หลังจากเว็บ KrebsOnSecurity รายงานถึงการแจ้งเตือนของ FBI ว่ากำลังมีการใช้ข้อมูลบัตรกดเงินขนานใหญ่ วันนี้ก็มีรายงานออกมาแล้วว่าธนาคารที่ตกเป็นเหยื่อในครั้งนี้คือ Cosmos Bank ในอินเดีย
แฮกเกอร์สามารถติดตั้งมัลแวร์ไปในระบบปล่อยสินเชื่อของธนาคารได้สำเร็จ และคัดลอกข้อมูลบัตรเดบิตออกไปหลายพันใบ จากนั้นจึงนัดแนะผู้ร่วมขบวนการใน 28 ประเทศ ให้กดเงินออกจากบัตรแม่เหล็กที่เขียนข้อมูลบัตรที่ขโมยมาได้ลงไป รวมมีการกดเงินไปกว่า 15,000 ครั้งในช่วงระยะเวลา 7 ชั่วโมง
หลังจากนั้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา แฮกเกอร์จึงลงมืออีกครั้งด้วยการสั่งโอนเงินก้อนใหญ่ 64 ล้านบาทผ่านเครือข่าย SWIFT ไปยังธนาคารในฮ่องกง
Xiaomi ประกาศว่าในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ จะมีการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นแรก F1 ของแบรนด์ลูก POCO ที่นิวเดลี ประเทศอินเดีย โดยหากอ้างตามข้อมูลหลุดก่อนหน้านี้ สมาร์ทโฟนรุ่น F1 นี้จะใช้ Snapdragon 845 โดยมีราคาเปิดราว 16,000-17,000 บาท ถือเป็น Snapdragon 845 ที่ราคาถูกที่สุด (ข่าว MXPhone)
สเป็กเพิ่มเติมที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้ของ F1 คือกล้องคู่ด้านหลัง, รองรับการทำงานของ AI ในโหมดภาพ Portrait, กล้องหน้า 20MP, แบตเตอรี่ 4000mAh, แรม 6GB และความจุเริ่มต้น 64GB
มีผู้ใช้ Android ในประเทศอินเดียบ่นว่าพบเบอร์โทรศัพท์ศูนย์ช่วยเหลือของ Unique Identification Authority of India หรือ UIDAI ของอินเดียคือเบอร์ 1-800-300-1947 และเบอร์ Distress Number คือเบอร์ 112 ปรากฏบนที่อยู่ติดต่อบนมือถือของตนเองโดยที่ไม่ได้บันทึกเอาไว้ ซึ่งคาดว่าเบอร์นี้น่าจะปรากฏกับ Android ทุกเครื่องในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตรายไหนก็ตาม
หลังจากเกิดปัญหานี้ทาง UIDAI ก็ปฏิเสธว่าทางหน่วยงานไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเบอร์โทรศัพท์ที่ปรากฏบนที่อยู่ติดต่อของ Android และบอกว่าเบอร์โทรศัพท์ที่ปรากฏนั้นไม่ได้มีการใช้งานอีกแล้ว และทาง Google ก็ได้ออกมายอมรับปัญหานี้ภายหลัง
เมื่อต้นสัปดาห์มีข่าวเรื่องยอดขาย iPhone ในประเทศอินเดียที่ครึ่งปีขายได้ไม่ถึงล้านเครื่อง จนผู้บริหารระดับสูงที่นั่นลาออก แต่สถานการณ์ของ iPhone ในอินเดียอาจยากลำบากขึ้นไปอีกจากกฎระเบียบข้อบังคับใหม่ ที่กำลังพิจารณา
โดยหน่วยงานกำกับดูแลโทรคมนาคมของอินเดีย (TRAI) เตรียมปรับปรุงกฎเพื่อลดปัญหาการโทรและข้อความสแปม กำหนดให้สมาร์ทโฟนต้องสามารถลงแอปของ TRAI ชื่อ Do Not Disturb (มีใน Play Store) เพื่อใช้บล็อกสแปมและรายงานเบอร์ที่มีปัญหาได้
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่าแผนการบุกตลาดประเทศอินเดียของแอปเปิล ต้องประสบปัญหาอีกครั้ง หลังผู้บริหารระดับสูงถึง 3 ราย ได้ลาออก โดยมีทั้งคนที่ดูแลฝ่ายขาย, ช่องทางจัดจำหน่าย และคนที่ดูแลการขายผ่านโอเปอเรเตอร์ ทำให้แอปเปิลต้องปรับโครงสร้างทีมขายในอินเดียใหม่
อินเดียเป็นตลาดสมาร์ทโฟนขนาดใหญ่ของโลก และที่ผ่านมาซีอีโอ Tim Cook ก็ยืนยันว่าแอปเปิลต้องการทำตลาดที่นี่ให้สำเร็จ แบบเดียวกับที่ทำได้ในจีน แม้จะมีความท้าทายสูงตั้งแต่กำแพงภาษี ซึ่งทำให้ iPhone ราคาสูงมาก จนถึงสภาพตลาดสมาร์ทโฟนที่ไม่เหมือนที่อื่นในโลก มีช่องทางการจำหน่ายซับซ้อน และแอปเปิลยังไม่สามารถตีโจทย์นี้แตก
กระทรวงการโทรคมนาคมแห่งอินเดียได้ผ่านกฎควบคุม Net Neutrality หรือกฎควบคุมความเป็นกลางทางอินเทอร์เน็ตอย่างเป็นทางการ โดยมีการระบุห้ามผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตปฏิบัติต่อทราฟฟิกบนอินเทอร์เน็ตอย่างไม่เท่าเทียม อย่างเช่นบล็อก, ลดแบนด์วิดท์, ให้แบนด์วิดท์เพิ่ม หรือไม่คิดปริมาณข้อมูลโดยแบ่งแยกตามเงื่อนไขต่าง ๆ
จากเหตุการณ์ศาลเตี้ยทำการฆาตกรรมในอินเดีย เพราะคนเชื่อข่าวปลอมเรื่องลักพาตัวเด็กที่แชร์ใน WhatsApp และเหตุการณ์ทำนองนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นในอินเดีย แต่ในระยะ 2-3 ปีให้หลังมานี้ เกิดเหตุแบบนี้อยู่เรื่อยๆ
ล่าสุด Facebook ได้ซื้อหน้าสื่อหนังสือพิมพ์ในอินเดีย 1 หน้าเต็มๆ เผยแพร่วิธีการเช็คข่าวปลอมที่แชร์กันใน WhatsApp พร้อมระบุด้วยว่า ภายในสัปดาห์นี้ WhatsApp จะมีฟีเจอร์ตรวจสอบข้อมูลว่าเป็นข้อมูลที่ได้รับการแชร์ต่อๆ กันมาหรือไม่ ในกรณีที่ผู้ใช้อยากหาต้นตอว่าแชร์มาจากใคร
Samsung ประกาศข่าวเปิดโรงงานในเมือง Noida ของอินเดียอย่างเป็นทางการวันนี้ โดย Samsung บอกว่านี่คือโรงงานผลิตสมาร์ทโฟนที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Samsung ตัดสินใจเพิ่มฐานการผลิตในประเทศอินเดียโดยโรงงานในเมือง Noida แห่งนี้ถือเป็นโรงงานที่ 2 ในดินแดนภารตะต่อจากโรงงานใน Sriperumbudur เนื่องจากอินเดียมีตลาดขนาดใหญ่และยังเติบโตได้ดี ในขณะที่ตลาดในประเทศที่ Samsung มีฐานการผลิตอยู่แต่เดิมทั้งเกาหลีใต้, สหรัฐอเมริกา และบราซิลนั้น อัตราการเติบโตของยอดขายสมาร์ทโฟนนั้นค่อยๆ ลดลง
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา มีผู้เคราะห์ร้าย 5 รายถูกทำร้ายจนเสียชีวิต เพราะคนทำร้ายเชื่อว่า 5 คนนั้นเป็นคนลักพาตัวเด็กตามข้อมูลที่แชร์ผ่าน WhatsApp
ในอินเดียมีคนใช้ WhatsApp ประมาณ 200 ล้านราย ถือเป็นตลาดที่ใหญ่มากๆ ของ WhatsApp เลยทีเดียว ในขณะที่ Facebook ถูกวิจารณ์ว่ามีแต่ข่าวปลอมจนส่งผลกระทบต่อผลการเลือกตั้ง WhatsApp ในอินเดียก็เช่นกัน แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นในโลกจริงนั้นเลวร้ายกว่ามาก เพราะมีคนเสียชีวิตจริงจากการที่คนเชื่อข่าวปลอมที่แชร์กันใน WhatsApp
รัฐบาลในนามหน่วยงานกระทรวงไอที ระบุว่านอกจากจะใช้มาตรการทางกฎหมายต่อผู้ก่อเหตุแล้ว ยังแสดงความกังวลเรื่องข้อมูลปลอมที่แชร์กันซ้ำๆ บน WhatsApp และระบุด้วยว่า WhatsApp ควรรับผิดชอบส่วนหนึ่งด้วยการยุติการเผยแพร่ข้อมูลปลอมเสีย
นับเป็นปัญหาเรื้อรังมาตลอด นับตั้งแต่ไมโครซอฟต์ประกาศหยุดสนับสนุนทางเทคนิคแก่ Windows XP ในวันที่ 8 เมษายน 2014 ถึงแม้ข่าวจะเงียบๆ ไปแต่อย่างน้อยในอินเดียยังคงมีปัญหานี้อยู่ จนธนาคารทุนสำรองอินเดีย (Reserve Bank of India) ซึ่งเป็นธนาคารกลางขีดเส้นตายให้ทุกธนาคารเลิกใช้ Windows XP ในตู้ ATM ภายในเดือนมิถุนายน 2019
ธนาคารกลางของอินเดียได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนเรื่องนี้ให้กับทุกธนาคารตั้งแต่เมษายนปีที่แล้ว ก่อนที่จะแจ้งอีกครั้งเมื่อวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมย้ำเตือนการใช้มาตรการความปลอดภัยอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการอัพเดตระบบปฏิบัติการ เพื่อประโยชน์ของลูกค้าธนาคารด้วย
Reserve Bank of India (RBI) หรือธนาคารกลางอินเดียออกประกาศมาตรการปรับปรุงความมั่นคงปลอดภัยของตู้เอทีเอ็ม หลังตู้จำนวนมากยังคงใช้ Windows XP โดยขีดเส้นตายให้ตู้ทั้งหมดต้องอัพเกรดภายในเดือนมิถุนายน 2019
กำหนดการแบ่งออกเป็น 4 ช่วงตามลำดับ เริ่มจากต้องอัพเกรด 25% ภายในเดือนกันยายนปีนี้ และเพิ่มทีละ 25% ทุกสามเดือนจนต้องครบทั้งหมดในปีหน้า
นอกจากบังคับอัพเกรด Windows XP แล้ว ประกาศนี้ยังระบุให้ธนาคารเพิ่มมาตรการอื่น เช่น ป้องกันการ skimming, ปิดพอร์ต USB, และอัพเดตซอฟต์แวร์อื่นๆ
Uber เปิดตัว Uber Lite เจาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ที่อินเทอร์เน็ตยังไม่แรง และคนอาจยังใช้มือถือที่ไม่สามารถรองรับการใช้งานแอพ Uber ได้เต็มที่ โดย Uber Lite เปิดตัวในอินเดียเป็นที่แรก
Uber Lite มีขนาด 5 เมกะไบต์ (แอพ Uber ปกติมีขนาด 181 เมกะไบต์) เป็นแอพแอนดรอยด์ ไม่รองรับการจ่ายเงินค่าโดยสารผ่านบัตรเครดิต ต้องจ่ายด้วยเงินสดเท่านั้น แต่ทางบริษัทก็มีการวางแผนจะร่วมมือกับ Paytm ผู้ทำเปย์เมนต์ในอินเดีย และเพื่อประหยัดพื้นที่เก็บข้อมูล Uber Lite จะแนะนำสถานที่ใกล้เคียงกับพิกัดของผู้ใช้แทนที่จะทำเป็นแผนที่หรือช่องค้นหาสถานที่ ซึ่งตัวแอพก็มีแผนที่ให้กดดูว่ารถมาถึงหรือยัง แต่จะไม่แสดงแผนที่มาตั้งแต่แรก ผู้ใช้ต้องกดเข้าไปดูเอง
ย้อนกลับไปในปี 2015 Google เริ่มโครงการเดินสายไฟเบอร์ไปตามรางรถไฟในอินเดียเพื่อให้บริการ Wi-Fi ตามสถานี ล่าสุด Google เผยตัวเลขว่าได้ติดตั้งตามสถานีไปแล้ว 400 แห่ง สามารถเข้าถึงผู้ใช้งานในอินเดียได้ราว 8 ล้านราย/เดือน เฉลี่ยใช้งานอินเทอร์เน็ต 350MB ต่อรอบ
เป้าหมาย 400 สถานีเป็นตัวเลขที่ Google ตั้งเป้าไว้ตั้งแต่เริ่มทำโครงการแล้ว และในปีนี้จะเริ่มโมเดลทำรายได้ เริ่มจากหารายได้จากโฆษณา สร้างรายได้ให้ทั้ง Google และ การรถไฟอินเดีย
Google บอกว่าจะไม่หยุดเพียงแค่นี้ โดยตั้งเป้าหมายจะทำโครงการคล้ายๆ กันนี้ในพื้นที่ต่างๆ ของอินเดีย ไม่ใช่แค่สถานีรถไฟ เพราะยังมีคนอีกมากที่ไม่ได้อาศัยและทำงานอยู่ใกล้สถานี และนอกจากอินเดียแล้ว Google ก็เตรียมขยายโครงการไปยังประเทศอื่น เช่น อินโดนีเซีย เม็กซิโก
บริษัทวิจัยตลาด Jana ได้เผยข้อมูลส่วนแบ่งของบริการประเภทออนดีมานด์สตรีมมิ่งประจำไตรมาส 1 ปีนี้ในประเทศอินเดีย โดยที่น่าสนใจคือบริการจากคู่แข่งจากท้องถิ่นยังคงมาแรง
ในด้านวิดีโอสตรีมมิ่งนั้น Jana รายงานว่า ยอดการติดตั้งแอพคู่แข่งจากท้องถิ่นอย่าง Hotstar ซึ่งอยู่ภายใต้บริษัท Star India นั้นกินส่วนแบ่งไปจนถึง 69.7% ตามมาด้วย SonyLIV ที่ 14%, Voot ที่ 10.7%, Amazon ที่ 5%, Netflix ที่ 1.4% และ YuppTV ที่ 0.5%
Hotstar บริการสตรีมมิ่งออนดีมานด์รายใหญ่ของอินเดีย เปิดเผยสถิติใหม่ ของการถ่ายทอดสดการแข่งขันคริกเกต IPL นัดชิงชนะเลิศ ระหว่าง Chennai Super Kings และ Sun Risers Hyderabad โดยมีคนดูการถ่ายทอดสดพร้อมกัน 10.3 ล้านคน
บริการ Hotstar ใช้ระบบหลังบ้านของ Akamai ผู้ให้บริการ CDN รายใหญ่ เพื่อรองรับจำนวนผู้ชมพร้อมกันในปริมาณที่สูงเช่นนี้ ซึ่งทาง Akamai เผยว่าจำนวนผู้ชมพร้อมกันระดับนี้ ถือเป็นครั้งแรกของโลกอินเทอร์เน็ต
การแข่งขันคริกเกต IPL ถือเป็นการแข่งขันกีฬารายการสำคัญของอินเดีย ที่มีผู้ชมในประเทศรอชมเป็นจำนวนมาก และอีกปัจจัยสำคัญคือ Hotstar คิดราคาในการชมคอนเทนต์ที่ไม่สูงมาก รวมทั้งเนื้อหาบางอย่างก็เปิดให้ชมฟรีด้วย
อินเดียประกาศให้ประชาชนระวังการแพร่ระบาดของไวรัสนิปาห์ (Nipah) หลังมีรายงานว่าเมืองโคษิโฆษ (Kozhikode) เมืองทางใต้ของอินเดียมีผู้ติดเชื้อ และเสียชีวิตแล้ว 10 ราย
ไวรัสนิปาห์ (Nipah henipavirus, Nipah virus, NiV) ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1998 ในประเทศมาเลเซีย แต่มีการรายงานว่าระบาดสู่มนุษย์ที่ประเทศบังกลาเทศในปี ค.ศ. 2004 และพบว่าระบาดจากคนสู่คนครั้งแรกในประเทศอินเดียเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (22 พ.ค. 2018)
Walmart เครือข่ายร้านค้าปลีกรายใหญ่ของอเมริกา ประกาศเข้าซื้อหุ้น 77% ใน Flipkart อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของอินเดีย โดยดีลมีมูลค่าราว 16,000 ล้านดอลลาร์ (5.1 แสนล้านบาท) โดยหุ้นส่วนที่เหลือ มีผู้ถือหุ้นรายสำคัญ อาทิ Binny Bansal ผู้ก่อตั้ง, Tencent, Tiger Global Management และไมโครซอฟท์
ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า Walmart และ Amazon ต่างสนใจเข้าซื้อหุ้นของ Flipkart
Doug McMillon ซีอีโอ Walmart กล่าวว่าอินเดียเป็นตลาดค้าปลีกที่น่าสนใจมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทั้งขนาดและอัตราการเติบโต จึงเป็นโอกาสที่น่าลงทุนสำหรับ Walmart โดยจะร่วมมือกับ Flipkart ทั้งในด้านกลยุทธ์และเทคโนโลยี
รายงานจาก Morgan Stanley เผยมูลค่าตลาดสินค้าออนไลน์ในอินเดียจะพุ่งสูง 2 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2026 แต่สินค้าที่คนอินเดียได้ไปนั้นมีไม่น้อยเลยที่เป็นของปลอม
Velocity MR บริษัทวิจัยการตลาดในมุมไบของอินเดียเผย 1 ใน 3 ของคนอินเดียที่ซื้อของออนไลน์ซื้อของปลอมไปใช้ โดยมีผู้ตอบแบบสอบถาม 3,000 คนจากเมืองต่างๆ ในอินเดิย ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา และพบว่าสินค้าปลอมที่ลูกค้าได้ไปส่วนใหญ่คือ โทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์ รองลงมาเป็นสินค้าแฟชั่น
ส่วนเว็บไซต์ที่ผู้ตอบแบบสอมถามระบุว่าเจอของปลอมมีหลายเว็บ ไม่ว่าจะเป็น Amazon, Flipkart, Paytm, Myntra, และ Shopclues
Facebook ประกาศเริ่มโปรแกรมตรวจสอบข้อเท็จจริงของข่าวในอินเดียแล้ว โดยจับมือกับองค์กรตรวจสอบข่าวในอินเดีย โดยอินเดียถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของ Facebook
จากข้อวิจารณ์เรื่องเลือกตั้งสหรัฐฯ ในปี 2016 ที่ Facebook ไม่พยายามหยุดการระบาดของข่าวปลอม Facebook ก็พยายามแก้ไขตัวเองเรื่อยมา และครั้งนี้จะเป้นการพิสูจน์ว่าเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่พัฒนามาเพื่อหยุดข่าวปลอมโดยเฉพาะระหว่างการเลือกตั้งจะใช้ได้ผลหรือไม่
ด้านองค์กรที่ Facebook จะเข้าไปจับมือคือ Boom หน่วยงานตรวจสอบข่าวซึ่งได้รับการรับรองจาก International Fact-Checking Network ทำการทดลองระบบในเมือง Karnataka ของอินเดียที่จะมีการเลือกตั้งของรัฐเกิดขึ้นใน 12 พฤษภาคม โดย Boom จะตรวจสอบเนื้อหาข่าวภาษาอังกฤษที่แชร์บนแพลตฟอร์ม
สำนักข่าว Reuters รายงานว่า Walmart เครือข่ายร้านค้าปลีกรายใหญ่ของอเมริกา กำลังใกล้ปิดดีลเพื่อถือหุ้นใหญ่ใน Flipkart อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของอินเดีย ซึ่งขนาดของดีลอาจเป็นดีลซื้อธุรกิจออนไลน์ใหญ่ที่สุดของ Walmart โดยจะเข้าถือหุ้น 51% ที่มูลค่าราว 10,000-12,000 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตามดีลดังกล่าวอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจาก Amazon ซึ่งตอนนี้เป็นอีคอมเมิร์ซใหญ่ในอินเดียเช่นกัน ก็พยายามยื่นข้อเสนอซื้อกิจการ Flipkart แข่งด้วย
Flipkart เป็นหนึ่งในผู้เล่นอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของอินเดีย ซึ่งมีผู้ถือหุ้นปัจจุบันรายสำคัญ อาทิ SoftBank, eBay, Tencent และไมโครซอฟท์
อินเดียเป็นตลาดที่แอปเปิลพยายามเจาะให้สำเร็จมานาน แม้ตอนนี้จะยังไม่สามารถครองส่วนแบ่งได้ ที่ผ่านมา iPhone SE ได้ผลิตที่อินเดียบางส่วนเพื่อลดภาษีนำเข้า ทำให้ราคาถูกลง แต่ล่าสุดแอปเปิลเตรียมเพิ่มไลน์สินค้าที่ Assembled in India อีกหนึ่งอย่าง
มีรายงานว่า Wistron โรงงานประกอบ iPhone SE ที่อินเดีย เตรียมเพิ่มสินค้าใหม่ iPhone 6s เพิ่มอีกหนึ่งอย่าง ซึ่งจะช่วยให้ราคา iPhone 6s ที่นั่นถูกลงราว 5-7% อย่างไรก็ตามราคาคงไม่สะท้อนทันทีเนื่องจากกำลังผลิตที่ยังจำกัดอยู่
อินเดียตั้งอัตราภาษีนำเข้าสมาร์ทโฟนจากต่างประเทศ เดิมอยู่ที่ 10% และปรับเพิ่มเป็น 15% ในเดือนธันวาคม และ 20% ล่าสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้ผู้ผลิตหลายรายต้องมาตั้งโรงงานที่นี่
Xiaomi ประกาศเปิดโรงงานผลิตสมาร์ทโฟนในอินเดียเพิ่มอีก 3 แห่ง ทำให้ตอนนี้ Xiaomi มีโรงงานในอินเดียแล้วทั้งหมด 6 แห่ง ขณะที่สมาร์ทโฟน Xiaomi ที่ขายในอินเดียกว่า 95% ก็ผลิตในอินเดียอยู่แล้วด้วย ตอกย้ำกลยุทธความเป็นเบอร์ 1 ในอินเดีย
โรงงานที่เปิดใหม่ 3 แห่งนี้มีหนึ่งแห่งที่ Xiaomi ร่วมมือกับ Foxconn เพื่อผลิต Printed Circuit Board โดยเฉพาะ ขณะที่พาวเวอร์แบงค์ของ Xiaomi ก็ถูกผลิตจาก 1 ใน 6 โรงงานในอินเดียนี้ด้วย
ที่มา - Xiaomi
อินเดียดูจะเป็นลูกรักของ Google อยู่ไม่น้อย เมื่อในระยะหลัง Google พยายามออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเน้นตลาดอย่างอินเดียเป็นหลัก ไม่ว่าจะ Android Go สำหรับสมาร์ทโฟนราคาถูกหรือ Tez แอปโมบายเพย์เมนท์ เป็นต้น
ล่าสุดมีรายงานวงในว่า Google กำลังพัฒนา Pixel รุ่นระดับกลาง (mid-range) เพื่อเจาะตลาดอินเดีย หลังจาก Nexus เคยได้รับความนิยมในอินเดียไม่ใช่น้อย คาดว่า Pixel รุ่นนี้จะเปิดตัวราวเดือนกรกฎาคมหรือสิงหาคมนี้ ขณะที่ Pixel ตัวเรือธงจะตามมาช่วงปลายปี
นอกจาก Pixel แล้ว Google ยังเตรียมจะเปิดตัว Google Home และ Home Mini ในอินเดียด้วย โดยทวิตเตอร์ Google India ทวิตระบุว่า Coming Soon
จากการที่ Uber ตัดสินใจขายกิจการเพื่อถอนตัวออกจากหลายพื้นที่ตั้งแต่ จีน รัสเซีย และล่าสุดคือภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยขายให้ Grab ก็เกิดคำถามว่า Uber จะถอนตัวจากที่ไหนอีกหรือไม่ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าตลาดที่มีโอกาสสูงก็คือ อินเดีย ซึ่งที่นั่นมีแอพอย่าง Ola เป็นคู่แข่งหลัก
ในอินเดีย Uber ให้บริการแล้วใน 30 เมือง มีส่วนแบ่งการตลาดราว 35% ขณะที่ Ola แอพคู่แข่ง ให้บริการใน 110 เมือง และมีส่วนแบ่ง 45% นอกจากนี้ Ola ยังมีบริการเงินดิจิทัลชื่อ Ola Money ซึ่งทำให้มีจุดแข็งเหนือว่า Uber (อันนี้ฟังดูคุ้นๆ)
อินเดีย เป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองก็เพียงแต่จีนเท่านั้น ด้วยจำนวนประชากรราว 1.32 พันล้านคน (ข้อมูลจากปี 2016) มากกว่า 2 เท่าของจำนวนประชากรในทุกประเทศเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมกันด้วยซ้ำ นั่นทำให้ฐานข้อมูลเกี่ยวกับประชากรของประเทศนี้คือข้อมูลขนาดมหึมา การรวบรวมและดูแลจึงเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย ซึ่งล่าสุดรัฐบาลอินเดียก็พลาดเรื่องนี้จนได้
เพื่อจัดการกับข้อมูลประชากรมหาศาล รัฐบาลอินเดียได้จัดตั้ง Aadhaar ฐานข้อมูลกลางแห่งชาติที่รวบรวมข้อมูลประจำตัวบุคคลซึ่งรวมถึงข้อมูลอัตลักษณ์ทางชีวภาพอย่างลายนิ้วมือ และภาพสแกนม่านตา โดยมีประชากรอินเดียราว 1.1 พันล้านคนลงทะเบียนข้อมูลแสดงตัวตนในฐานข้อมูล Aadhaar นี้