Movies Anywhere แพลตฟอร์มสตรีมหนังของ Disney เปิดตัวในสหรัฐฯอย่างเป็นทางการ พร้อมจับมือค่ายหนังใหญ่อีกสี่แห่งคือ Fox, Sony Pictures, Universal และ Warner Bros (ไม่รวม Paramount และ Lionsgate)ในการนำคอนเทนต์มาลงแพลตฟอร์ม
ผู้ใช้งานสามารถซื้อหนังจาก Movies Anywhere เก็บไว้ใน digital locker ที่สามารถเข้าถึงได้ผ่านอุปกรณ์ที่ซัพพอร์ต เช่น Apple TV/iOS, Android, Amazon Fire TV และ Roku เมื่อผู้ใช้สร้างบัญชีแล้วจะสามารถดูหนังได้ผ่านแอพและเว็บไซต์ หรือผ่านร้านค้าที่เข้าร่วม ได้แก่ iTunes, Amazon Video, Vudu และ Google Play
ปัจจุบันมีเฉพาะผู้ใช้ในสหรัฐฯ เท่านั้นที่ลงทะเบียนใช้งาน Movies Anywhere ได้ และจะขยายไปยังต่างประเทศในอนาคตรวมถึงฟีเจอร์ดาวน์โหลดไว้ดูแบบออฟไลน์ด้วย
Netflix ประกาศขึ้นราคาแพลนสตรีมมิ่งภาพยนตร์สำหรับผู้ใช้ในสหรัฐฯ โดยแพลนสำหรับผู้ใช้ในราคา 9.99 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแพลนสำหรับผู้ใช้ที่สามารถสตรีมมิ่งได้สองอุปกรณ์ จะถูกปรับราคาขึ้นเป็น 10.99 ดอลลาร์ ส่วนแพลนราคา 11.99 ดอลลาร์ ซึ่งสตรีมมิ่งได้ถึง 4 อุปกรณ์ จะถูกปรับราคาเป็น 13.99 ดอลลาร์ ในขณะที่ราคาของแพลนเริ่มต้น 7.99 ดอลลาร์ยังคงเท่าเดิม
สำหรับราคาใหม่ของ Netflix นี้จะเริ่มมีผลกับผู้ใช้ใหม่วันนี้ ส่วนผู้ใช้ที่เป็นสมาชิกอยู่แล้วจะได้รับอีเมลแจ้งว่าจะเริ่มหักในอัตราใหม่เดือนพฤศจิกายน
Netflix เตรียมลงทุนสร้างโปรดักชั่นถาวรที่แคนาดา เป็นเม็ดเงิน 400 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นโปรดักชั่นนอกประเทศครั้งแรกของ Netflix โดยเม็ดเงิน 400 ล้านดอลลาร์นี้เป็นรอบการลงทุนในระยะเวลา 5 ปี
Melanie Joly รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของแคนาดากล่าวว่า ข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาณดีในการสนับสนุนผู้ผลิตคอนเทนต์หนัง และซีรีส์ของแคนาดา และเป็นโอกาสดีที่จะนำผลงานของชาวแคนาดาออกสู่สายตาผู้ใช้ Netflix ทั่วโลก
Amazon เปิดตัว Fire TV รุ่นใหม่พร้อมรองรับ 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที และเทคโนโลยีภาพแบบ HDR โดยตัว Fire TV ใหม่นี้จะมาในรูปแบบกล่องเล็ก ๆ พร้อมพอร์ต HDMI ยื่นออกมาจากตัวกล่อง
สำหรับ Fire TV นี้ รองรับมาตรฐาน HDR ที่ HDR10 ไม่ใช่ Dolby Vision ส่วนฝั่งเสียงนั้นรองรับมาตรฐาน Dolby Atmos ภายในเครื่องใช้ชิพหน่วยประมวลผลแบบ quad-core 1.5GHz พร้อม Alexa ผู้ช่วยสั่งการด้วยเสียงที่มีสกิลให้เลือกเสริมความสามารถนับหมื่น และ Fire TV รุ่นนี้ก็สามารถจับคู่กับอุปกรณ์ Echo ภายในบ้านเพื่อให้สั่งด้วยเสียงควบคุมทีวีแทนรีโมทได้ด้วย
สำหรับ Fire TV รุ่นใหม่นี้ราคาขายอยู่ที่ 69.99 ดอลลาร์ แต่ถ้าซื้อแพ็คคู่พร้อมกับ Echo Dot จะอยู่ที่ 79.99 ดอลลาร์
หลังจาก Apple ได้เริ่มอัพเดตภาพยนตร์บน iTunes Store เป็นแบบ 4K ในราคาเดียวกับ HD 1080p แล้ว ทางฝั่ง Amazon ก็ได้เริ่มลดราคาสู้แล้วเช่นกัน
Pocket Lint รายงานว่า ตอนนี้ภาพยนตร์ 4K ของ Amazon นั้นราคาแพงมาก ระดับถึง 30 ดอลลาร์ต่อเรื่อง ซึ่งล่าสุดเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา วิดีโอ 4K ของ Amazon ลดลงเหลือระดับที่เริ่มต้น 5 ดอลลาร์ ส่วนภาพยนตร์ที่เพิ่งวางจำหน่ายก็จะอยู่ในระดับราคาตั้งแต่ 7-19 ดอลลาร์
ตอนนี้ Amazon ก็เตรียมเปิดตัวอุปกรณ์สตรีมมิ่ง Fire TV ใหม่ และเริ่มมีรายงานว่าของขาดบ้างแล้ว สำหรับสเปคของ Fire TV รุ่นใหม่คาดว่าน่าจะรองรับการสตรีมมิ่งแบบ 4K และ HDR
Netflix เตรียมขยายความร่วมมือกับสายการบินทั่วโลก เพื่อปรับปรุงระบบ Wi-Fi บนเครื่องบิน ที่ออกแบบมาไว้สำหรับอุปกรณ์มือถือโดยเฉพาะ โดยอาจอยู่ในรูปแบบ Wi-Fi คิดค่าบริการราคาถูก หรืออาจให้ใช้งานฟรีเลย
สาเหตุที่ Netflix ต้องลงมาทำเรื่องนี้เอง ก็เพื่อให้ลูกค้า Netflix สามารถสตรีมมิ่งวิดีโอได้แม้อยู่บนเครื่องบินนั่นเอง โดยเทคโนโลยีการบีบอัดข้อมูลที่ Netflix ใช้ จะทำให้คุณภาพวิดีโอยังคมชัดเมื่อชมบนมือถือ แต่ใช้แบนด์วิดท์น้อยลง ซึ่งลดต้นทุนให้การสายการบินได้อีกทาง
Netflix คาดว่าจะเริ่มให้บริการนี้ได้กับสายการบินที่เป็นพาร์ทเนอร์ในปี 2018
ที่มา: Variety
Netflix ได้อัพเดตแอพสำหรับ iOS โดยรองรับฟีเจอร์ HDR หลังจากที่รองรับฟีเจอร์นี้บนแอพฝั่ง Android สำหรับ Samsung Galaxy Note 8 และ LG G6 ไปแล้ว
สำหรับอุปกรณ์รุ่นใหม่ที่เปิดตัวในปี 2017 อย่าง iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X (ที่ยังไม่วางขาย) รวมทั้ง iPad Pro 12.9 และ 10.5 นิ้ว เมื่ออัพเดตแอพ Netflix แล้วสามารถดูวิดีโอ HDR ได้ทันที (ทั้งนี้ผู้ใช้ต้องสมัครแพคเกจ Netflix ที่รองรับการสตรีมคอนเทนต์แบบ HDR และ 4K ด้วย) โดยภาพยนตร์บน Netflix ที่รองรับฟีเจอร์นี้แล้ว เช่น DareDevil, House of Cards และ Marco Polo
Apple เคยแจ้งไว้ว่า ภาพยนตร์บน iTunes Store เมื่อรองรับ 4K แล้ว จะยังคงขายที่ราคาเท่ากับแบบ HD รวมถึงผู้ที่เคยซื้อภาพยนตร์ไปแล้วก็สามารถอัพเกรดภาพยนตร์ที่ซื้อเป็น 4K ได้ด้วย แต่ข้อมูลล่าสุดบนเว็บไซต์ Apple เผยว่า วิดีโอ 4K สามารถสตรีมมิ่งได้อย่างเดียวเท่านั้น
ในหน้าเว็บ Apple Support แจ้งไว้ว่า ภาพยนตร์บน iTunes Store สามารถดาวน์โหลดได้สูงสุดที่ HD 1080p ในขณะที่ภาพยนตร์ 4K ไม่สามารถดาวน์โหลดได้ หากจะดูต้องสตรีมมิ่งเท่านั้น โดยความเร็วอินเทอร์เน็ตสำหรับการสตรีมมิ่งวิดีโอที่ Apple แนะนำสำหรับการดูวิดีโอ 4K อยู่ที่ 25Mb/s ซึ่งตัวอุปกรณ์จะเลือกความละเอียดเองอัตโนมัติ ถ้าพบว่าอินเทอร์เน็ตแรงไม่พอจะปรับความละเอียดลงมา
Stranger Things ซีรีส์ที่เรียกเสียงฮือฮาและเป็นที่เชิดหน้าชูตาให้แก่ Netflix และซีซั่นสองที่คนทั่วโลกรอคอยกำลังจะมาถึงในเดือนตุลาคมนี้ แฟนๆ Stranger Things อาจสนใจเมื่อรู้ว่าคนเขียน และโปรดิวเซอร์คือ Justin Doble เตรียมทำผลงานใหม่แล้ว คราวนี้ไปเซ็นสัญญากับ Amazon แทน
ยังไม่มีรายละเอียดใดเกี่ยวโปรเจกต์เผยออกมา และ Justin Doble ก็เป็นเพียงหนึ่งในโปรดิวเซอร์มือดีที่เซ็นสัญญากับ Amazon ยังมี Shonda Lynn Rhimes โปรดิวเซอร์เรื่อง Off the Map, How to Get Away with Murder และมี Robert Kirkman หนึ่งในผู้สร้าง The Walking Dead
The Handmaid’s Tale ซีรี่ส์แนวดิสโทเปียจากช่องสตรีมมิ่ง Hulu กวาดรางวัลใหญ่จาก Emmy Awards ไปหลายรายการ คือ ซีรีส์ดราม่ายอดเยี่ยม, นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมประเภทซีรีส์ดราม่า ผู้กำกับการแสดงยอดเยี่ยม ส่งผลให้ Hulu เป็นสตรีมมิ่งรายแรกที่ทำคอนเทนต์ซิวรางวัลใหญ่จาก Emmy Awards แม้ตัวซีรีส์จะไม่ลงทุนสูงเท่า HBO และ Netflix
รางวัลครั้งนี้เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สำหรับ Hulu เพราะไม่เพียงเอาชนะเจ้าอื่นที่เป็นผู้ให้บริการสตรีมมิ่งด้วยกันอย่าง Amazon และ Netflix แต่ยังเอาชนะช่องใหญ่ด้วย เพราะแต่ไหนแต่ไรมา รางวัลเวที Emmy Awards ซีรีส์ที่ได้รางวัลใหญ่มักจะมาจาก Big Four คือ ABC, CBS, Fox และ NBC
HBO และ Netflix ต่างมีซีรีส์ของตัวเองที่ประสบความสำเร็จทั่วโลก (Game of Thrones ของ HBO และ Stranger's Things ของ Netflix)
Amazon เองก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ลงทุนผลิตคอนเทนต์มากที่สุดแห่งหนึ่ง และจากบทสัมภาษณ์ของ Roy Price ผู้จัดการของ Amazon Studios ผ่านเว็บไซต์ Variety เขาบอกว่า Amazon มีกลยุทธ์ใหม่คือ อยากมีซีรีส์ใหญ่เทียบเท่าได้กับ Game of Thrones เป็นของตัวเอง
งานวิจัยจาก CTA หรือ Consumer Technology Association สัมภาษณ์บุคคลผ่านออนไลน์ 2,500 คนระหว่าง 27 เมษายนถึง 10 พฤษภาคม 2017 เผย คนรุ่น Millennial ช่วงอายุ 18 - 34 ปี ดูคอนเทนต์ในขณะที่ออนแอร์อยู่น้อยลงทุกที โดยมี 55% ได้ดูคอนเทนต์นั้นๆ ย้อนหลัง และมี 45% ที่ดูขณะคอนเทนต์นั้นในช่วงเวลาออกอากาศ
ในบรรดาคอนเทนต์ที่ผู้ให้การสำรวจระบุ มี 35% เป็นคอนเทนต์จากบริการสตรีมมิ่งต่างๆ อย่าง Netflix, Pay TV และ 20% ดูผ่าน DVR หรือเครื่องบันทึกวิดีโอดิจิทัล
Disney ประกาศยกเลิกการเป็นพาร์ทเนอร์ Movie Anywhere กับบริษัท Microsoft อย่างเป็นทางการ
แอพ Movie Anywhere นี้เป็นแอพจาก Disney ที่ให้ผู้ซื้อภาพยนตร์ของ Disney (รวมถึงภาพยนตร์จาก Pixar และ Marvel ด้วย) สามารถสตรีมมิ่งภาพยนตร์ที่ซื้อมาไม่ว่าจะแพลตฟอร์มใดก็ตามได้ผ่านแอพนี้ (เช่น ซื้อจาก Amazon หรือ iTunes Store ก็เปิดแอพนี้บนแพลตฟอร์มใดก็ได้ก็สตรีมมิ่งภาพยนตร์ได้เหมือนกัน)
ดังนั้น การยกเลิกเป็นพาร์ทเนอร์กับ Microsoft นั้น แปลว่าภาพยนตร์ Disney ที่ซื้อจากร้านค้าภาพยนตร์และรายการทีวีของ Microsoft จะไม่สามารถใช้งานกับ Movie Anywhere ได้แล้ว (แต่ภาพยนตร์ที่เคยซื้อไปก่อนหน้านี้ยังคงสตรีมมิ่งได้)
เดือนที่แล้ว หนึ่งในค่ายหนังที่ใหญ่ที่สุดในโลก Disney ประกาศหยุดเผยแพร่เนื้อหาบน Netflix ตั้งแต่ปี 2019 เพื่อทำบริการสตรีมมิ่งของตนเอง ตอนนั้น Disney ระบุว่ามีผลเฉพาะเนื้อหาฝั่ง Disney/Pixar เท่านั้น ส่วนฝั่ง Marvel/Star Wars จะยังฉายบน Netflix ต่อไป
ล่าสุด Bob Iger ซีอีโอของ Disney ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า Marvel และ Star Wars ก็จะมีฉายเฉพาะช่องทางสตรีมมิ่งของ Disney เพียงอย่างเดียวเช่นกัน โดยบริการตัวนี้จะเริ่มในช่วงปลายปี 2019
Iger บอกว่าบริการตัวนี้จะมีภาพยนตร์และซีรีส์เฉพาะ (exclusive) ของตัวเอง นอกเหนือไปจากภาพยนตร์และซีรีส์ที่ฉายทางช่องทางอื่นอยู่แล้ว เขาบอกว่าจะเปิดตัวมันอย่างยิ่งใหญ่ด้วย
ตลาดบริการสตรีมมิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย การแข่งขันที่สำคัญที่สุดคือการหารายการยอดนิยมมาลงแพลตฟอร์มตัวเองให้ได้มากที่สุด Patrick Grove ผู้บริหาร iflix ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ระบุว่าวิธีการหารายการที่ควรซื้อมาลงแพลตฟอร์มคือปริมาณการดูเถื่อนนั่นเอง
ตามปกติแล้วช่องทีวีมักอาศัยข้อมูลจากรายงานราคาแพงที่ออกโดยบริษัทวิจัย
เช่น Nielsen แต่ทีมของ Grove ที่เน้นตลาดเกิดใหม่อย่างในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะอาศัยทีมงานไปเดินกวาดซื้อแผ่นดีวิดียอดนิยม หรือไปหาผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเพื่อขอข้อมูลการดาวน์โหลดเถื่อน
วิธีการเช่นนี้ทำให้ทาง iflix ได้ข้อมูลที่หาได้ยาก เช่น รายการยอดนิยม 1,000 รายการแรกในซาอุดิ อารเบีย
PCCW Media เจ้าของแอพให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่ง Viu ซึ่งคอซีรี่ส์เกาหลีน่าจะคุ้นเคยดี ได้รับเงินทุนจากนักลงทุน 3 รายคือ Hony Capital, Foxconn Ventures และกองทุน Temasek รวม 110 ล้านดอลลาร์ โดยจะเข้ามาถือหุ้นรวม 18%
บริษัท PCCW Media จดทะเบียนอยู่ในฮ่องกง นอกจากบริการ Viu แล้ว ยังมีบริการวิดีโอบนมือถือ Vuclip และบริการเพลงสตรีมมิ่ง MOOV ดำเนินงานอยู่ใน 15 ประเทศในทวีปเอเชีย บริษัทระบุว่าจะนำเงินดังกล่าวว่าพัฒนาเทคโนโลยี และลงทุนในการผลิตคอนเทนต์ของตนเอง
เมื่อต้นสัปดาห์อีกบริการวิดีโอสตรีมมิ่งในเอเชียอย่าง iflix ก็ได้รับเงินเพิ่มทุน 133 ล้านดอลลาร์
Disney ประกาศยุติข้อตกลงที่จะนำเนื้อหาเผยแพร่ผ่าน Netflix มีผลตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นไป โดยทาง Disney จะเปิดให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งเอง
ในประกาศดังกล่าว Disney บอกว่าได้ซื้อหุ้นของ BAMTech เพิ่มอีก 42% ที่มูลค่า 1.58 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ Disney เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 75% โดย BAMTech เป็นผู้ให้บริการสตรีมมิ่งของ MLB (Major League Baseball) และ Disney จะนำเทคโนโลยีนี้มาต่อยอดเพื่อพัฒนาเป็นบริการสตรีมมิ่งของตนเอง
นอกจากบริการสตรีมมิ่งเนื้อหาของ Disney เองที่จะเปิดตัวในปี 2019 หลังหมดสัญญากับ Netflix แล้ว Disney ยังจะเปิดตัวบริการสตรีมมิ่งสำหรับ ESPN ช่องกีฬาในเครือโดยเฉพาะ เพื่อเผยแพร่การแข่งขันกีฬาทั้ง MLB, NHL และ MLS ในต้นปีหน้าด้วย
ไม่เพียงแต่รายได้ในอุตสาหกรรมเกมบนมือถือเท่านั้นที่แซงหน้าพีซีและคอนโซล จำนวนเงินที่ถูกอัดฉีดให้กับโฆษณาสำหรับวิดีโอบนมือถือก็ถูกคาดว่าจะแซงหน้าโฆษณาบนวิดีโอที่ถูกเล่นผ่านพีซีและทีวีในปีหน้านี้แล้ว
Zenith บริษัทวิจัยตลาดได้เผยการคาดการณ์ว่าปีหน้า เม็ดเงินที่ถูกใช้จ่ายสำหรับโฆษณาบนวิดีโอสำหรับมือถือจะเพิ่มขึ้นถึง 49% อยู่ที่ราว 1.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ สวนทางกับจำนวนเงินสำหรับโฆษณาสำหรับวิดีโอบนอุปกรณ์ non-mobile (พีซี, แล็บท็อปและทีวี) ที่จะลดลงเป็นครั้งแรกที่ 1.5% อยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
รางวัลด้านรายการโทรทัศน์ของอเมริกา หรือ Emmy Awards ประจำปี 2017 ได้ประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลสาขาต่างๆ และบริการสตรีมมิ่ง Netflix ก็ได้เข้าชิงมากเป็นอันดับที่ 2 ของเครือข่ายทั้งหมด รวม 93 รางวัล เป็นรองเพียงช่องเคเบิล HBO ที่ได้เข้าชิง 110 รางวัล
ตัวเลขนี้ถือว่าก้าวกระโดดมาก เพราะในปีที่แล้ว Netflix ได้เข้าชิง 54 รางวัล จึงเพิ่มขึ้นมาเกือบเท่าตัว โดยซีรี่ส์ของ Netflix ที่รับการเสนอชื่อเข้าชิง อาทิ Master of None, Unbreakable Kimmy Schmidt, The Crown, Stranger Things และ House of Cards
Google Play Movies & TV ได้เริ่มเปิดใช้งานวิดีโอแบบ HDR ให้กับผู้ใช้ทั่วไปแล้ว โดยเทคโนโลยี HDR นี้จะปรับปรุงภาพเคลื่อนไหวของวิดีโอ ทำให้ภาพสีสดขึ้น มิติสีกว้างขึ้น และดูสมจริงมากขึ้น แต่ฮาร์ดแวร์จะต้องรองรับด้วย
สำหรับ Google Play Movies & TV นี้ จะเริ่มเปิดให้ใช้วิดีโอแบบ HDR เฉพาะในสหรัฐฯ และแคนาดาก่อนเท่านั้น โดยจะต้องใช้ Chromecast Ultra เพื่อการดูวิดีโอแบบ HDR โดยตอนนี้วิดีโอที่รองรับมาจากสองสตูดิโอใหญ่คือ Sony และ Warner Bros. โดยตอนนี้ Google ยังไม่ได้ให้รายละเอียดการเปิดตัววิดีโอแบบ HDR ในประเทศอื่นทั่วโลก บอกเพียงว่าจะมาในเดือนหน้าเท่านั้น
เฟซบุ๊กประกาศรองรับการแสดงคำบรรยาย (Closed Captions) บนเฟซบุ๊กไลฟ์แล้ว สำหรับผู้ชมที่มีหูหนวกและมีปัญหาด้านการได้ยินโดยเฉพาะ
ระบบคำบรรยายผ่านการถ่ายทอดสดของเฟซบุ๊กตอนนี้รองรับเฉพาะมาตรฐาน CEA-608 ขณะที่ผู้ที่ถ่ายทอดสดสามารถใช้บริการบริษัท Captioning Services Provider ที่เฟซบุ๊กเป็นพาร์ทเนอร์เพื่อใส่คำบรรยายแบบเรียลไทม์ได้ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ฟีเจอร์นี้ตอนนี้รองรับเฉพาะบนพีซีและ iOS เท่านั้น
Netflix ได้ออกอัพเดตแอพเวอร์ชัน 5.0 บน Android โดยสิ่งสำคัญในอัพเดตนี้คือการปิดกั้นการทำงานของแอพบนเครื่อง Android ที่ถูก root, ถูกปรับเปลี่ยนซอฟต์แวร์ระบบไปมาก และอุปกรณ์ที่ไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจาก Google (รวมไปถึง custom ROM ที่ลงจากผู้ผลิตจากมือถือนำเข้า) ก็จะพบการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
ในการอัพเดตครั้งนี้ Netflix ได้นำระบบ DRM ของ Google คือ Widevine มาใช้กับแอพ ซึ่งถ้าพบกับอุปกรณ์ที่ถูกดัดแปลงซอฟต์แวร์ ระบบจะหยุดการทำงานแบบปกติทันที รวมถึงบางครั้งการค้นหาบน Play Store ก็อาจไม่พบแอพด้วย (ทดสอบกับ Xiaomi Redmi Note 4X ที่ไม่ได้รับรองจาก Google ค้น Play Store ไม่เจอแอพ Netflix แล้ว)
หลังจากที่ Netflix ประกาศเริ่มรองรับ HDR ไปตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ปีนี้บริการสตรีมแบบ HDR เตรียมจะขยายไปบนสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตแล้ว โดยจะเริ่มจากทวีปเอเชียเป็นที่แรก
สาเหตุที่เลือกเอเชียก่อนก็เพราะว่าทราฟฟิคบน Netflix ผ่านโมบายล์ในเอเชียนั้นสูงที่สุดในโลก นำมาโดยอินเดีย เกาหลีใต้และญี่ปุ่น ตามมาด้วยมาเลเซียและฮ่องกง ขณะที่ทราฟฟิคจากทวีปอื่นส่วนใหญ่นั้นดูผ่านไม่ทีวี ก็คอนโซลหรือ set-top-box
Manchester by the Sea หนังของ Amazon Studios ได้เข้าชิงออสการ์ 6 รางวัล คือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม กำกับยอดเยี่ยม บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักแสดงนำยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบชายและหญิงยอดเยี่ยม เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกของ Amazon ที่คอนเทนต์หนังในครอบครองได้เข้าชิงออสการ์ และเป็นครั้งแรกที่บริษัทให้บริการสตรีมมิ่งเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์
ปี 2016 Amazon ลงมาเป็นผู้เล่นในตลาดภาพยนตร์เต็มตัวด้วยการซื้อลิขสิทธิ์หนังมากมาย เช่น Manchester, Wiener-Dog และ Love & Friendship ล้วนแล้วแต่เป็นหนังเข้าฉายในงานซันแดนซ์ และในปีนี้กำลังจะซื้อเพิ่มคือ The Big Sick
Amazon เปิดตัวสตรีมมิ่งแพลตฟอร์มสำหรับอนิเมะญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ใช้ชื่อว่า Anime Strike ให้สมาชิก Prime เริ่มต้นเปิดตัวในสหรัฐฯ แล้วในราคา 5 ดอลลาร์/เดือน เบื้องต้นตอนนี้มีอนิเมะชื่อดังมากมาย จะมีหลายเรื่องเข้ามาในอนาคต และบางเรื่องฉายพร้อมกับที่ฉายที่ญี่ปุ่นด้วย (กรี๊ด)
สมาชิก Amazon Prime ตอนนี้น่าจะชอบอกชอบใจเพราะก่อนหน้านี้ Amazon มีแผนจะเพิ่มช่อง HBO และ Cinemax เข้ามาในสตรีมมิ่ง (15 ดอลลาร์/เดือนสำหรับ HBO และ 10 ดอลลาร์/เดือน สำหรับ Cinemax) สำหรับ Anime Strike ที่เปิดตัวมาแล้วผู้ใช้สามารถทดลองใช้ฟรี 1 อาทิตย์