บริษัท Meta ประกาศคืนบัญชีให้ Donald Trump ทั้งบน Facebook และ Instagram หลังโดนแบนเมื่อ 2 ปีก่อน ในเหตุการณ์ม็อบผู้สนับสนุน Trump บุกอาคารรัฐสภาของสหรัฐ
กระบวนการแบนบัญชีของ Meta พิจารณาโดยคณะกรรมการคนนอกที่เรียกว่า Oversight Board เพื่อเพิ่มความโปร่งใสให้บริษัท กรณีของ Trump นั้น บอร์ดเห็นชอบกับการแบน แต่เสนอให้กำหนดขอบเขตระยะเวลาของการแบนด้วย ซึ่ง Meta เพิ่มนโยบายแบน 2 ปีเข้ามา
Meta ประกาศปรับปรุงระบบโฆษณาสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่อายุต่ำกว่า 18 ปี หรือวัยรุ่น จากก่อนหน้านี้จำกัดไม่ให้โฆษณาอิงบนความสนใจและกิจกรรม
โดยเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป ผู้ลงโฆษณาจะไม่สามารถทำโฆษณาเจาะกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น อิงตามข้อมูลเพศได้อีก มีผลทั้ง Facebook และ Instagram ข้อมูลที่ผู้ลงโฆษณาสามารถกำหนดได้จะมีเพียงอายุและพื้นที่เท่านั้น
นอกจากนี้ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป ผู้ใช้งานกลุ่มวัยรุ่นยังสามารถกำหนดค่าการแสดงโฆษณาได้ใน Ad Preferences เช่น จำกัดให้แสดงโฆษณาบางประเภทน้อยลงได้ด้วย
ที่มา: Meta
Meta ประกาศปิดแพลตฟอร์มไลฟ์สตรีม Super ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ปีหน้า โดยครีเอเตอร์สามารถดาวน์โหลดวิดีโอของตัวเองบนแพลตฟอร์มเก็บไว้ได้ก่อนแอปปิดตัวลง หลังจากเพิ่งมีข่าวเมื่อไม่กี่เดือนก่อนว่า ได้ทาบทามให้ครีเอเตอร์บางรายทดสอบใช้งาน
Super มีลักษณะคล้ายกับแอป Cameo ที่ให้ครีเอเตอร์หรือผู้มีชื่อเสียงได้พูดคุยกับผู้ใช้แอปผ่านวิดีโอ โดย Meta เผยว่าอยากให้ Super เป็นแพลตฟอร์มที่ทำเงินให้กับครีเอเตอร์ผ่านฟีเจอร์ที่ทำให้ครีเอเตอร์และคนดูมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น
ที่มา: บัญชีทวิตเตอร์ @JoshConstine
Meta ขู่จะลบข่าวทุกอย่างออกจาก Facebook หลังจากที่มีข่าวว่าฝ่ายนิติบัญญัติกำลังพิจารณาเพิ่มกฎหมาย Journalism Competition and Preservation Act (JCPA) ลงในร่างกฎหมายด้านความมั่นคงที่จะต้องผ่านร่างประจำปี
กฎหมาย JCPA มีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมข่าวโดยกำหนดยกเว้นให้สำนักข่าวสามารถต่อรองรายได้กับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook หรือ Google เพื่อรับส่วนแบ่งโฆษณาที่มากขึ้นจากการลงข่าวบนแพลตฟอร์มดังกล่าวได้ในระยะเวลา 4 ปีภายใต้กฎหมายต่อต้านการผูดขาดของสหรัฐฯ ที่มุ่งใช้กับบริษัทเทคโนโลยี
Facebook แจ้งผู้ใช้งานว่า จะยกเลิกการแสดงข้อมูลบางอย่างบนหน้าโปรไฟล์ของผู้ใช้ ได้แก่ มุมมองทางศาสนา มุมมองทางการเมือง ที่อยู่ และ ความสนใจทางเพศ (Sexual Orientation) ของผู้ใช้งาน โดยจะมีผลเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม และ Matt Navarra นักวิเคราะห์สายโซเชียลมีเดียเป็นคนแรกที่สังเกตุเห็น Facebook ส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้ที่กรอกข้อมูลเหล่านี้บนหน้าโปรไฟล์
Facebook ปรับเปลี่ยนการแสดงข้อมูลในหน้าโปรไฟล์ส่วนหนึ่งอาจมาจากที่ผู้ใช้งานเริ่มให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ทำให้ไม่ต้องการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวลงบนแพลตฟอร์มออนไลน์
ที่มา: TechCrunch
เอกสารภายในบริษัทและแหล่งข่าวของ Wall Street Journal ระบุว่า Meta ได้จัดการกับพนักงานกว่า 20 รายด้วยการไล่ออกหรือลงโทษทางวินัยเมื่อปีที่แล้ว หลังพบว่าพนักงานควบคุมบัญชีผู้ใช้งาน Facebook และ Instagram ขายบัญชีผู้ใช้ให้กับแฮ็กเกอร์
พนักงานที่ถูกลงโทษบางส่วนทำงานเป็นผู้ดูแลศูนย์บริการของ Meta และได้นำข้อมูลบัญชีผู้ใช้ออกไปให้บุคคลที่สามผ่านทางระบบที่เรียกเป็นการภายในบริษัทว่า Oops ย่อมาจาก Online Operations ที่ Meta อนุญาตให้พนักงานสามารถเข้าสู่ระบบเพื่อจัดการกับข้อมูลผู้ใช้ได้ในกรณีที่ผู้ใช้ต้องการความช่วยเหลือ เช่น ต้องการรีเซ็ตรหัสผ่าน หรือเมื่อบัญชีถูกแฮ็ก
Meta เขียนบล็อกเล่าประสบการณ์ย้ายภาษาโปรแกรมที่ใช้เขียนแอพ Android จากเดิม Java มาเป็น Kotlin ซึ่งตอนนี้ย้ายไปแล้วเกิน 10 ล้านบรรทัด (ยังย้ายไม่เสร็จทั้งหมด)
Meta ระบุว่า Kotlin เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในโลกของ Android โดยมีข้อดีเหนือกว่า Java 11 (ที่ใช้ในวงการ Android) หลายด้าน เช่น nullability ที่ระดับของตัวภาษา, รองรับการทำ functional programming ดีกว่า Java, โค้ดสั้นกว่า และรองรับการทำ Domain-specific language (DSL)
Elon Musk ประกาศแนวทางด้านเนื้อหาของ Twitter ว่าจะตั้ง "คณะกรรมการกำกับดูแลเนื้อหา" (content moderation council) ที่มีมุมมองหลากหลาย (diverse viewpoints) มาตัดสินใจเรื่องการแบน-ไม่แบนบัญชีหรือเนื้อหาต่างๆ
แนวทางนี้เหมือนกับ Facebook ที่มี Oversight Board เป็นคณะกรรมการ 20 คน แต่งตั้งบุคคลภายนอก ทำหน้าที่ตัดสินใจเรื่องการแบนเนื้อหาประเภทต่างๆ ที่ขัดแย้ง เช่น โพสต์เกี่ยวกับมะเร็งเต้านม หรือ COVID-19
ผลงานสำคัญของ Oversight Board คือตัดสินใจแบนบัญชีของ Donald Trump เป็นเวลานาน 2 ปี
Meta เพิ่มเครื่องมือ Brand Rights Protection ให้แบรนด์ต่างๆ สามารถสอยโพสต์ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของตนเองได้ง่ายขึ้นทั้งบน Facebook และ Instagram
โดยทั่วไปแล้ว Meta จะให้แจ้งคำร้องเพื่อลบโพสต์ไปยัง Meta ก่อนเป็นขั้นตอนพื้นฐานสำหรับกรณีทั่วไป แต่ก็มีบางกรณีที่บางแบรนด์อาจได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องมือดังกล่าวเพื่อลบโพสต์เป้าหมายได้เลยอัตโนมัติโดยไม่ต้องรอส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ของ Meta เป็นคนพิจารณา
Meta รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 3 ปี 2022 รายได้รวม 27,714 ล้านดอลลาร์ ลดลง 4% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2021 และมีกำไรสุทธิ 4,395 ล้านดอลลาร์
รายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจแอปต่าง ๆ เฉพาะส่วนนี้ลดลงเหลือ 27,429 ล้านดอลลาร์ มีกำไรการดำเนินงานเฉพาะส่วน 9,336 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ธุรกิจใหม่เมตาเวิร์ส รายได้ลดลงเหลือ 285 ล้านดอลลาร์ และขาดทุน 3,672 ล้านดอลลาร์ จำนวนผู้ใช้งานรวมทุกแพลตฟอร์มประจำทุกเดือน (MAUs) เพิ่มเป็น 3.71 พันล้านคน
ในแถลงผลประกอบการ Meta ระบุว่าปี 2023 กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับเมตาเวิร์สจะมีค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น และมีผลการดำเนินงานขาดทุนมากกว่าปีปัจจุบัน โดยกลุ่มธุรกิจนี้ถูกกำหนดแล้วว่าจะเริ่มทำกำไรได้ในระยะยาว
Meta แถลงผ่านบล็อกว่าบริษัทกำลังพิจารณาว่าอาจปิดไม่ให้ผู้ใช้งาน Facebook ในแคนาคาทำการโพสต์บทความข่าวบนแพลตฟอร์ม หลังจากที่แคนาดาเตรียมออกกฎหมาย Online News Act (Bill C-18) ซึ่งระบุว่าผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์เช่น Facebook ต้องแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งให้สำนักข่าวท้องถิ่น
ท่าทีของ Meta นี้ได้ถูกสื่อออกมาภายหลังการประชุมของ House of Commons Heritage Committee (CHPC) ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่กำกับดูแลเกี่ยวกับแผนงานด้านวัฒนธรรม, ศิลปะ, ภาษา, กีฬา และการสื่อสารของประชาชน โดยสังกัดอยู่ภายใต้กระทรวง Department of Canadian Heritage โดยการประชุมดังกล่าวว่าด้วยเรื่องกฎหมายใหม่ Online News Act นี้ซึ่งไม่ได้มีการเชิญตัวแทน Meta เข้าร่วมหารือด้วย (แต่มีตัวแทนของ Google เข้าร่วมให้ความเห็นหลังการร้องขอจาก Google)
Facebook เตรียมหยุดสนับสนุน Instant Articles เครื่องมือช่วยแสดงผลเนื้อหาบนแอป Facebook ที่รวดเร็วขึ้น โดยกำหนดช่วงกลางเดือนเมษายน 2023 ซึ่ง Facebook ให้เวลาสื่อผู้เผยแพร่ข่าวประมาณ 6 เดือน สำหรับการปรับยุทธศาสตร์การเผยแพร่เนื้อหาบน Facebook จากผลกระทบนี้
ตัวแทนของ Meta ชี้แจงเหตุผลการตัดสินใจนี้แบบตรงไปตรงมานั่นคือ ไม่ค่อยมีคนใช้ โดยบอกว่าปัจจุบันมีน้อยกว่า 3% ของเนื้อหาที่อยู่บนฟีด Facebook เป็นการโพสต์ลิงก์ไปเนื้อหาเว็บข่าว จึงมองว่าไม่สมเหตุสมผลนัก ที่จะลงทุนพัฒนาดูแลบริการที่คนไม่ค่อยใช้งาน
ผู้ใช้ Facebook หลายรายแสดงความคิดเห็นว่ายอดจำนวนผู้ติดตามของตนเองหายไป ซึ่งบางคนหายไปเป็นหลักหมื่นหรือหลักแสนคน คาดว่าเป็นบั๊กที่ทำให้ Facebook แสดงผลไม่ตรงตามความจริง
บัญชี Facebook ของ Mark Zuckerberg ก็เช่นเดียวกัน ขณะนี้พบว่ามีจำนวนผู้ติดตามบัญชีอยู่แค่ไม่ถึง 1 หมื่นคนเท่านั้น ทั้งนี้ หากเข้าผ่านสมาร์ทโฟนและกดเข้าไปดูจากตัวเลขที่แสดงผล ก็ยังแสดงจำนวนผู้ติดตามจำนวนกว่า 100 ล้านคนเป็นปกติ
Meta ออกคำเตือนด้านความปลอดภัย ระบุว่าทีมวิจัยพบแอปใน Android และ iOS มากกว่า 400 แอป ที่ออกมาในปีนี้ มีเป้าหมายเพื่อขโมยข้อมูลล็อกอิน Facebook และเข้าถึงการใช้งานแบบ Full Access ซึ่งแอปเหล่านี้สามารถดาวน์โหลดได้ผ่าน Google Play Store หรือ Apple App Store จำนวนผู้ใช้งานที่ได้รับผลกระทบมีประมาณ 1 ล้านคน
ทีมวิจัยของ Meta ไม่ได้ระบุรายชื่อแอปที่พบปัญหาดังกล่าว แต่ยกตัวอย่างการทำงานของแอปกลุ่มนี้ เช่น แอปแต่งรูป ที่บอกว่าเปลี่ยนรูปเซลฟี่ให้เป็นตัวการ์ตูน, แอป VPN ที่บอกว่าทำให้เล่นเน็ตเร็วขึ้น, แอปที่บอกว่าแฟลชมือถือจะสว่างขึ้น, แอปเกมที่พูดคุณสมบัติกราฟิก 3D เกินจริง, แอปดูดวง ฯลฯ
Tech Shielder เว็บที่เก็บข้อมูลและวิจัยด้านความปลอดภัย เปิดเผยรายงาน Hack Hotspots ที่รายงานการเก็บข้อมูลของแอป โซเชียลและบันเทิง ที่ได้รับความนิยม รวมถึงแนวโน้มของปริมาณความสนใจในการแฮกแอปเหล่านี้
รายงานเผยว่าแอปในกลุ่ม Meta ล้วนมีการเก็บชุดข้อมูลของผู้ใช้ในสัดส่วนที่สูงที่สุด โดย Facebook และ Messenger เก็บชุดข้อมูลถึง 70% ของจำนวนชุดข้อมูลที่สามารถเก็บได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้อมูลส่วนบุคคล รองลงมาเป็น Instagram ที่ 67%, Snapchat 59%, WhatsApp และ Twitter เท่ากันที่ 53%
Facebook ประกาศปรับปรุงระบบฟีดแสดงผลในหน้าแรกอีกครั้ง โดยคราวนี้บอกว่ามีเป้าหมายให้เนื้อหาที่ถูกคัดเลือกมาแสดง มีการปรับแต่งสำหรับความต้องการจริง ๆ ของผู้ใช้งานแต่ละคนมากขึ้น
เครื่องมือใหม่ที่ Facebook เพิ่มมาคือตัวเลือกให้คะแนน Show More กับ Show Less โดยจากการแสดงคำถามให้ตอบแล้ว ผู้ใช้งานยังสามารถกดปุ่ม 3 จุด มุมบนขวาแต่ละโพสต์เพื่อตอบว่า Show More หรือ Show Less ได้ด้วย
Facebook บอกว่าเมื่อผู้ใช้งานเลือก Show More ระบบจะเพิ่มคะแนนโพสต์นี้และโพสต์ประเภทนี้ชั่วคราว ส่วน Show Less จะทำในทางตรงกันข้าม
นอกจากนี้ Facebook จะเพิ่มการตั้งค่า Feed Preferences ซึ่งสามารถกำหนดได้ว่าเราต้องการเห็นโพสต์จากเพื่อน, Groups หรือเพจต่าง ๆ ในปริมาณมาก-น้อยแค่ไหน
Meta ยืนยันข่าวเตรียมปิดให้บริการ Bulletin แพลตฟอร์มนักเขียนอิสระแนวเดียวกับ Substack ที่สามารถใช้ล็อกอิน Facebook และจ่ายเงินค่าสมาชิกให้กับนักเขียน ซึ่งเปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว
ตัวแทนของ Meta บอกว่านักเขียนบนแพลตฟอร์ม ยังคงได้ส่วนแบ่งค่าสมาชิกต่อไป จนกว่าบริการจะปิดตัวลงในช่วงต้นปี 2023 การพัฒนา Bulletin ทำให้ Meta ได้ทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของครีเอเตอร์ผู้สร้างสรรค์เนื้อหา กับผู้อ่าน และวิธีการสนับสนุน ตลอดจนการจัดการชุมชนผู้อ่าน ซึ่งจะนำเข้ามารวมใน Facebook แอปหลักต่อไป
Bulletin เป็นแพลตฟอร์มที่มีนักเขียนชื่อดังหลายคน ที่ Meta ทาบทามมา เช่น Malala Yousafzai เจ้าของรางวัลสาขาสันติภาพ, Malcolm Gladwell และ Tan France
Facebook ประกาศตัว Webview สำหรับแอปบนแอนดรอยด์ตัวใหม่ที่พัฒนาขึ้นจาก Chromium แตกต่างจากเวอร์ชันปัจจุบันที่ใช้งานอยู่ที่รันบน Android System Webview สำหรับการเปิดหน้าเว็บบนแอป
Facebook บอกว่าการเปลี่ยนแบบนี้จะช่วยเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น เพราะ Facebook จะสามารถอัพเดต Webview ที่มีช่องโหว่ได้โดยตรงผ่านตัวแอป (ที่อัพเดตตาม Chromium) ขณะที่แบบเดิมต้องรอการอัพเดตตัว System Webview ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า คนอัพเดต Facebook มากกว่าอัพเดตตัว Chrome และ System Webview
นอกจากนี้ยังมีเรื่องความเสถียร ที่ไม่ต้องไปดึงไลบรารี System Webview มาใช้ เวลาตัว System Webview อัพเดตแล้วแอปจะไม่แครช รวมถึงการเรนเดอร์เว็บที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพราะใช้ GPU ส่วนของ Facebook เอง
Meta เปิดให้ผู้ใช้ทั่วโลกทดลองใช้ฟีเจอร์ใหม่เพื่อให้ผู้ใช้สร้างบัญชีและสลับแอปพลิเคชันระหว่าง Facebook และ Instagram ได้ง่ายขึ้น
ฟีเจอร์แรก Meta ได้เพิ่มหน้าสำหรับการสลับบัญชีระหว่างแอปพลิเคชันทั้ง 2 ในหน้านี้จะแสดงบัญชีของผู้ใช้และการแจ้งเตือนจากทั้ง 2 แอป ผู้ใช้สามารถกดสลับบัญชีข้ามแอปได้ในหน้านี้ ผู้ใช้สามารถทดลองได้บนระบบ iOS, Android และบนเว็บไซต์
ศาลประเทศเคนย่านัดวันไต่สวนคดีระหว่าง Meta และบริษัท Sama ซึ่งเป็นบริษัท outsource ผู้ดูแลและคัดกรองเนื้อหาบน Facebook หลังถูกอดีตพนักงานยื่นฟ้องเรื่องการเอารัดเอาเปรียบและละเมิดสิทธิแรงงาน โดยจะไต่สวนในวันที่ 25 ตุลาคมนี้
Daniel Motaung ชาวเคนย่าที่เป็นอดีตพนักงานของบริษัท Sama ได้ยื่นฟ้องทั้งบริษัทและบริษัท Meta ภายหลังจากที่ออกจากบริษัท
ผู้ใช้ Facebook 2 รายยื่นฟ้องแบบกลุ่มต่อศาลรัฐบาลกลางเมืองซานฟรานซิสโก จากเหตุที่มีนักพัฒนาซอฟต์แวร์ออกมาแฉว่า เบราว์เซอร์ของ Facebook, Messenger และ Instagram แอบฝังสคริปต์ติดตามตัวผู้ใช้ ซึ่งอาจผิดกฎหมายเรื่องการเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้
หลังจากรายงานออกมา Meta ได้โต้ตอบรายงานของ Krause ว่า แอปติดตามการใช้งานผ่านเบราว์เซอร์ของผู้ใช้จริงแต่ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้อย่างผิดกฎหมาย
Facebook ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเก็บข้อมูลผู้ใช้ของ Apple ทำให้เก็บข้อมูลผู้ใช้ iOS เพื่อยิงโฆษณาได้ยากขึ้น ทำให้รายได้จากการโฆษณาลดลง
Facebook ออกฟีเจอร์ใหม่สำหรับครีเอเตอร์ที่ผลิตเนื้อหาโดยใช้ Page เพื่อให้สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ติดตามเพจได้มากขึ้นและให้ผู้ใช้ค้นพบครีเอเตอร์ที่สนใจได้มากขึ้น
ฟีเจอร์แรกมีชื่อว่า “Creator Endorsement” ครีเอเตอร์สามารถแนะนำครีเอเตอร์คนอื่น ๆ ให้กับผู้ติดตามของตนเองได้ ผู้ใช้จะได้รับการแจ้งเตือนและเลือกได้ว่าต้องการติดตามครีเอเตอร์ที่ถูกแนะนำหรือไม่
Facebook ยังเพิ่มฟีเจอร์ติดป้าย “Rising Creator Labels” ให้กับครีเอเตอร์ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นและผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ สร้างสรรค์ และถูกต้องตามแนวทางของบริษัท โดยครีเอเตอร์ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับแรกจะมีป้ายติดที่หน้าเพจของตนเองและจะแสดงบนฟีดของผู้ใช้ภายใต้หัวข้อ “Discover more rising creators to follow”
ช่วงปีที่ผ่านมาอาจนับได้ว่าเป็นขาลงของ Meta ก็ว่าได้ ซึ่งสะท้อนออกมาทั้งจากรายได้ที่ลดลง, จำนวนผู้ใช้ FB ลดลง หรือผลสำรวจในสหรัฐที่ชี้ว่าคนรุ่นใหม่ใช้งาน FB กันน้อย ไม่รวมการโจมตีมากมาย ทั้งเรื่องอัลกอริทึมฟีด ระบบ AI หรือการจัดการต่างๆ สำหรับเพจที่มีปัญหามายาวนาน
Bill George ศาสตราจารย์ด้านการจัดการและความเป็นผู้นำที่ Harvard Business School (HBS) และผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับความเป็นผู้นำองค์กรหลายเล่ม จากประสบการณ์กว่า 20 ปีที่ศึกษาความล้มเหลวของผู้นำในองค์กร แสดงความเห็นกับ CNBC ถึงขาลงของ Meta และ Facebook ว่าสาเหตุมาจากตัว Mark Zuckerberg เอง และจะเป็นแบบนี้ต่อไป ถ้าเขายังอยู่ในตำแหน่ง
Facebook ประกาศฟีเจอร์ใหม่ Community Chats ที่สามารถสร้างกลุ่มพูดคุยเรื่องเดียวกันได้เลยบน Messenger ทั้งในรูปแบบแชตข้อความ หรือห้องคุยเสียง ฟีเจอร์ยังเตรียมเชื่อมต่อกับกลุ่ม Facebook Groups เดิมด้วยเร็ว ๆ นี้
แอดมินของ Community Chats แต่ละกลุ่ม สามารถสร้างห้องย่อย เพื่อพูดคุยเฉพาะเจาะจงแต่ละหัวข้อ แต่ละรายการลงไปเพิ่มเติมได้อีก รวมทั้งตั้งห้องที่ใช้สำหรับประกาศข่าวสารเท่านั้น หรือห้องที่เฉพาะระดับแอดมินพูดคุยหารือได้เท่านั้น นอกจากนี้แอดมินยังสามารถกำหนดการควบคุม หรือแบนผู้ใช้งานจากกลุ่ม กำหนดสิทธิต่าง ๆ ได้อีกด้วย
Meta ยุบทีม Responsible Innovation ที่มีหน้าที่จัดการเรื่องผลกระทบทางลบ (negative impact) ที่อาจเกิดขึ้นจากบริการของบริษัท ซึ่งรวมถึงแอปพลิเคชัน Facebook และ Instagram
แต่เดิมทีมนี้ประกอบด้วยวิศวกรรมซอฟต์แวร์, นักจริยศาสตร์ และพนักงานอื่น ๆ ประมาณ 20 ราย มีหน้าที่ทำงานร่วมกับทีมพัฒนาบริการต่าง ๆ เพื่อประเมินผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากบริการของบริษัท
ทั้งนี้ Meta ชี้แจงว่าเผยว่ายังให้ความสำคัญกับการจัดการกับผลกระทบต่อผู้ใช้เช่นเดิม โดยพนักงานจากทีมนี้ ส่วนใหญ่กระจายเข้าไปทำหน้าที่อย่างเดิมในฝ่ายอื่นๆ แทน