โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามคำสั่งบริหาร ยกเลิกการใช้ H-1B หรือวีซ่าทำงานสำหรับผู้ที่ประกอบอาชีพเชี่ยวชาญพิเศษ เช่น คนที่มีทักษะไอทีเป็นการชั่วคราวถึงสิ้นปี 2020 เป็นการกีดกันกำลังแรงงานทักษะสูงนอกสหรัฐฯ ออกไป ตั้งเป้าให้สร้างงานสร้างรายได้แก่คนอเมริกันแทน คนที่มีวีซ่า H-1B หรือเพิ่งได้รับการอนุมัติวีซ่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการใหม่นี้
The New York Times รายงาน ผู้ใช้งาน TikTok และชาวเน็ตแฟนๆ เคป๊อบ อ้างว่าตัวเองลงทะเบียนจองตั๋วเข้าฟังโดนัลด์ ทรัมป์ พูดหาเสียงที่ Tulsa Fire Department ในโอกลาโฮมาไว้ แต่เมื่อถึงเวลางานจริงๆ ก็เทตั๋วไม่เข้าร่วมฟัง ทำให้มีคนเข้าร่วมน้อยกว่าที่ทีมหาเสียงของทรัมป์คาดหวังไว้
Twitter แบนข้อความทวีตของ Donald Trump อีกแล้ว โดยคราวนี้ด้วยเหตุผลว่าวิดีโอที่ Trump โพสต์นั้น "ละเมิดลิขสิทธิ์"
ในวิดีโอนี้ ทีมงานของ Trump นำคลิปข่าวจาก CNN ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน มาตัดต่อใหม่ ซึ่ง Twitter ซ่อนการแสดงผลของวิดีโอนี้ โดยขึ้นป้ายเตือนว่า "manipulated media" ไว้ใต้โพสต์ และข้อความแทนตัวคลิปวิดีโอว่าถูกปิดกั้น จากการแจ้งของเจ้าของลิขสิทธิ์
เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม Twitter เพิ่งขึ้นป้ายเตือนใต้โพสต์ และซ่อนโพสต์ของ Trump มาแล้วรอบหนึ่ง
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิ.ย. Facebook แบนโฆษณาแคมเปญหาเสียงจากทีมหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งหนึ่งในโฆษณาที่ถูกแบนมีการใช้สัญลักษณ์สามเหลี่ยมสีแดงหัวคว่ำ ซึ่งเป็นสัญลักษณที่นาซีใช้เพื่อกำหนดและระบุความผิดของนักโทษ และยังมีเนื้อหาต่อต้านกลุ่มผู้ประท้วงจากเหตุ George Floyd ว่าเป็นม็อบอันตราย เป็น Antifa หรือกลุ่มซ้ายจัดหัวรุนแรง
โพสต์ดังกล่าวมาจากเพจ Team Trump ระบุเป็น paid post บน Facebook สนับสนุนโดย Trump and Vice President Pence ซึ่ง Facebook ให้เหตุผลในการแบนโฆษณาชุดนี้ว่า นโยบายโฆษณาห้ามไม่ให้มีการใช้สัญลักษณ์แสดงความเกลียดชัง
กลุ่มอดีตพนักงาน Facebook ที่อยู่มาตั้งแต่ยุคแรกๆ เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ต่อกรณีที่ Facebook นิ่งเฉยต่อโพสต์ที่ส่อไปในทางส่งเสริมความรุนแรงของ โดนัลด์ ทรัมป์ ปธน. สหรัฐฯ โดยมีคนลงนามราว 34 คน
ในขณะที่ Facebook และทวิตเตอร์ต่างมีท่าทีชัดเจนเรื่องโพสต์ของโดนัลด์ ทรัมป์ ปธน. สหรัฐฯ ที่พูดถึงการปราบปรามผู้ประท้วงด้วยการส่งกองกำลัง โดยทวิตเตอร์ชี้ว่ามีเนื้อหาส่งเสริมความรุนแรง ส่วน Facebook มองว่าไม่ผิดกฎแพลตฟอร์ม
ล่าสุด Snapchat ก็ออกมาแสดงจุดยืนต่อเรื่องนี้ ว่าจะไม่โปรโมทโพสต์ของทรัมป์บนแพลตฟอร์ม เท่ากับผู้ใช้งานจะหาโพสต์ของทรัมป์ได้ยากกว่าเก่า เว้นแต่จะค้นหาชื่อของเขาตรงๆ ในขณะเดียวกัน Snapchat จะไม่ลบหรือทำการเปลี่ยนแปลงใดๆ ต่อเนื้อหาโพสต์ของทรัมป์
ต่อเนื่องจากประเด็น Facebook ยืนยันไม่ลบ-ไม่ซ่อนโพสต์ของ Donald Trump จนทำให้พนักงานไม่พอใจ และนัดกันประท้วงหยุดงานผ่านออนไลน์
เมื่อคืนนี้ Mark Zuckerberg พูดคุยกับพนักงานเป็นการภายในผ่านวิดีโอคอลล์ (และมีคลิปเสียงหลุดออกมายังสื่อ) โดยเขายังยืนยันการตัดสินใจเดิม ว่าจะไม่ลบโพสต์ของ Donald Trump
Zuckerberg ยอมรับว่ามีคนจำนวนมากไม่พอใจเรื่องนี้ แต่เขายืนยันว่าการตัดสินใจไม่ลบนั้นถูกต้องแล้ว เขาเล่าว่าตรวจสอบโพสต์ของ Trump ที่อ้างอิงเรื่องเหตุการณ์แบ่งแยกสีผิวในอดีตอย่างละเอียด และสรุปได้ว่าโพสต์นี้ยังไม่ละเมิดกฎของ Facebook
จากประเด็น พนักงาน Facebook ไม่พอใจผู้บริหาร ที่ไม่จัดการโพสต์สนับสนุนความรุนแรงของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ล่าสุด The New York Times รายงานว่ามีการประชุมวิดีโอคอลภายในองค์กร Facebook พนักงานกว่าพันรายโหวตไม่เห็นด้วยกับท่าที Facebook ที่มีต่อโพสต์ทรัมป์ พนักงานเตรียมประท้วงหยุดงานแบบ virtual walkout และมีพนักงานอาวุโสบางรายจะลาออก ถ้ามาร์ค ซักเคอร์เบิร์กไม่ทบทวนมาตรการเสียใหม่
ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีทรัมป์ ออกมาทวีตว่าการออกเสียงเลือกตั้งทางจดหมาย จะทำให้เกิดการโกงการเลือกตั้ง จนถูก Twitter แปะป้ายว่าอาจมีข้อความที่ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมไปรอบนึงแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจากนั้นทรัมป์ยังออกมาทวีตโดยมีนัยยะสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงกับผู้ประท้วงใน Minneapolis จากกรณีการใช้ความรุนแรงของตำรวจที่ทำให้ George Floyd ที่เป็นคนผิวดำเสียชีวิตอีก จนถูก Twitter ซ่อนโพสต์อีกครั้งเพราะมีเนื้อหาสนับสนุนความรุนแรง
ข้อความเดียวกันทั้งสองข้อความ ถูกโพสต์บน Facebook ของทรัมป์เช่นเดียวกัน แต่ Facebook ไม่ได้ดำเนินการใดๆ กับโพสต์เหล่านี้ ทำให้เกิดคำถามบนโพสต์ภายใน Workplace (แพลตฟอร์มสำหรับสื่อสารภายในที่ทำงานของ Facebook) โดยพนักงานของ Facebook ถามว่าทำไมผู้บริหารถึงไม่จัดการใดๆ (เช่น ลบ หรือซ่อน) โพสต์เหล่านี้สักที และถ้าเกิดเหตุการณ์บานปลายกว่านี้ ประวัติศาสตร์คงไม่มอง Facebook ในแง่ดีแน่ๆ (“if we fail the test case here, history will not judge us kindly.”)
จากกรณี Twitter ซ่อนโพสต์ของ Donald Trump เนื่องจากผิดข้อตกลงใช้งาน จนทำให้ Trump เซ็นคำสั่งละเว้นการคุ้มครองบริการโซเชียลมีเดียทั้งหมด
ฝั่งของ Facebook ก็มีความเคลื่อนไหว โดย Mark Zuckerberg ออกมาโพสต์แสดงจุดยืนว่าจะไม่เซ็นเซอร์โพสต์ของ Trump แบบเดียวกับที่ Twitter ทำ
ก่อนหน้านี้ ทวิตเตอร์แปะป้าย fact-check ตรงโพสต์ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นเรื่องการลงเสียงเลือกตั้งทางไปรษณีย์ โดยทวิตเตอร์แนะนำให้ผู้ใช้งานตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม เพราะเนื้อหาของทรัมป์อาจไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ล่าสุด ไม่ใช่แค่โดนแปะป้าย fact-check แต่โดนซ่อนโพสต์เลย ด้วยเหตุผลว่ามันไปสนับสนุนและสรรเสริญความรุนแรง
เนื้อหาทวีตของทรัมป์ที่โดนซ่อน พูดถึงกรณีประท้วงที่ George Floyd ชายผิวสีโดนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำรุนแรงจนเป็นเหตุให้เขาเสียชีวิต ทรัมป์บอกว่า อันธพาลกำลังทำให้ความทรงจำที่มีต่อ George Floyd เสื่อมเสีย เมื่อการปล้นเริ่มขึ้น การยิงก็จะเริ่มขึ้น ซึ่งเป็นนัยการขู่ว่าจะส่งกองทัพเข้าไปควบคุม หลังจากนั้น 2 ชั่วโมง ทวิตเตอร์ก็ซ่อนโพสต์นี้ของทรัมป์
เมื่อวาน (28 พ.ค.) WSJ รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมออกคำสั่งบริหาร ละเว้นกฎหมายคุ้มครองโซเชียลมีเดีย หลังโดนทวิตเตอร์แปะป้าย fact-check ล่าสุดก็มีแถลงการเป็นทางการจากทำเนียบข่าวว่าทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งดังกล่าวแล้ว
หลังทวิตเตอร์ออกฟีเจอร์ fact-check ที่ให้ผู้ใช้งานตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมจากทวีต ซึ่งคนแรก ๆ ที่โดนแปะป้ายนี้คือประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ขึ้นชื่อเรื่องทวีตข่าวปลอมอยู่เนือง ๆ และเจ้าตัวก็วิจารณ์ทวิตเตอร์เรื่องฟรีสปีช
ล่าสุดประธานาธิบดีทรัมป์เตรียมเอาคืนไปอีกขั้น เมื่อมีรายงานว่าทรัมป์เตรียมจะออกคำสั่งบริหาร (executive order) ละเว้นข้อกฎหมายที่คุ้มครองบริษัทโซเชียลมีเดียในหลาย ๆ ด้าน รวมถึงเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐและคณะกรรมการกำกับดูแลตีความหรือมองได้ว่าโซเชียลมีเดีย เช่น ทวิตเตอร์ เป็นผู้ผูกขาดและควบคุมการแสดงความคิดเห็น (เช่นการลบแอคเคาท์หรือลบโพสต์) ไม่ใช่เจ้าของแพลตฟอร์มที่เปิดให้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นอย่างที่เป็นอยู่
ทวิตเตอร์เริ่มแปะป้าย fact-check หรือคำแนะนำให้ผู้ใช้งานทั่วไปตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเพราะอาจไม่ตรงกับข้อเท็จจริงตรงโพสต์ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แล้ว
โดยทรัมป์โพสต์ทวิตเตอร์เรื่อง Mail-In Ballots หรือการลงคะแนนเลือกตั้งผ่านไปรษณีย์ว่าจะทำให้เกิดการฉ้อโกง บัตรเลือกตั้งถูกขโมย ปลอมแปลง และทวิตเตอร์ก็แปะป้าย fact-check เพื่อให้เข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม พร้อมอ้างอิงแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ระบุว่า ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกล่าวว่าไม่มีหลักฐานว่า Mail-In Ballots เชื่อมโยงกับการฉ้อโกงของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
Facebook ลบโฆษณาหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกร่วมพันชิ้น ฐานละเมิดกฎให้ข้อมูลผิดเกี่ยวกับการสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐฯประจำปี 2020 หรือ 2020 U.S. census โดยโฆษณาดังกล่าวกระตุ้นให้ประชาชนเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจ แต่เมื่อกดคลิกแล้วกลายเป็นหน้าเว็บไซต์สำรวจแคมเปญหาเสียงของทรัมป์
ตัวโฆษณามีนักข่าว Judd Legum สังเกตเห็นเป็นคนแรก และแจ้งเตือนแก่ชาวเน็ต ด้านสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐฯประจำปี 2020 ถือเป็นครั้งแรกที่เปิดให้ประชาชนทำผลสำรวจผ่านออนไลน์บนโทรศัพท์ได้ด้วย
เมื่อช่วงเช้ามืดวันนี้ตามเวลาประเทศไทย ฐานทัพอเมริกันสองแห่งในประเทศอิรักถูกถล่มด้วยจรวดมิสไซล์ และกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน (Iranian Islamic Revolutionary Guard Corps) ก็เข้ามาอ้างความรับผิดชอบทันที ซึ่งเจ้าหน้าที่ของกองทัพสหรัฐฯ ก็ยืนยันแล้วว่ามิสไซล์ดังกล่าวถูกยิงจากอิหร่าน
ภายหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว Saeed Jalili ที่ปรึกษาของ Ali Khamenei ผู้นำสูงสุดอิหร่าน ได้ทวีตภาพธงชาติอิหร่านเยาะเย้ยประธานาธิบดี Donald Trump เพราะ Trump ได้ทวีตภาพธงชาติสหรัฐอเมริกาหลังการสังหาร Qasem Soleimani ผู้บัญชาการระดับสูงของกองทัพอิหร่านเมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา
ตามกฎหมายสหรัฐอเมริกา (War Powers Resolution of 1973) ประธานาธิบดีสหรัฐจะสามารถส่งทหารเข้าร่วมรบในต่างประเทศ ก็ต่อเมื่อได้อำนาจจากรัฐสภา (สภาคองเกรส) ในการ "ประกาศสงคราม" อย่างเป็นทางการ (กฎหมายระบุว่าประธานาธิบดีมีสิทธิสั่งปฏิบัติการทางทหารได้ก่อน แต่ต้องแจ้งรัฐสภาภายใน 48 ชั่วโมง ซึ่งสภามีสิทธิโหวตประกาศสงครามหรือไม่ก็ได้ เป็นการคานอำนาจระหว่างประธานาธิบดีกับสภา)
จากเหตุการณ์ สหรัฐอเมริกาสังหารผู้บัญชาการทหารอิหร่านด้วยโดรน ก็เกิดคำถามตามมาว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องแจ้งเรื่องการโจมตีครั้งนี้ต่อสภาหรือไม่
สำนักข่าว NBC รายงานว่า Rudy Giuliani อดีตนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก และที่ปรึกษาด้านความมั่นคงไซเบอร์ของประธานาธิบดี Donald Trump เกิดลืมรหัสผ่าน iPhone ของตัวเอง และใส่รหัสผ่านผิดครบ 10 ครั้งทำให้เครื่องล็อค ทำให้เขาต้องเดินทางไปยังร้าน Apple Store เพื่อให้แอปเปิลแก้ไขให้
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี 2017 หลัง Giuliani ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงไซเบอร์ไม่นาน และสุดท้ายทางออกของเรื่องนี้คือ พนักงานแอปเปิลต้องรีเซ็ตเครื่องใหม่ และดึงข้อมูลกลับมาจาก iCloud ให้ Giuliani
Donald Trump บุกเข้ามายังโลกการไลฟ์สตรีมแล้ว ด้วยการเปิดบัญชีบน Twitch เพื่อใช้ถ่ายทอดสดงานหาเสียงที่เมือง Minneapolis เมื่อวานนี้
การหาเสียงผ่าน Twitch ครั้งแรกของ Trump มีผู้ชมประมาณ 65,000 คน และปัจจุบัน บัญชี DonaldTrump มีผู้กดติดตามจำนวน 60,000 คน
Trump ไม่ใช่นักการเมืองคนแรกที่ขึ้นมาอยู่บน Twitch เพราะก่อนหน้านี้ Bernie Sanders ผู้สมัครประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต เริ่มใช้งาน Twitch มาก่อนแล้ว
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ช่วงที่ผ่านมา Trump โพสต์โจมตี Amazon และ Jeff Bezos อยู่เรื่อยๆ แต่ก็หันมาใช้ Twitch ซึ่งเป็นบริการในเครือ Amazon ด้วยนั่นเอง
โฆษกเฟซบุ๊ก ได้ตอบอีเมลนักข่าวจากการมีสื่อรายงานว่า มาร์ค ซักเคอเบิร์ก กำลังจะเข้าพบประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทำเนียบขาว โดยโฆษกยืนยันว่ามีการเข้าพบจริง ทรัมป์ เองก็โพสต์รูปเขากับ ซักเคอเบิร์ก ลงในทวิตเตอร์ด้วย นอกจากนี้ ซักเคอเบิร์ก ยังได้เข้าพบเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบบายเพื่อรับฟังข้อกังวลเกี่ยวกับกฎหมายอินเทอร์เน็ต
เมื่อสิ้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเกิดเหตุระเบิดขณะที่อิหร่านกำลังทดสอบจรวดของตัวเอง และ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พร้อมแจ้งว่าสหรัฐฯ ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการนี้ แต่ภาพนี้อาจกลายเป็นการเปิดเผยศักยภาพของดาวเทียมสอดแนมสหรัฐฯ ที่เป็นความลับมานาน
สหรัฐฯ เปิดเผยภาพถ่ายดาวเทียมให้กับสื่อมวลชนเป็นระยะ แต่ที่ผ่านมาก่อนที่จะเปิดเผย ภาพมักถูกลดความละเอียดอย่างจงใจเพื่อปิดบังความสามารถที่แท้จริงของดาวเทียม แต่ทวีตของทรัมป์นั้น เขาถ่ายภาพจากรายงานข่าวกรองมาโดยตรง (ยังมีเงาของตัวเขาเองถือโทรศัพท์อยู่) ภาพที่ทวีตออกมาเป็นภาพความละเอียดสูง โดยหากเป็นกล้องพลเรือนก็ต้องถ่ายจากโดรนที่ความสูงไม่มากนัก ซึ่งจะเป็นการละเมิดน่านฟ้าอิหร่าน
สหรัฐได้เริ่มขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในหมวดสินค้าต่าง ๆ แล้ว เพิ่มขึ้น 15% โดยมีผลตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา มูลค่าสินค้าที่ได้รับผลกระทบอยู่ที่ 112,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนเองก็ได้ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐเช่นกันมูลค่า 75,000 ล้านดอลลาร์
สินค้านำเข้าจากจีนที่ได้รับผลกระทบนั้นนอกจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ยังมีรายการสินค้าด้านเทคโนโลยี อาทิ สมาร์ทวอทช์, ลำโพงอัจฉริยะ ไปจนถึงหูฟัง ทำให้สินค้าแอปเปิลหลายรายการอย่าง Apple Watch, HomePod และ AirPods ที่ขายในสหรัฐได้รับผลกระทบ ส่วนรายการสินค้าที่จะขึ้นภาษีนำเข้ารอบถัดไปในวันที่ 15 ธันวาคม จะมีแล็ปท็อปและสมาร์ทโฟน รวมอยู่ด้วย
เมื่อวานนี้คณะรัฐบาล Trump ได้ลงนามจัดตั้ง "กองบัญชาการทางอวกาศแห่งสหรัฐอเมริกา" (US Space Command, USSPACECOM) โดยมีเป้าหมายในการรับมือกับภัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับอวกาศ เนื่องจากระยะหลังสหรัฐฯ มีความกังวลว่าดาวเทียมจำนวนมากของตนอาจตกเป็นเป้าหมายการโจมตีได้
นอกจากนี้ USSPACECOM ยังมีหน้าที่วางแผนการใช้งานดาวเทียมให้กระทรวงกลาโหม รวมถึงเขียนกลยุทธและวางแผนรับมือกับเหตุการณ์ร้ายใดๆ ในอวกาศที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วย เช่นมีผู้แฮ็กดาวเทียมของสหรัฐฯ กองบัญชาการนี้ก็มีหน้าที่ตอบโต้กับเหตุการณ์ดังกล่าว
Donald Trump เปิดฉากถล่มกูเกิล โดยทวีตข้อความหา Sundar Pichai ซีอีโอของกูเกิลโดยตรง และเล่นงานกูเกิลในหลายประเด็น
นอกจากโดนัลด์ ทรัมป์ ปธน.สหรัฐฯ จะชี้ว่าเกมเป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดความรุนแรงกราดยิงแล้ว เขายังบอกด้วยว่าโซเชียลมีเดีย ควรจะตรวจจับเบาะแสได้ล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง ด้าน บารัก โอบามา อดีต ปธน. บอกว่า ควรมีกฎหมายปืนที่เข้มงวดกว่านี้ และโซเชียลมีเดียควรลดการแพร่กระจายของเนื้อหานิยมความรุนแรง