Friendthem เตรียมฟ้อง Facebook หลังจากที่เพิ่งปล่อยฟีเจอร์ Find Friends Nearby ได้ไม่นาน โดยอ้างว่าขโมยแนวคิดของตนเอง
Friendthem เป็นแอพสำหรับการขอเป็นเพื่อนบน Facebook โดยใช้ Location Service เข้ามาช่วยในการหาบุคคลที่อยู่ใกล้ตัวเรา แก้ปัญหาความสับสนจากการที่ผู้ใช้งานมีชื่อซ้ำกันหลายคน มีทั้งบน iOS และ Android
ถ้ายังจำกันได้ Facebook นั้นเคยเปิดตัวระบบ Messages โฉมใหม่ ที่ไม่ใช่แค่อีเมล แต่สำหรับผู้ที่อยากมีอีเมล @facebook.com ก็สามารถไปสมัครกันได้ แน่นอนว่าส่วนมากมักจะสมัครกัน ... แต่ไม่ค่อยมีใครเอาไปใช้จริงๆ (ใครใช้จริงแสดงตัวหน่อย)
ล่าสุด Facebook พยายามดันให้คนใช้อีเมลของตัวเองมากขึ้น ด้วยการปรับให้อีเมลที่แสดงผลในหน้ารายละเอียดโปรไฟล์ของทุกบัญชี เปลี่ยนไปเป็นอีเมล @facebook.com ทั้งหมด พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ให้เลือกแสดงผลอีเมลบนหน้าโปรไฟล์ได้
สำหรับใครที่อยากเปลี่ยนกลับ สามารถเข้าไปแก้ได้ที่ About และเลือกแก้ไข้ในกรอบ Contact Info ข้อมูลอีเมลของเดินยังอยู่ครบถ้วนครับ
Facebook ออก Facebook Messenger 1.8 ทั้งเวอร์ชันบน Android และ iOS
ของใหม่ได้แก่
ที่มา - The Verge
The Telegraph รายงานว่า จากการที่เฟซบุ๊กยอมจ่ายเงินราว 10 ล้านดอลลาร์เพื่อให้ผู้ฟ้องร้องยอมความคดีที่บริษัทถูกฟ้องว่านำภาพของผู้ใช้ไปให้แบรนด์สินค้าหรือบริการใช้โฆษณาแบบเรื่องเล่าที่เรียกว่า Sponsored Stories บริษัทเตรียมเปิดให้ผู้ใช้สามารถเลือกที่จะไม่ให้ชื่อและรูปภาพของผู้ใช้ถูกนำไปใช้ในการโฆษณาได้
Facebook แอบอัพเดตฟีเจอร์เงียบๆ ด้วยการปรับให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถแก้ไขความเห็นได้แล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้จะสามารถแก้ไขได้แค่สามสิบวินาทีแรกหลังจากโพสต์เท่านั้น
ใครที่ได้ฟีเจอร์ใหม่แล้ว ตรงท้ายของความเห็นจะเปลี่ยนจากปุ่มกากบาท เป็นปุ่มดินสอ แล้วเปลี่ยนข้อความเป็น Edit or Delete ที่พอคลิกแล้วจะมีเมนูแบบ dropdown ลงมาให้เลือกอีกที
จริงๆ มันน่าจะมีตั้งนานแล้วนะ ...
ที่มา - The Next Web
ที่ผ่านมา ผู้ใช้ Facebook ที่เขียนคอมเมนต์ผิด (ไม่ว่าจะเป็นสะกดผิด ลิงก์ผิด พิมพ์ตก ฯลฯ) ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลบคอมเมนต์แล้วพิมพ์ใหม่เท่านั้น แต่ล่าสุดตัวแทนของ Facebook ให้ข้อมูลกับเว็บไซต์ The Next Web ว่ากำลังทยอยปล่อยอัพเดตที่ผู้ใช้สามารถแก้คอมเมนต์ตัวเองได้แล้ว
และเช่นเคย อัพเดตของ Facebook จะค่อยๆ ปล่อยให้ผู้ใช้ทีละกลุ่ม โดยผู้ใช้ทุกคนจะใช้งานได้ในอีก 2-3 วันข้างหน้า ใครใช้ได้แล้วก็ช่วยแจ้งด้วยนะครับ
ที่มา - The Next Web
Facebook ออกมาเผยสถิติภาพรวมของการ "เช็คอิน" ตามสถานที่ต่างๆ โดยเป็นข้อมูลเฉพาะเมืองใหญ่ 25 แห่งทั่วโลก (ไม่มีไทยนะครับ ใกล้สุดคือสิงคโปร์)
จากสถานที่ที่คนเช็คอินมากที่สุดใน 25 เมือง
ห้างสรรพสินค้าและแหล่งช็อปปิ้งต่างๆ ติดอันดับท็อป 10 ใน 19 เมือง ส่วนเมืองที่อากาศอบอุ่น คนนิยมเช็คอินในสถานที่กลางแจ้งมากกว่า ในขณะที่เมืองหนาวคนมักเช็คอินในร่ม เช่น ที่มอสโก 6 ใน 10 อันดับแรกเป็นบาร์และคลับต่างๆ
Facebook เริ่มขยายขอบเขตของปุ่ม like มายังแอพมือถือแล้ว การใช้งานจะเหมือนกับปุ่ม like บนเว็บ เพียงแต่ย้ายมาอยู่บนแอพแทน
อธิบายง่ายๆ ด้วยแอพอย่าง Instagram ครับ สมมติว่ามีคนกด like รูปของเราใน Instagram บนมือถือ และคนนี้เป็นเพื่อนกับเราใน Facebook ด้วย เราจะเห็นเพื่อนคนนี้กด like ภาพเดียวกันใน Facebook ด้วยเช่นกัน (แอพต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใช้ก่อนด้วยนะครับ)
แอพอย่าง Instagram ไม่จำเป็นต้องทำปุ่ม like แบบของ Facebook แต่ใช้ปุ่ม like ของตัวเอง (ที่เป็นรูปหัวใจ) ได้เลย เพียงแต่ระบบหลังบ้านต้องไปเชื่อมกับแพลตฟอร์มของ Facebook เท่านั้น
หลังจาก Facebook เริ่มแสดงผลโฆษณาบนมือถือไปเมื่อเดือนมีนาคม แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลว่าโฆษณาแบบไหนที่ผู้ใช้งานสนใจมากกว่ากัน
คำถามนี้อาจมีคำตอบแล้ว หลังจากที่บริษัทโฆษณาบน Facebook ชื่อว่า TBG Digital ได้รวบรวมสถิติจากโฆษณาที่ลงบน Facebook ทั้งบนเดสก์ท็อป และมือถือ ซึ่งวัดจำนวน impressions รวมได้ 278,389,453 ครั้ง จำนวนคลิกโฆษณาจากมือถืออยู่ที่ 1.14% มากกว่าบนเดสก์ท็อปที่มีสัดส่วนเพียง 0.59% เท่านั้น
ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ แม้แต่อัตราค่าใช้จ่ายต่อคลิกของโฆษณาบนมือถือก็สูงกว่าเดสก์ท็อปอีกด้วย โดยอยู่ที่ 0.86 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ 0.63 ดอลลาร์สหรัฐฯ
จากที่มีข่าวลือตั้งแต่เดือนที่แล้ว ทาง Facebook ก็ประกาศการเข้าซื้อกิจการ Face.com โดยไม่เปิดเผยมูลค่า
AllThingsD อ้างแหล่งข่าววงในว่ามูลค่าของการซื้อกิจการครั้งนี้อยู่ระหว่าง 55-60 ล้านดอลลาร์ โดยผสมกันระหว่างเงินสดกับหุ้นของ Facebook ด้วย
Face.com เป็นบริษัทจากอิสราเอล ก่อตั้งในปี 2007 โดยมีซอฟต์แวร์จดจำใบหน้าทั้งบนเดสก์ท็อปและมือถือ คาดว่า Facebook จะนำเทคโนโลยีของ Face.com มาใช้กับซอฟต์แวร์เวอร์ชันมือถือที่ยังไม่เก่งเรื่องนี้สักเท่าไร ส่วนทาง Face.com ก็ประกาศว่าจะยังให้บริการ API จดจำใบหน้ากับนักพัฒนาภายนอกต่อไป
Bret Taylor ผู้บริหารคนสำคัญของ Facebook (ตำแหน่งเป็น CTO หรือ Chief Technical Officer) ประกาศลาออกจากบริษัทแล้ว โดยเขาให้เหตุผลว่าต้องการเปิดบริษัทใหม่ที่ยังไม่บอกว่าจะทำอะไร เขายังบอกว่าเป็นความฝันของเขามานานที่จะเปิดบริษัทอีกแห่ง และช่วงเวลานี้ที่ Facebook เข้าตลาดหุ้นเรียบร้อย ก็ถือเป็นเวลาเหมาะสมแล้ว
เว็บไซต์ TechCrunch ได้รับคำยืนยันจาก Facebook ว่าบริษัทเริ่มแสดงข้อความเตือนให้ผู้ใช้ทุกคนรับทราบถึงมาตรการด้านความปลอดภัยเบื้องต้นแล้ว โดยจะสอนการแยกแยะเว็บหลอก สอนให้ตั้งรหัสผ่านยากๆ และให้กรอกเบอร์โทรศัพท์เผื่อต้องรีเซ็ตรหัสผ่านในอนาคต
ข้อความนี้เริ่มแสดงให้ผู้ใช้บางกลุ่มแล้ว และ Facebook บอกว่าจะแสดงให้ผู้ใช้ทั้งหมดเห็นในอีก 2-3 วันข้างหน้านี้
การป้อนเบอร์โทรศัพท์เพื่อใช้แจ้งรหัสผ่านใหม่ น่าจะช่วยแก้ปัญหาการแฮ็กบัญชีได้มากขึ้น หลังจากมีข่าวเว็บดังๆ อย่าง LinkedIn และ Last.fm โดนเจาะกันอย่างต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
หลังจาก Facebook ได้ออกแอพฯ Facebook Camera ล่าสุด Facebook อัพเดตแอพฯ ตัวนี้ใหม่เป็นเวอร์ชั่น 1.0.2 พร้อมเปลี่ยนชื่อแอพฯ บน home screen เป็น Camera• (ดูไม่ผิดหรอกครับ มีจุดจริง ๆ ซึ่งทางเว็บไซต์ The Next Web ได้ตั้งขอสังเกตว่า Apple ได้ร้องขอเพราะชื่อแอพฯ ของ Facebook กับ Camera ใน iOS ที่แสดงบน home screen คล้ายเหมือนกัน อาจจะทำให้ผู้ใช้สับสนได้)
นอกจากนี้ Facebook Camera เวอร์ชั่นใหม่นี้ยังมีความสามารถที่ปรับปรุงและเพิ่มเติมมาเช่น เพิ่ม Help Center ในแอพฯ, ปรับปรุงการอัพโหลดรูปภาพใหม่ให้ดีขึ้น และอื่น ๆ ทั้งนี้ Facebook ได้แนะนำว่าถ้าต้องการใช้งานแอพฯ นี้ให้ดีขึ้นควรจะปิด GPS ด้วย
ทางเว็บไซต์ WPCentral ได้รับรายงานเป็นจำนวนมากว่าแอพ Facebook และ People Hub บน Windows Phone ได้หยุดทำงาน โดยความผิดพลาดที่พบคือไม่สามารถเปิดแอพ Facebook ได้,แอพไม่ยอมรับพาสเวิร์ดและ Status ไม่ยอมอัพเดท ทาง WPCentral ยังได้กล่าวอีกว่าพวกเค้าได้หาทางแก้ไขทุกวิธี (ลองแม้กระทั่ง hard reset) แต่ก็ยังไม่สามารถกลับมาใช้งานได้ จึงเป็นไปได้ว่าปัญหาอาจจะเกิดจาก API จากทาง Facebook เอง
ผมเองพอได้อ่านข่าวก็พบว่า Facebook และ People Hub บนเครื่องที่ใช้อยู่ใช้งานไม่ได้เช่นกัน
ที่มา - WPCentral
Facebook ประกาศออกปลั๊กอิน Facebook for WordPress อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก
ปลั๊กอินตัวนี้จะช่วยให้ผู้สร้างเนื้อหาผ่าน WordPress แชร์ข้อมูลไปยัง Facebook ได้ง่ายขึ้นมาก เช่น เราสามารถแท็กเพื่อนๆ หรือสั่งโพสต์ลิงก์ในหน้าวอลล์ของตัวเองได้จากตอนเขียนเนื้อหาใน WordPress ได้เลย นอกจากนี้ ปลั๊กอินยังให้ WordPress widget มาอีกหลายอัน สำหรับแสดงข้อมูลต่างๆ อย่างการกด like/subscribe/send หรือ recommendation บทความอื่นๆ ของเว็บนั้น (ส่วนใหญ่มีอยู่แล้วในปลั๊กอินอื่นๆ เพียงแต่อันนี้เป็นเวอร์ชัน Facebook ทำเองครับ)
เรื่องมีอยู่ว่าเว็บข่าว Gizmodo ประกาศจัดแคมเปญ Summer of Zuck โดยกติกาคือ Gizmodo ชวนผู้อ่านเว็บให้ถ่ายภาพ Mark Zuckerberg ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตามตลอดช่วงฤดูร้อนนี้ (ตั้งแต่วันนี้ถึง 3 กันยายน) โดยมีค่าตอบแทนคือภาพละ 20 ดอลลาร์ถ้าได้รับการเผยแพร่
Gizmodo กำหนดเงื่อนไขว่า ภาพที่ส่งมาต้องเป็นภาพใหม่ที่ถ่ายด้วยตนเอง, มีข้อมูล EXIF, เห็นได้ชัดเจนว่าเป็น Mark Zuckerberg, ไม่ใช่ภาพในการประชุมสัมมนาที่มีการประกาศล่วงหน้าว่าจะเข้าร่วม และวิธีการถ่ายภาพนั้นต้องไม่ละเมิดสิทธิตามกฎหมาย เช่นแอบถ่ายในที่รโหฐานหรือซ่อนกล้อง ทั้งนี้ Gizmodo สัญญาว่าจะปกปิดข้อมูลผู้ถ่ายภาพและส่งเข้ามาในระดับสูงสุด
Facebook เปิดตัวหน้า App Center ไปตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม แต่ก็ยังไม่เปิดอย่างเป็นทางการเสียที วันนี้ Facebook ได้เปิดหน้า App Center แบบเงียบๆ แล้ว
ระบบคัดแอพของ App Center ต่างจากแนวคิดตอนเปิดตัวเล็กน้อย นอกจากส่วนแอพแนะนำ และแอพที่เพื่อนใช้แล้ว ยังมีหน้าแอพที่ได้คะแนนสูงๆ หรือเป็นที่นิยมอยู่ด้วย (ตอนแรกบอกว่าจะคัดจากแอพที่ตรงกับข้อมูลของผู้ใช้อย่างเดียว)
นอกจากระบบด้านบนแล้วอย่างอื่นไม่ต่างจากที่อื่นๆ นักมีการแบ่งหมวดตามชนิดแอพ (เว็บแอพ หรือแอพบนมือถือ) และหมวดหมู่แอพ (เพลง ภาพ เกม ฯลฯ) แต่เท่าที่ลองดูยังไม่มีแอพเสียเงินให้เห็น
สำหรับใครที่ยังไม่เคยเห็นหน้าตาของ App Center ก็จะประมาณนี้ครับ
เอกสารหลุดจาก ITU หรือสหภาพโทรคมนาคมนานาชาติอ้างว่า ITU เตรียมที่จะเก็บภาษีพิเศษเฉพาะบริการที่ใช้แบนด์วิธสูงอย่าง Facebook และ Netflix โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบนด์วิธที่เกิดขึ้นนอกสหรัฐอเมริกา โดยกลุ่มที่พยายามผลักดันภาษีดังกล่าวได้แก่นักล็อบบี้ยิสต์ต่าง ๆ ที่ทำให้กับบริษัทโทรคมนาคมใหญ่ยักษ์หลายรายของยุโรป ซึ่งกลุ่มนี้คือกลุ่มเดียวกันที่เชื่อว่ากูเกิล และผู้ให้บริการทางด้านเนื้อหาต่าง ๆ ก็ควรจะรับภาระรายจ่ายที่เกิดขึ้นจากบริการเหล่านี้ด้วย
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานผลสำรวจร่วมกับ Ipsos พบว่า 4 ใน 5 ของผู้ใช้งาน Facebook นั้น ไม่เคยซื้อสินค้าหรือบริการที่โฆษณาอยู่ในเว็บเลย นอกจากนั้น ผลสำรวจยังพบว่า 34% ของผู้ใช้งานใช้เวลากับ Facebook น้อยลงในช่วง 6 เดือนหลังสุด มีเพียง 20% เท่านั้นที่ใช้งานมากขึ้น
ผลสำรวจนี้ทำการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันจำนวน 1,032 คน โดย 20% บอกว่าไม่มีบัญชี Facebook
แม้ว่าในการสำรวจจะไม่ได้สอบถามถึงรูปแบบการโฆษณาที่มีผลต่อการตัดสินใจ แต่รอยเตอร์อ้างรายงานจากผลการวิจัยของ eMarketer ว่าการโฆษณาใน Facebook นั้น มีผลต่อการตัดสินใจน้อยกว่า email หรือ direct-mail marketing ซะอีก
Dirk de Kok เจ้าของเว็บ Mobtest (เว็บเกี่ยวกับการทดสอบแอพบนมือถือ) ได้โพสต์เกี่ยวกับการทำงานของแอพ Facebook บนอุปกรณ์ iOS ว่าอะไรทำให้แอพตัวนี้ค่อนข้าง ”แย่” โดยเฉพาะปัญหาในเรื่องของความเร็วและการโหลดเนื้อหา
จะว่าไปแอพตัวนี้มีเรทติ้งเฉลี่ยเพียงแค่ 2 ดาวจาก 5 ดาวเท่านั้น (ใน iTunes ของอเมริกา) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแอพ social network ตัวนี้ให้ประสบการณ์การใช้งานที่ไม่ดีนักกับผู้ใช้ ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่ก็คือ
จากที่คาดกันมานาน ในที่สุด Facebook ก็เปิดหน้าร้านรวมแอพบนแพลตฟอร์มของตัวเองในชื่อ Facebook App Center เป็นที่เรียบร้อย
รูปแบบการใช้งานคงไม่ต่างอะไรจากร้านขายแอพอื่นๆ มากนัก เพียงแต่แอพที่จะแสดงบน Facebook App Center จะคัดเลือกเฉพาะแอพคุณภาพโดยวัดจากสถิติการใช้งานเป็นหลัก มีระบบแนะนำตามรูปแบบการใช้งานของผู้ใช้
เมื่อครั้งงาน MWC 2012 ต้นปีนี้ Facebook เคยแถลงข่าวทำระบบ carrier billing หรือการลงบัญชีค่าใช้จ่ายกับบิลค่ามือถือของโอเปอเรเตอร์ ช่วยให้การซื้อสินค้าผ่าน Facebook Credits ทำได้สะดวกขึ้นมาก (ไม่ต้องจ่ายตรงเองแต่ลงบิลค่ามือถือหรือหักจากบัตรเติมเงินแทน)
วันนี้ Facebook ประกาศว่าเริ่มใช้ระบบนี้แล้ว โดยจะเริ่มกับโอเปอเรเตอร์ในสหรัฐและสหราชอาณาจักรก่อน จากนั้นจะขยายไปยังโอเปอเรเตอร์ในประเทศอื่นๆ อีกกว่า 60 ประเทศต่อไป
Eric Jackson ผู้ก่อตั้งสถาบัน Ironfire Capital ได้ออกมาพูดในรายการ Squawk on the Street ช่อง CNBC ว่า "ในอนาคตนี้ Facebook จะหายไปจากโลกอินเทอร์เน็ตเหมือนที่ Yahoo ได้หายไป" … "แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม Yahoo ก็ยังสามารถทำเงินได้และก็ยังมีพนักงานกว่า 13,000 คน ถึงแม้ว่ามันจะมีมูลค่าเพียงแค่ 10% จากราคาตลาดสมัยที่ Yahoo รุ่งที่สุดเมื่อปี 2000"
สำหรับสาเหตุที่เขาเชื่อว่า Facebook จะหายไปนั้น เขาบอกว่าบนตลาดมือถือ Facebook ยังไม่สามารถปรับตัวได้ และโลกเราก็หมุนเร็วกว่าเดิม การแข่งขันก็มากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ที่เคยครองตลาดในโลกเทคโนโลยีในเจอเนอเรชั่นก่อนหน้า มักจะมีปัญหาในการก้าวข้ามไปเจอเนอเรชั่นต่อไปเสมอ
เฟชบุ๊กเป็นหนึ่งในบริษัทยุคใหม่ที่เปิดซอร์สโครงการใหญ่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้ที่เด่นๆ คือ HipHop ที่เป็นคอมไพล์เลอร์สำหรับภาษา PHP, และ Thrift โปรโตคอลสำหรับสื่อสารข้ามภาษา เมื่อสองวันก่อนก็มีการเปิดตัวอีกหนึ่งโครงการ คือ Folly ไลบรารีพื้นฐานสำหรับภาษา C++11
ตัวไลบรารีนั้นค่อนข้างกระจัดกระจาย ยังไม่สมบูรณ์เป็นชุดเหมือน Boost อย่างไรก็ดีมีหลายตัวที่น่าสนใจ เช่น Format.h
ที่ยกเอาระบบฟอร์แมตของไพธอนมาใช้บน C++ ตรงๆ หรือ AtomicHashMap.h
ที่สร้างโครงสร้างข้อมูลแบบแมบโดยทุกคำสั่งนั้นเป็นปลอดภัยต่อการใช้งานพร้อมกันหลายเธรด
แม้ว่าตัวเลขล่าสุด active user ของเฟซบุ๊กตอนนี้จะมากถึง 900 ล้านคนเข้าไปแล้ว (ข้อมูลเดือนพฤษภาคม) ซึ่งมากพอที่จะเป็นเบอร์หนึ่งในวงการโซเชียลเน็ตเวิร์คอีกนาน แต่ก็ยังมีพื้นที่ให้เฟซบุ๊กสามารถขยายฐานผู้ใช้เพิ่มขึ้นอีกนั่นก็คือผู้ใช้ที่อายุต่ำกว่า 13 ปี
ก่อนหน้านี้เฟซบุ๊กจะยอมให้ผู้ใช้ที่มีอายุเกิน 13 ปีสามารถสมัครได้เท่านั้น แต่ตอนนี้เฟซบุ๊กมีแผนจะปรับแล้ว โดยผู้ใช้ที่อายุต่ำกว่า 13 ปี สามารถสมัครบัญชีเฟซบุ๊กได้ โดยจะมีระบบเสริมจากบัญชีปกติคือ parental control ให้ผุ้ปกครองสามารถควบคุมและจำกัดแอพพลิเคชันที่ใช้งาน และให้เข้าถึงข้อมูลเท่าที่จำเป็น