ศึกระหว่าง Elon Musk ซีอีโอ Tesla กับ SEC หรือ ก.ล.ต. ของสหรัฐฯ ในประเด็นที่ Musk ทวีตข้อมูลตัวเลขการดำเนินงานของบริษัท จนเข้าข่ายชี้นำราคาหุ้น และศาลให้สองฝ่ายเจรจาไกล่เกลี่ยก็ได้ข้อสรุปที่ลงตัวเสียที
โดย Elon Musk ได้ทำข้อตกลงกับ SEC โดย Elon Musk สามารถใช้งาน Twitter ได้อย่างอิสระแต่มีข้อจำกัดบางอย่าง โดยหากสิ่งที่เขาต้องการทวีตเป็นเรื่องเหตุการณ์สำคัญของบริษัท หรือเป็นเรื่องการบรรลุเป้าหมายสำคัญทางการเงิน เขาจะต้องส่งเนื้อหาให้ทนายความของ SEC ตรวจสอบก่อน จึงจะทวีตได้ทุกครั้ง
Tesla รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 1 ปี 2019 มีรายได้รวม 4,541 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 33% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน แต่ลดลง 37% ถ้าเทียบกับไตรมาส 4/2018 และกลับมาขาดทุนอีกครั้ง โดยไตรมาสนี้ขาดทุน 702 ล้านดอลลาร์
สาเหตุที่ผลประกอบการออกมาขาดทุนนั้น Tesla บอกว่ามาจากการส่งมอบรถยนต์ที่ทำได้น้อยกว่าที่ประเมินไว้ (ทำให้ไม่สามารถรับรู้รายได้ได้) นอกจากนี้ยังมีผลกระทบเรื่องราคารถยนต์ที่เพิ่มขึ้น จากการยกเลิกส่วนลดภาษีของลูกค้าในอเมริกา
Elon Musk ประกาศในงาน Tesla Autonomy Day เตรียมให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับ (robo-taxi) ภายในอีก 1 ปี ถึง 1 ปี 3 เดือนข้างหน้า โดยจะมีรถติดตั้งคอมพิวเตอร์สำหรับระบบขับขี่อัตโนมัติถึงล้านคัน และทุกคันสามารถเข้ามาให้บริการแท็กซี่ได้ผ่านแอป Tesla เอง
Musk ระบุว่าต้นทุนของรถ Tesla อยู่ที่ 3.6 บาทต่อกิโลเมตร (0.18 ดอลลาร์ต่อไมล์) เมื่อคิดอายุใช้งานรถ 11 ปีที่ 1,600,000 กิโลเมตร และรถสามารถวิ่งได้ถึง 144,840 กิโลเมตรต่อปี (16 ชั่วโมงต่อวัน ที่ความเร็ว 16 ไมล์ต่อชั่วโมง) เขาไม่ได้ระบุว่าราคาค่าเรียกรถต่อกิโลเมตรเป็นเท่าใด เพราะต้องมีค่าธรรมเนียมเครือข่ายอีก แต่ระบุว่าเฉลี่ยแล้วเจ้าของรถจะกำไรปีละ 30,000 ดอลลาร์หรือประมาณ 930,000 บาท
ในงาน Tesla Autonomy Day วันนี้ หลังจาก Tesla เปิดตัวคอมพิวเตอร์ Full Self-Driving (FSD) สำหรับรองรับการขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ บริษัทได้เปิดให้ผู้เข้าร่วมงานได้มีโอกาสทดลองนั่งรถที่เปิดใช้ระบบดังกล่าวด้วย และได้ปล่อยวิดีโอสาธิตออกมาให้ได้ชมกัน
จากวิดีโอ Tesla ได้สาธิตให้รถวิ่งไปตามไฮเวย์และถนนในเมือง โดยรถได้แล่นไปเองโดยที่คนไม่ต้องจับพวงมาลัย ซึ่งรถสามารถขึ้นไฮเวย์ได้เอง และ merge เข้ากับทางหลัก รวมถึงเข้าสี่แยก, เปิดไฟเลี้ยวเอง, อ่านป้าย "หยุด" ก่อนจะเลี้ยวรถ และเดินทางถึงจุดหมายในที่สุด
วันนี้ Tesla จัดงาน "Tesla Autonomy Day" โดยในงานได้เปิดตัวคอมพิวเตอร์ออนบอร์ดรุ่นใหม่ มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อฟีเจอร์การขับอัตโนมัติเต็มรูปแบบในอนาคต
ฮาร์ดแวร์ดังกล่าวใช้ชื่อตรงๆ ว่า Full Self-Driving (FSD) หรือก่อนหน้านี้รู้จักในชื่อ Autopilot Hardware 3.0 โดยนี่เป็นครั้งแรกที่ Tesla หันมาพัฒนาคอมพิวเตอร์เอง เพราะต้องการสร้างทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ทำงานร่วมกันโดยเฉพาะ
เมื่อวานนี้ได้มีคลิปวิดีโอความยาว 23 วินาที ถูกเผยแพร่ผ่านทาง Weibo และ Twitter โดยเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดในอาคารจอดรถแห่งหนึ่ง เผยให้เห็นเหตุการณ์รถยนต์ Tesla Model S เกิดระเบิดไฟลุกท่วมในขณะที่จอดนิ่งอยู่ในพื้นที่จอดรถ
ผู้ที่โพสต์คลิปวิดีโอนี้ใน Weibo คือผู้ใช้ชื่อว่า Xiu Jian Cong Ye De Liu Dai โดยเขาระบุว่าภาพเหตุการณ์ในคลิปเกิดขึ้นที่เซี่ยงไฮ้ ทั้งนี้จากคลิปวิดีโอจะสังเกตเห็น ตัวอักษร “沪” ซึ่งเป็นชื่อเมืองเซี่ยงไฮ้ในภาษาจีนอยู่ในป้ายทะเบียนของรถ Tesla คันที่เกิดระเบิด
Tesla ถือเป็นผู้เล่นอันดับต้นๆ ที่จริงจังกับรถยนต์ขับอัตโนมัติมาก (อีกเจ้าคือ Waymo ของกูเกิล) โดยล่าสุด Elon Musk ได้ให้สัมภาษณ์กับ Lex Fridman นักวิจัยของ MIT ว่ารถยนต์ Tesla จะขับเก่งกว่ามนุษย์ภายในสิ้นปี 2019
"ภายในสิ้นปีนี้หรืออย่างช้าปีหน้า ผมคิดว่าถ้ามนุษย์เข้ามารบกวน[ระบบขับอัตโนมัติ]จะทำให้ความปลอดภัยลดลง" เขาระบุ
นอกจากนี้ Elon ยังบอกว่าระบบขับอัตโนมัติของ Tesla กำลังพัฒนาด้วยอัตราก้าวกระโดด "ผมอาจจะผิดก็ได้ แต่มันดูเหมือนว่า Tesla นั้นนำคนอื่นอยู่มาก" เขากล่าวเสริม
อย่างไรก็ตาม Elon เคยทำนายผิดหลายครั้งแล้ว โดยมีครั้งหนึ่งเขากล่าวในปี 2015 ว่ารถ Tesla จะขับอัตโนมัติเต็มรูปแบบภายในสองปี ซึ่งขณะนี้ก็ผ่านมาสี่ปีแล้ว
สืบเนื่องจากข่าว Tesla และ Panasonic ชะลอแผนการลงทุนขยายโรงงานแบตเตอรี่ใน Gigafactory เนื่องจากทำการผลิตออกมาไม่ได้ตามเป้า โดยทาง Panasonic ยืนยันว่ายังทำได้ตามแผน ล่าสุดซีอีโอ Elon Musk ออกมาทวีตชี้แจงเพิ่มเติมเอง โดยบอกว่ากำลังผลิตของไลน์แบตเตอรี่ Panasonic ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 24 GWh ต่อปีเท่านั้น ทำให้กระทบต่อการผลิต Model 3 ตั้งแต่เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
Musk ยังอธิบายสถานการณ์ต่อไปว่า Tesla จะไม่ลงทุนเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตในตอนนี้ จนกว่าไลน์ผลิตปัจจุบันจะทำได้ 35 GWh ต่อปีตามแผน เขาบอกว่าตัวเลข 35 นั้นเป็นกำลังการผลิตตามทฤษฎี แต่ทางปฏิบัติตอนนี้ทำได้เพียง 2 ใน 3 จึงกระทบต่อการผลิตรถยนต์ Model 3 ให้ได้ตามแผน
เมื่อวานสำนักข่าว Nikkei รายงานว่า Tesla และ Panasonic ชะลอแผนการลงทุนขยายโรงงาน Gigafactory หลังจากยอดขายออกมาไม่ถึงเป้า โดยเดิมคือต้องการเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้อีกราว 50% ภายในปีหน้า
นอกจากนี้ Nikkei รายงานด้วยว่า Panasonic ยังระงับแผนการลงทุนในโรงงานผลิตแบตเตอรี่และรถยนต์ของ Tesla ในเซี่ยงไฮ้ โดยจะสนับสนุนการซัพพอร์ทด้านเทคนิคและคอยป้อนแบตเตอรี่จากโรงงาน Gigafactory แทน ทั้งนี้ Nikkei ไม่ได้ระบุว่าข้อมูลนี้ได้มาจากแหล่งใด
นอกจากที่ถอดรถยนต์ Model 3 รุ่นราคาต่ำสุดออกจากหน้าเว็บ Tesla ยังพยายามขายของแพงให้ลูกค้าโดยประกาศใส่ฟีเจอร์ Autopilot เข้ามาเป็นฟีเจอร์มาตรฐานในรถทุกรุ่น จากที่ก่อนหน้านี้ต้องซื้อเพิ่มในราคา 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้รถ Model 3 รุ่น Standard Range Plus จากที่เคยมีราคา 37,500 กลายเป็นราคา 39,500 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งก็ถูกกว่าก่อนหน้านี้ที่หากซื้อเพิ่มจะเป็น 40,500 ดอลลาร์สหรัฐ แต่สำหรับลูกค้าที่ไม่ต้องการฟีเจอร์ดังกล่าวก็เหมือนถูกบังคับให้จ่ายแพงขึ้นถึง 2,000 ดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว
เมื่อต้นเดือนมีนาคม Tesla ได้เริ่มเปิดรับคำสั่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 รุ่นราคาต่ำสุด 35,000 ดอลลาร์สหรัฐที่สัญญาไว้ตั้งแต่เปิดตัวเมื่อสามปีก่อน แต่ล่าสุด Tesla ได้ถอดรถรุ่นดังกล่าวออกจากหน้าเว็บแล้ว
Tesla ระบุในบล็อก (อันเดียวกับที่เปิดตัวโครงการเช่ารถ) ว่าบริษัทต้องการทำให้ระบบการสั่งซื้อง่ายขึ้น จึงได้ตัดสินใจถอดรถ Model 3 รุ่นราคา 35,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ใช้ชื่อการตลาดว่า Standard) ออกจากหน้าเว็บ โดยอ้างว่าเพราะรุ่น Standard Range Plus ที่วิ่งได้ระยะทางไกลกว่าและประสิทธิภาพดีกว่านั้นขายดีกว่ารุ่น Standard ถึง 6 เท่า โดยหลังจากนี้รุ่น Standard จะถูกผลิตออกมาเหมือนรุ่น Standard Range Plus แต่ถูกจำกัดประสิทธิภาพและระยะทางด้วยซอฟต์แวร์แทน
หลังจากมีข่าวหลุดมาตั้งแต่เดือน 2 วันนี้ Tesla เปิดตัวโครงการเช่ารถยนต์ Model 3 แล้ว โดยมีตัวเลือก 3 ตัวเลือกตามระยะทางที่วิ่งต่อปีคือ 10,000, 12,000 และ 15,000 ไมล์
Tesla ยืนยันว่าลูกค้าที่ใช้บริการเช่าจะไม่สามารถซื้อขาดรถได้หลังหมดสัญญา เพราะ Tesla จะเอาไปใช้กับบริการ Ride-Hailing ของตัวเอง เมื่อซอฟต์แวร์ไร้คนขับมีความพร้อมสมบูรณ์ในอนาคต คล้ายๆ กับที่ Uber และ Lyft มีแผนจะทำ
ที่มา - Electrek
Elon Musk ซีอีโอ Tesla ได้ขึ้นศาลเพื่อสืบพยานจากคดีล่าสุดที่เขาถูก SEC หรือ ก.ล.ต. ของสหรัฐฯ ฟ้อง จากการที่เขาทวีตตัวเลขกำลังการผลิตของ Tesla ในปี 2019 ว่าจะอยู่ที่ 5 แสนคัน โดยที่ทวีตนี้ไม่ผ่านการตรวจสอบข้อมูลก่อน
ศาลได้ออกคำสั่งให้ Musk และ SEC เจรจาหาข้อสรุปในเรื่องนี้ภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งผู้พิพากษาให้ความเห็นต่อคดีนี้ไว้น่าสนใจว่า ประเด็นนี้สำคัญมากและเชื่อว่าต่อให้ศาลตัดสินไปทางใด ข้อพิพาทของทั้ง Musk และ SEC ก็จะไม่จบอยู่ดี จึงแนะนำให้สองฝ่ายเจรจากันว่าอะไรที่ทำได้ และอะไรที่ทำไม่ได้
Tesla รายงานตัวเลขการผลิตและการส่งมอบรถยนต์ประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2019 ผลิตรถยนต์ทุกรุ่นได้รวม 77,100 คัน แบ่งเป็น Model 3 62,950 คัน และ 14,150 คัน สำหรับ Model S และ X
จำนวนรถยนต์ที่ส่งมอบได้อยู่ที่ 63,000 คัน เพิ่มขึ้นถึง 110% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อนหน้า แบ่งเป็น Model 3 50,900 คัน และ Model S กับ X 12,100 คัน
Tesla บอกว่าคำสั่งซื้อจากลูกค้าในยุโรปและจีนมีจำนวนเพิ่มขึ้นสูงมากกว่าปกติถึง 5 เท่า ในไตรมาสที่ผ่านมา ทำให้จนถึงวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา Tesla ส่งมอบรถได้เพียงครึ่งเดียวของตัวเลขรวมทั้งไตรมาส นั่นก็คือช่วง 10 วันสุดท้าย ก่อนปิดไตรมาส มีรถยนต์ที่ส่งมอบเป็นจำนวนสูงมาก และตัวเลขนี้ก็ทบไปไตรมาสที่ 2 อีกพอสมควร
นักวิจัยจาก Tencent Keen Security Labs ตีพิมพ์งานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับความปลอดภัยของระบบ Autopilot ในรถ Tesla โดยส่วนหนึ่งของงานวิจัยระบุว่าพวกเขาสามารถหลอกให้รถวิ่งออกจากเลนได้
Keen บอกว่าพวกเขาแปะสติกเกอร์เล็กๆ ไว้ที่ถนน เรียงเป็นแนวเฉียงเข้าหาเลนที่สวนเข้ามา ทำให้รถนึกว่าเป็นการ merge เข้าอีกเลน และเลี้ยวตามไปชนรถที่สวนมาได้ ซึ่ง Keen ระบุว่าหากรถยนต์จับได้ว่าแนวเส้นดังกล่าวเป็นเส้นปลอม ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุได้
Tesla ประกาศความสำเร็จในการติดตั้ง Powerpack ชุดใหม่ โดยครั้งนี้เป็นการติดตั้งที่สถานีรถไฟโอซาก้าในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งใช้เป็นพลังงานสำรองฉุกเฉินและลด peak demand ของการใช้พลังงาน
Tesla ระบุว่าทางบริษัทได้ติดตั้ง Powerpack ทั้งหมด 42 ยูนิต 7MWh ซึ่งทางบริษัทระบุว่า Powerpack ชุดนี้ให้พลังงานมากพอที่จะย้ายรถไฟและผู้โดยสารไปยังสถานีที่ใกล้ที่สุดภายใน 30 นาทีหากเกิดเหตุการณ์ระบบไฟฟ้าล้มเหลว
นอกจากนี้ Tesla ยังระบุว่าโครงการนี้เป็นโครงการพัฒนาระบบเก็บพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และตัวฮาร์ดแวร์ทั้งหมดถูกติดตั้งในเวลาเพียง 2 วันเท่านั้น
จุดอ่อนอย่างหนึ่งของรถ Tesla คือเว็บเบราว์เซอร์ ซึ่งมีเสียงบ่นค่อนข้างเยอะว่าทำงานช้าและแสดงผลหน้าเว็บไม่ค่อยสมบูรณ์ โดยมีผลสำรวจระบุว่าเจ้าของรถ Tesla น้อยกว่า 30% ใช้เบราว์เซอร์ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม Tesla เคยมีแผนจะอัพเกรดเมื่อเดือนธันวาคม 2016 แต่ก็ถูกเลื่อนออกไปอีกหลายครั้งเนื่องจากบริษัทต้องการโฟกัสที่ระบบ Autopilot 2.0 และซอฟต์แวร์ของ Tesla Model 3 ก่อน ซึ่งต่อมา Tesla ก็เคยปล่อยอัพเดตให้ครั้งหนึ่งแต่ก็ไม่ได้ดีขึ้นมากนัก
ล่าสุดมีผู้ใช้รถคนหนึ่งได้ทวีตไปหา Elon Musk ว่าเขาหวังว่าเว็บเบราว์เซอร์จะทำงานได้เสถียรกว่านี้ ซึ่ง Elon ก็ได้ตอบกลับว่ากำลังจะอัพเกรดไปใช้ Chromium เร็วๆ นี้
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา Tesla ได้ฟ้อง Guangzhi Cao อดีตพนักงานที่เคยทำงานอยู่ในทีมพัฒนา Autopilot ซึ่งขณะนี้เขาเป็นพนักงานอยู่ในสตาร์ทอัพรถยนต์ไฟฟ้า Xiaopeng Motors หรือเรียกสั้นๆ ว่า Xpeng
Tesla ระบุว่า Cao เป็นพนักงาน 1 คนจากเพียง 40 คนที่มีสิทธิ์เข้าถึงซอร์สโค้ดของระบบ Autopilot ซึ่งเขาได้ลาออกจาก Tesla อย่างกะทันหันเมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา และไปเข้าทำงานที่ Xpeng ในเวลาต่อมา โดย Tesla บอกว่า Cao เริ่มอัพโหลดซอร์สโค้ดที่เกี่ยวข้องกับระบบ Autopilot ขึ้นไปเก็บไว้ใน iCloud ส่วนตัวตั้งแต่ปีที่แล้วมากกว่า 300,000 ไฟล์ และหลังได้งานที่ Xpeng เขาก็ลบไฟล์ออกจากคอมพิวเตอร์บริษัทไปราว 120,000 ไฟล์รวมถึงปลดบัญชี iCloud ออกจากคอมพิวเตอร์ไปด้วย
ปลายเดือนที่แล้ว SEC เคยส่งหนังสือถึงมัสก์ กรณีที่เจ้าตัวทวีตว่าปี 2019 จะผลิตรถได้ราวๆ 500,000 คัน ซึ่งไม่ตรงกับเอกสารที่ส่งให้นักลงทุน ซึ่ง SEC ส่งหนังสือถามว่าทวีตดังกล่าวผ่านการตรวจสอบภายในก่อนตามข้อตกลงยอมความหรือไม่ เพราะส่งผลต่อราคาหุ้น
ล่าสุด SEC ยื่นฟ้องศาลในกรณีนี้แล้วหลัง Tesla ตอบกลับมาสั้นๆ ว่า "ไม่ได้ตรวจสอบทวีตก่อน" โดยคำฟ้องระบุว่ามัสก์ไม่เคยทำตามข้อตกลงดังกล่าวเลยแม้แต่ทวีตเดียว ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวเป็นคำสั่งศาลด้วย
ในที่สุด Tesla ก็เปิดตัวรถยนต์ SUV ขนาดเล็กที่มีข่าวมานานอย่าง Model Y โดยหน้าตาก็เป็นไปตามคาดคือเป็นการเอา Model 3 มาขยายตัวถัง และทำให้สูงขึ้น แบ่งออกเป็น 4 รุ่นย่อย ดังนี้
Performance เป็นรุ่นท็อปสุด เร่งจาก 0-96 กม./ชม. ได้ภายใน 3.5 วินาที มาพร้อมมอเตอร์คู่ ขับเคลื่อนสี่ล้อ ความเร็วสูงสุด 240 กม./ชม. วิ่งได้ระยะทาง 450 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ราคาเริ่มต้น 60,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.9 ล้านบาท (ยังไม่รวมส่วนลดจากรัฐ
Tesla ประกาศแต่งตั้ง Zachary Kirkhorn ขึ้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินหรือซีเอฟโอคนใหม่ ต่อจาก Deepak Ahuja ซึ่งจะเกษียณและไปรับตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสแทน
Kirkhorn ร่วมงานกับ Tesla มาตั้งแต่ปี 2010 โดยมีตำแหน่งก่อนหน้านี้คือรองประธานฝ่ายการเงิน, ฝ่ายวางแผนการเงิน และการดำเนินงานธุรกิจ
ฝ่ายการเงินถือเป็นส่วนที่ท้าทายของ Tesla เนื่องจากบริษัทอยู่ในช่วงปรับแผนธุรกิจเพื่อควบคุมต้นทุน นอกจากนี้ Tesla ยังแต่งตั้ง Vaibhav Taneja เพื่อดูแลด้านบัญชีของทั้ง Tesla และบริษัท SolarCity อีกด้วย
ที่มา: TechCrunch
เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว Tesla ประกาศว่าจะปิดโชว์รูมเกือบทั้งหมด แล้วมาขายรถยนต์ผ่านช่องทางออนไลน์เพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม ประสาบริษัทคิดไวทำไว Tesla ก็ออกแถลงการณ์ใหม่ว่าได้ตัดสินใจใหม่ในเรื่องนี้แล้ว
โดย Tesla จะเปลี่ยนมาปิดสาขาโชว์รูมประมาณครึ่งหนึ่งของทั้งหมดจากเดิมที่บอกปิดเกือบทั้งหมด พิจารณาพบว่า 10% ของสาขามียอดขายที่ต่ำจึงต้องปิดเพื่อควบคุมต้นทุน แต่หากสาขานั้นอยู่ในพื้นที่โดดเด่นมีคนมองเห็นเยอะ แต่ก็จะลดขนาดสาขาลง ใช้พนักงานน้อยลง นอกจากนี้ยังมีสาขาอีกประมาณ 20% ที่กำลังประเมินยอดขายจากลูกค้าวอล์กอินว่าจะปิดหรือไม่ เท่ากับ Tesla จะยังเปิดโชว์รูมอยู่เป็นจำนวนที่มากกว่าที่เคยบอกก่อนหน้านี้
วันนี้ Tesla ได้จัดงานที่สำนักงานใหญ่ ณ เมือง Fremont รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเป็นการเปิดตัวสถานีชาร์จ Supercharger V3 หรือรุ่นที่ 3 ซึ่งมีกำลังไฟสูงสุดที่ 250 กิโลวัตต์ ใช้เวลาชาร์จเพียง 5 นาทีก็วิ่งต่อได้อีก 75 ไมล์ หรือราว 120 กิโลเมตร
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริการสาธารณะประจำรัฐนิวยอร์ก (New York Public Service Commission – NYPSC) ได้ออกคำสั่งว่าจะคิดค่าไฟในราคาต่ำกว่าปกติแก่สถานีชาร์จสาธารณะแบบชาร์จเร็วกระแสตรง (Direct Current Fast Charging – DCFC) ที่ติดตั้งหัวชาร์จมาตรฐาน Combined Charging System (CCS) และ CHAdeMo ซึ่งเป็นหัวชาร์จที่ใช้กันแพร่หลาย โดยหัวชาร์จ CCS นิยมใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าจากฝั่งสหรัฐอเมริกาและยุโรป และหัวชาร์จ CHAdeMo นิยมใช้ในรถยนต์จากญี่ปุ่น
สืบเนื่องจากโพสต์ทวิตเตอร์ของ Elon Musk ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดตัว Model Y ในวันที่ 14 มีนาคมนี้ มีคนเข้าไปถามต่อ (หรือหลอกถาม?) ว่า Model Y จะเป็นรถกระบะใช่ไม๊ หลังจากที่ Musk เคยออกมาบอกว่าบริษัทจะทำรถกระบะ ซึ่งเจ้าตัวก็ปฏิเสธ พร้อมบอกว่ารถกระบะจะถูกเปิดตัวภายในปีนี้ (later this year)
ก่อนหน้านี้ Musk ก็เคยบอกว่ารถกระบะของ Tesla จะเป็นรถกระบะแห่งอนาคต เหมือนหลุดมาจาก Blade Runner และใน thread ข้างต้น เจ้าตัวก็แย้มอีกเล็กน้อยด้วยว่า เขาตื่นเต้นกับรถกระบะมาก หลายคนอาจมองว่ามันดูล้ำเกิน (too futuristic) แต่เขารักมันเลยหละ