 ที่ผ่านมา มาทางอเมซอนปล่อยอัพเดท 5.3.5 มาสำหรับ Kindle Paperwhite แล้วครับ
รายละเอียดของการอัพเดตมีดังนี้
หลังจากที่มีข่าวช่องโหว่หน้าจอล็อครหัสใน iOS 6 และ Samsung Galaxy Note II ทาง Amazon เองก็คงกลัวผู้ใช้ Kindle จะไม่มีอะไรทำขณะอยู่หน้าล็อกรหัส เตรียมของเล่นไว้ให้เรียบร้อยครับ
หลายครั้งที่ปัญหาความปลอดภัย เกิดจากระบบรักษาความปลอดภัยหลายตัวทำงานขัดแย้งกันเอง โดยอาศัยความแตกต่างกันของระดับสิทธิ์แต่ละตัว
ใครที่อยากจะซื้อ Kindle หน้าจอสัมผัสแบบไม่มีไฟ แต่เสียดายที่อเมซอนหยุดขาย Kindle Touch ไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อเปิดทางให้กับ Kindle Paperwhite ที่ราคาสูงกว่านิดหน่อยแทน ขณะนี้อเมซอนกลับลำมาขายอีกครั้งแล้วครับ
ราคาขายปลีกยังคงราคาเดิม ตัวอย่างเช่น Kindle Touch WiFi แบบมีโฆษณาราคา 99 เหรียญสหรัฐ ซึ่งถูกกว่า Kindle Paperwhite WiFi รุ่นราคาต่ำสุดอยู่ 20 เหรียญสหรัฐ ซึ่งถ้าใครที่ชอบฟีเจอร์การอ่านออกเสียงและไม่สนใจเรื่องหน้าจอที่มีแสงในตัวและหน้าจอที่ละเอียดขึ้นของ Kindle Paperwhite รวมถึงได้พื้นที่เก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นอีก 2G ก็ไปหาซื้อดูได้
จากข่าวก่อน Amazon เปิดตัว Kindle Paperwhite ซึ่งเริ่มจำหน่ายจริงเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มาบัดนี้พร้อมให้ส่งมาที่เมืองไทยแล้วครับ โดยราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 6700 บาท
ถ้าใครพยายามลองสั่งซื้อ Paperwhite ในช่วงที่วางจำหน่ายใหม่ๆ เพื่อให้อเมซอนส่งเครื่องมาเมืองไทยจะพบว่าไม่สามารถซื้้อได้ โดยระบบแจ้งว่าเฉพาะส่งในสหรัฐเท่านั้น ซึ่งนี่ก็ถือเป็นเรื่องปกติในการขายคินเดิลของอเมซอน เพราะปกติเมื่ออเมซอนวางจำหน่ายคินเดิลรุ่นใหม่ๆ ช่วงแรกจะมีการจำกัดการจำหน่ายเฉพาะในสหรัฐเท่านั้น เพราะแค่รับคำสั่งซื้อในประเทศก็ผลิตกันไม่ทันความต้องการอยู่แล้ว
เนื่องจากเพื่อนผมซื้อ Kindle Paperwhite (PW) มาแล้ว และตัวผมก็แสดงความสนใจเจ้าเครื่องนี้จนออกนอกหน้า เพื่อนตัวดีก็ใจดีให้ผมยืมไปลองเล่นเผื่อว่าจะหาเพื่อนร่วมทางได้อีกคน ผมก็เลยถือวิสาสะจับมาทดสอบการใช้งานและพร้อมกับแชร์ให้เพื่อนๆให้ได้รับทราบกัน
ในฐานะที่ผมใช้งานเครื่อง Kindle 2, Kindle 3 และ Kindle DX Graphite มาด้วย และประกอบกับทาง Blognone เองมีรีวิว Kindle 3 โดยคุณ pittaya และ รีวิว Kindle Touch โดยคุณ mk ผมคงจะเน้นส่วนประสบการณ์การใช้งานที่แตกต่างมากกว่ารีวิวเจาะไปในทุกฟีเจอร์ละกันครับ
ฮาร์ดแวร์
จากข่าวกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฟ้องแอปเปิลกับสำนักพิมพ์ทั้ง 7 ข้อหาสมคบกันกำหนดราคา e-book เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตอนนี้ก็มีการเคลื่อนไหวจากอเมซอนแล้วครับ
อเมซอนส่งจดหมายแจ้งว่าจะคืนเงิน (บางส่วน) ให้คนที่ซื้อหนังสือจาก 3 สำนักพิมพ์อันได้แก่ HarperCollins, Simon & Schuster และ Hachette ในช่วงเวลาตั้งแต่ 1 เมษายน 2010 ถึง 21 พฤษภาคม 2012 ที่ผ่านมา โดยน่าจะได้รับเงินคืนเล่มละ 0.30 ถึง 1.32 ดอลลาร์ โดยจะเป็นเครดิตเงินคืนลงไปที่บัญชีอเมซอน ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องรอให้ศาลอนุมัติการระงับข้อพิพาทดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการคืนเงินให้กับลูกค้า ในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า
จากข่าวเมื่อเดือนที่แล้ว Amazon ใกล้ปลดระวาง Kindle DX มาบัดนี้อเมซอนเริ่มปฏิบัติการปลดระวางแล้ว โดยตอนนี้ในหน้าเว็บไซต์ Kindle DX Graphite ไม่มีการขายเครื่องมือทั้งเครื่องใหม่และเครื่อง refurbish อีกต่อไปโดยเหลือแต่ของมือสองเท่านั้น
Jeff Bezos ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Amazon ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ BBC ยอมรับว่า Kindle รุ่นล่าสุดอย่าง Kindle Fire HD และ Kindle Paperwhite ไม่ได้กำไรจากค่าฮาร์ดแวร์เลย
Bezos บอกว่าความสำเร็จของ Kindle ขึ้นกับว่าลูกค้าซื้ออีบุ๊กและสื่อมัลติมีเดียจาก Amazon มากแค่ไหน ไม่ใช่ขึ้นกับว่าลูกค้าซื้อตัวฮาร์ดแวร์มากเท่าไร เขาอธิบายว่ายุทธศาสตร์นี้มีฐานคิดว่า ลูกค้าต้องการบริโภคสื่อมากขึ้นเมื่อเป็นเจ้าของ Kindle อย่างน้อยหนึ่งรุ่น และสถิติของ Amazon เองก็พบว่าลูกค้าที่ซื้อ Kindle อ่านหนังสือมากกว่าเดิม 4 เท่า แถมยังซื้อหนังสือกระดาษเช่นเดิม
Amazon พยายามสร้างมูลค่าเพิ่มให้แพลตฟอร์มของตัวเอง โดยผูกบริการเข้ากับ Amazon Prime และบริการยืมอีบุ๊กฟรีอย่าง Kindle Lending Library
Oyster เป็นบริษัทเกิดใหม่ (เรียกว่า Start Up อาจจะตรงตัวกว่า) ที่ต้องการจะเปิดบริการเช่า eBook แบบไม่จำกัดลักษณะเดียวกับ Spotify โดยผู้ใช้งานที่รักการอ่านสามารถที่จะเลือกจ่ายค่าสมาชิกรายเดือนเพื่อเข้าถึงหนังสือกี่เล่มก็ได้ไม่จำกัดปริมาณ แม้ว่าตอนนี้ยังไม่มีกำหนดวันเปิดตัวของบริการดังกล่าวก็ตาม แต่เชื่อว่าบริการของ Oyster น่าจะมาในรูปแบบของแอพบน Android และ iOS
Amazon เริ่มส่งเครื่องอ่านอีบุ๊กรุ่นล่าสุด Kindle Paperwhite ให้คนที่สั่งซื้อล่วงหน้าเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ Amazon ขึ้นข้อความว่า "ของหมด" บนหน้าเว็บแล้ว และถ้าจะสั่งตอนนี้ต้องรออีก 4-6 สัปดาห์ กว่าจะได้ของต้องรอถึงเดือนพฤศจิกายน
Kindle Paperwhite ขายหมดทุกเวอร์ชันไม่ว่าจะเป็นรุ่น Wi-Fi หรือ 3G ทั้งแบบมีและไม่มีโฆษณาด้วย
คนแถวนี้ที่คิดจะสั่ง (หรือสั่งไปแล้ว) ก็คงต้องรอกันอีกนานหน่อยครับ ของเค้าขายดี
ที่มา - GigaOm
Amazon ออกวิดีโออธิบายเทคโนโลยีจอภาพส่องสว่างของ Kindle Paperwhite ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อต้นเดือนนี้
แนวทางของ Amazon คือการวางสายเคเบิล (หรือจะเรียกว่าเป็นท่อแสง) เรียกว่า nanoimprinted light guide แล้วปล่อยแสงให้วิ่งไปมาในท่อนี้ (ลักษณะเดียวกับ fiber optics) จากนั้นแสงจะตกกระทบลงบนจอภาพที่แสดงผล ก่อนจะสะท้อนกลับมายังสายตาของผู้ใช้
วิดีโอช่วงแรกๆ เป็นการคุยกันเฉยๆ ครับ แผนภาพเริ่มต้นนาทีที่ 1:40 เป็นต้นไป
ที่มา - Engadget
David Risher ชื่นชอบ และหลงใหลการอ่านหนังสือมาตั้งแต่เขาจำความได้ เพราะหนังสือเป็นช่องทางเดียวที่ทำให้เขาได้ผจญภัยไปยังสถานที่ต่างๆ และได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ ตั้งแต่วัยเด็ก หนังสือเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มการศึกษาให้กับเขา และเป็นสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจ ย้ายชีวิตการทำงานจาก Microsoft มาที่ Amazon.com
ในระหว่างที่เขาอยู่กับ Amazon.com เขาเป็นคนสำคัญที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างก้าวกระโดด จาก 16 ล้านเหรียญ สู่ 4 พันล้านเหรียญ จนได้รับตำแหน่งเป็นรองประธานอาวุโสของ Amazon.com ซึ่งเป็นตำแหน่งสุดท้ายของเขา ก่อนที่เขาจะตัดสินใจลาออกในปี 2545 เพื่อเข้าสู่สายอาชีพการเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย และอาสาสมัครต่อไป
หลังจากที่ Amazon เปิดตัว Kindle รุ่นเก๋ายอดนิยมอย่าง Kindle Keyboard มากว่าสองปี
ก็ยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Kindle มาอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น Kindle (รุ่นที่ ๔ : Kindle เลิกเรียกชื่อรุ่นมานับตั้งแต่รุ่นที่ ๔ นี้ โดย Kindle 3 ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Kindle Keyboard), Kindle Touch รวมถึงตระกูลจอ LCD อย่าง Kindle Fire อีกหลายรุ่น และล่าสุดก็พึ่งเปิดตัว Kindle Paperwhite ที่มีแสงส่องหน้าจอมาในตัวอีก
แต่แม้ว่าจะแก่และเก่า แต่ด้วยความเก๋า (ทางยอดขาย?) ทำให้มันยังไม่ถูกทอดทิ้ง ล่าสุดมีอัพเดต ๓.๔ พร้อมส่งถึงเครื่องออกมาให้ใจชื้น ต่ออายุกันอีกระลอก
Google ซึ่งขึ้นชื่อในด้าน Search Engine มานาน แต่รายรอง ๆ อย่าง Bing ก็ไม่ยอมแพ้ ซึ่งตอนนี้ Amazon ได้ใช้ Bing เป็น Search Engine หลักใน Kindle Fire HD แล้ว ซึ่งนี่เป็นการเรียกลูกค้าเข้ามายัง Bing ได้มากขึ้นนั่นเอง
และแน่นอนว่า Google และ Yahoo! ก็ยังคงเป็นออฟชั่นเสริมที่สามารถเลือกเปลี่ยนทีหลังได้
ที่มา: Gizmodo
"We're the People with the Smile on the Box" คือประโยคแรกใน คลิปวิดีโอ เปิดตัวของงานแถลงสินค้าตัวใหม่จาก Amazon.com ในวันที่ 6 กันยายน 2555 ณ เมือง Santa Monica รัฐ California หลังจากโฆษณาตัวนี้จบ, Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง และ CEO ของ Amazon.com ก็ออกมาพร้อมคำพูดที่ทักทายผู้ชมอย่างเป็นกันเองว่า "Thank you for joining us in Santa Monica this morning, Beautiful day."
สำหรับใครที่สนใจดูงานเปิดตัวแบบเต็มๆ สามารถดูได้ที่ http://bit.ly/OfCfkK ครับ (สามารถกด CC ใต้วิดีโอ เพื่อเปิดคำบรรยายใต้ภาพได้นะครับ)
Jay Marine ผู้บริหารของ Amazon ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ The Verge ในงานแถลงข่าวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ตระกูล Kindle รุ่นใหม่ พูดถึงผลิตภัณฑ์ที่ถูกดองมานานอย่าง Kindle DX ว่า "เราคงไม่ทำอะไรกับมันต่อแล้ว" (we are pretty much done with it)
Marine บอกว่าในอนาคตอาจยังผลิต Kindle DX เพิ่มเติมและยังขายผ่านหน้าเว็บต่อไปอีกหน่อย อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ชี้ชัดว่า Kindle DX จะเลิกขายอย่างเป็นทางการเมื่อไรกันแน่
ปัจจุบัน Kindle DX ยังขายในราคาที่ถือว่าสูงมากคือ 379 ดอลลาร์ ในระยะยาวแล้ว เครื่องอ่านอีบุ๊กจอ E Ink ของ Amazon คงไม่มีขนาดใหญ่เท่ากับ Kindle DX อีกแล้ว ถ้าต้องการจอใหญ่หน่อยคงต้องไปเลือก Kindle Fire 8.9" แทน
Amazon เปิดฟีเจอร์ใหม่บนแพลตฟอร์ม Kindle Direct Publishing (แพลตฟอร์มที่เปิดให้ผู้เขียนสามารถวางขายหนังสือได้เอง) ในชื่อ Kindle Serials ที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถซื้อครั้งเดียว แล้วสามารถอ่านซีรีส์นั้นๆ ได้ตั้งแต่ต้นยันจบ สำหรับเรื่องที่ยังไม่จบ ก็จะได้อ่านตอนที่ออกมาในอนาคตด้วย
ในเริ่มแรก Kindle Serials จะยังเปิดเฉพาะส่วนที่เป็นหนังสือก่อน แต่มีแผนจะขยายไปยังทีวีโชว์ ภาพยนตร์อีกในภายหลัง
คนที่สนใจสมัครฟีเจอร์นี้ (สำหรับผู้เขียน) สามารถไปดูแนวทางการสมัครได้จากหน้านี้ครับ
นอกจากเปิดตัวแท็บเล็ตใหม่แล้ว Amazon ยังเผยซอฟต์แวร์ใหม่ๆ สำหรับใช้ร่วมกับซีรีส์ Kindle Fire ด้วย เนื่องจากแต่ละตัวมีรายละเอียดพอสมควร เลยจับมาเขียนรวมกันเลยครับ
Whispersync for Voice และ Immersion Reading
สองฟีเจอร์ใหม่สำหรับผู้ใช้หนังสือเสียงบน Kindle โดยตัว Whispersync for Voice ทำหน้าที่เหมือนกับ Whispersync ตัวอื่นๆ คือซิงก์ว่าตอนนี้ฟังไปถึงช่วงไหนแล้ว และสามารถฟังต่อได้จากช่วงที่หยุดไป แม้ว่าจะเป็นคนละเครื่องก็ตาม
ส่วน Immersion Reading จะช่วยเน้นข้อความที่กำลังฟังอยู่ โดยร่วมมือกันพัฒนาระบบนี้กับเว็บไซต์ Audible.com
Whispersync for Games