แอปเปิลประกาศมาตรการเข้มงวดในการคัดกรองแอพที่เกี่ยวกับ COVID-19 ก่อนขึ้น App Store เพื่อป้องกันปัญหาความน่าเชื่อถือของข้อมูล
แอพที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 จะต้องมาจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เช่น หน่วยงานภาครัฐ, NGO ด้านสุขภาพ, บริษัทที่มีชื่อเสียงด้านสุขภาพ, สถาบันการแพทย์ หรือสถาบันการศึกษาเท่านั้น โดยแอปเปิลแนะนำว่าหากจ้างบริษัทซอฟต์แวร์พัฒนาแอพ ก็ควรส่งแอพเข้ามาในชื่อของหน่วยงานนั้นๆ แทน ซึ่งแอปเปิลจะยกเว้นค่าธรรมเนียม Apple Developer Program ให้สำหรับหน่วยงานเหล่านี้
เกมและแอพหมวดบันเทิงที่เกี่ยวกับ COVID-19 จะไม่อนุญาตให้ขึ้น App Store ทุกกรณี
แอปเปิลปรับแนวทางการตรวจสอบแอปที่ส่งเข้ามายัง App Store ในหลายประเด็น ซึ่งบางหัวข้อได้ประกาศไปก่อนหน้านี้แล้วว่าจะมีผลสำหรับ iOS 13
โดยหัวข้อที่น่าสนใจมีหลายประเด็น อาทิ การแจ้งเตือนแบบพุช (Push notification) จากเดิมห้ามใช้ทำการตลาดหรือโฆษณา เปลี่ยนเป็นทำได้ แต่ผู้ใช้งานต้องยินยอมก่อน และตัวแอปต้องอธิบายการปิดส่วนนี้ (opt-out) ให้ชัดเจนในแอป
นอกจากนี้แอปเปิลยังระบุว่าแอปประเภทดูดวงและแอปหาคู่ จะถูกมองว่าเป็นแอปสแปมทันที เว้นแต่ผู้พัฒนาอธิบายรายละเอียด คุณภาพ และประสบการณ์ใช้งานของแอปให้ชัดเจน
หลังโลกเผชิญเหตุโรค COVID-19 ระบาด เกม Plague Inc. เกมแนววางแผนกลยุทธ์ที่ให้เรารับบทเป็นเชื้อโรคที่ทำลายล้างมนุษยชาติก็ได้รับความนิยมในจีน ถึงขนาดตัวเกมขึ้นมาเป็นแอปยอดนิยมอันดับหนึ่งในหมวดแอปประเภทเสียเงินบน App Store ของประเทศจีน
แต่ล่าสุด Ndemic Creations ผู้พัฒนาเกมออกมาประกาศว่า จีนได้ลบเกม Plague Inc. ออกจาก App Store จีนแล้ว ด้วยเหตุผลว่าเป็นคอนเทนต์ผิดกฎหมายตามมุมมองของหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ของจีนหรือ The Cyberspace Administration of China
Mark Gurman จากสำนักข่าว Bloomberg อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง เผยว่าแอปเปิลกำลังพิจารณาเพิ่มทางเลือกสำหรับผู้ใช้ iOS บน iPhone และ iPadOS บน iPad ให้สามารถเลือกแอปตั้งต้นในการใช้งาน เป็นแอปจากนักพัฒนาภายนอก (3rd Party) แทนที่ Safari สำหรับเบราว์เซอร์ หรือ Mail สำหรับอีเมลได้
ที่ผ่านมา แม้ผู้ใช้งานอุปกรณ์แอปเปิลจะสามารถเลือกลงแอปอื่นแทนได้ แต่แอปเปิลก็กำหนดให้ค่าเริ่มต้นอยู่ที่แอปพื้นฐานของแอปเปิลเท่านั้น เช่นเมื่อคลิกลิงก์ก็จะถูกเปิดด้วย Safari เสมอ ประเด็นนี้ทำให้นักพัฒนาหลายรายร้องเรียนว่าอาจเป็นการผูกขาด (ตัวอย่างกรณี Spotify)
แอปเปิลเปิดให้นักพัฒนาพอร์ตแอปบน iOS มาเป็นเวอร์ชัน macOS ผ่านโครงการ Catalyst มาระยะหนึ่ง ล่าสุดแอปเปิลได้เพิ่มตัวเลือกให้นักพัฒนาสามารถขายแอปแบบ unified กล่าวคือใช้งานได้ทั้งบน macOS และ iOS แล้ว จากเดิมที่ต้องขายแยกกัน
ทั้งนี้นักพัฒนาสามารถกำหนดค่าดังกล่าวได้ใน Xcode 11.4 beta สำหรับแอปที่พอร์ตผ่าน Catalyst อย่างไรก็ตามหากนักพัฒนาทำแอป macOS แยกออกมาตั้งแต่ต้น ก็อาจลำบากสักหน่อย
เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้ App Store ของบน iOS และ macOS จึงได้ปรับเพิ่มชื่อหมวดของแอปให้สอดคล้องกันทั้งสองระบบด้วย
ที่มา: 9to5Mac
จากวิกฤตไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เริ่มต้นระบาดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีนได้ส่งผลให้ Plague Inc. เกมแนววางแผนกลยุทธ์ที่ให้เรารับบทเป็นเชื้อโรคที่ทำลายล้างมนุษยชาติก้าวขึ้นมาเป็นแอปยอดนิยมอันดับหนึ่งในหมวดแอปประเภทเสียเงินบน App Store ของประเทศจีน
แอปเปิลแจ้งนักพัฒนาแอป เรื่องประกาศเปลี่ยนแปลงการตั้งราคาของแอปแบบเสียเงิน และราคา In-App ใน App Store ของประเทศไทย เนื่องจากปัจจัยอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน โดยราคาของแอปจะถูกลงเล็กน้อย
ตัวอย่างเช่นแอปราคา 0.99 ดอลลาร์ เดิมกำหนดราคาที่ 35 บาท จะเปลี่ยนเป็น 29 บาท, แอปราคา 1.99 ดอลลาร์ ราคาเดิม 69 บาท เปลี่ยนเป็น 59 บาท ราคาใหม่ดังกล่าวจะมีผลในไม่กี่วันข้างหน้า โดยสามารถดูช่วงราคาใหม่ทั้งหมดได้ที่นี่ ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่รวม Subscription ที่ต่ออายุแบบอัตโนมัติ ซึ่งนักพัฒนาสามารถเลือกคงราคาเดิมต่อไปได้ผ่าน App Store Connect
Sensor Tower เผยข้อมูล คนอเมริกันดาวน์โหลดแอปสตรีมมิ่ง Disney+ กันมากที่สุดในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2019 คือมีการดาวน์โหลดไป 30 ล้านครั้ง โดยเป็นการดาวน์โหลดผ่าน App Store 18 ล้านครั้ง และผ่าน Google Play 12 ล้านครั้ง
ในแง่รายได้ Disney+ ทำรายได้มากกว่า 50 ล้านดอลลาร์ใน 30 วันแรก เอาชนะคู่แข่งอื่นๆ เช่น HBO NOW และ Showtime และเมื่อรวมทั้งไตรมาส พบว่ารายได้ Disney+ มีส่วนแบ่งรายได้ 16% ของตลาด SVOD ทั้งหมดในสหรัฐฯ ทั้งๆ ที่ Disney+ เพิ่งจะเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 2019 โดยมีรายได้มากกว่า Netflix ในช่วงเวลาเดียวกัน (Netflix มีส่วนแบ่งรายได้ 15%)
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นรายได้ที่นับเฉพาะผ่านช่องทางดาวน์โหลดแอปผ่าน App Store และ Google Play เท่านั้น ไม่รวมรายได้จากการชำระเงินช่องทางอื่น
Apple ออกมาเผยสถิติการใช้จ่ายบน App Store ช่วงสัปดาห์คริสต์มาสอีฟมาจนถึงวันปีใหม่ ผู้ใช้งานใช้จ่ายบนร้านค้าแอปทั้งสัปดาห์ 1.42 พันล้านดอลลาร์ หรือราวกว่า 43,128 ล้านบาท มากกว่าปีที่ผ่านมา 16% และมีการใช้จ่ายเฉพาะวันขึ้นปีใหม่วันเดียว 386 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 10,000 ล้านบาท มากกว่าปีที่ผ่านมา 20%
Apple ยังบอกด้วยว่า ตั้งแต่มี App Store ขึ้นมาในปี 2008 นักพัฒนาสามารถทำเงินจากร้านค้าแอปไปได้ 155 พันล้านดอลลาร์ หรือ 4.7 ล้านล้านบาท และยังบอกด้วยว่า 1 ใน 4 ของรายได้ก้อนนี้มาจากปีที่ผ่านมาภายในปีเดียวเลย
แอปเปิลประกาศสุดยอดแอปและเกมบน App Store แห่งปี 2019 ตามที่ได้เชิญสื่อมวลชนร่วมงานก่อนหน้านี้ ซึ่งทั้งรางวัลสำหรับแอปและเกมในทุกแพลตฟอร์มของแอปเปิล มีรายละเอียดดังนี้
แอปเปิลเปิดตัวแอปใหม่ Apple Developer ซึ่งเป็นการเปลี่ยนชื่อจากแอปเดิม WWDC ที่มีเนื้อหาสำหรับช่วงการจัดงานประชุมนักพัฒนาประจำปี และอัพเดตเนื้อหาปีละครั้ง โดยในแอปใหม่นี้ แอปเปิลระบุว่าจะมีการให้ข้อมูลข่าวสารที่สำคัญสำหรับนักพัฒนาตลอดทั้งปี รวมทั้งเปิดระบบสมัครสมาชิกนักพัฒนาแบบตัดเงินผ่านแอปได้เลย (เริ่มต้นเฉพาะอเมริกาก่อน)
ในแอปจะมีทั้งข่าวสาร เทคโนโลยีใหม่ และวิดีโอเนื้อหาต่าง ๆ สำหรับนักพัฒนา เท่ากับเป็นการขยายพื้นที่ชุมชนนักพัฒนาจากเดิมที่มีเฉพาะในเว็บไซต์ มาเพิ่มเติมในรูปแบบแอปด้วย และมีถึงช่วงกลางปีที่มีงาน WWDC แอปจะมีข้อมูลสำหรับงานปีนั้น ๆ เพิ่มเติม
แอปเปิล ถอนแอพพลิเคชั่น HKmap.live ออกจาก App Store ซึ่งเป็นแอพที่ผู้ประท้วงฮ่องกงใช้ในการติดตามความเคลื่อนไหวของตำรวจ
แอปเปิลระบุว่า แอพดังกล่าวอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน เนื่องจากแอพแสดงที่ตั้งของตำรวจ และทางแอปเปิลก็ได้ตรวจสอบแอพนี้กับ Hong Kong Cybersecurity and Technology Crime Bureau แล้วว่าตัวแอพถูกใช้ในการซุมโจมตีตำรวจ อาจก่อให้เกิดภัยคุกคามสาธารณะ
FiLMiC Pro ผู้พัฒนาแอปถ่ายวิดีโอ ซึ่งได้เปิดตัวฟีเจอร์ถ่ายวิดีโอหน้า-หลังพร้อมกันในแอป iOS เวอร์ชันใหม่ ในงานอีเวนต์เปิดตัว iPhone 11 Pro เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เปิดเผยว่าฟีเจอร์การถ่ายภาพหน้า-หลังนี้ จะไม่จำกัดแค่บน iPhone 11, 11 Pro และ 11 Pro Max แต่จะรองรับไปถึง iPhone XS, iPhone XR และ iPad Pro รุ่นใหม่ล่าสุดด้วย
การทำงานของกล้องหน้า-หลัง ให้บันทึกภาพพร้อมกันนั้นเป็นคุณสมบัติใหม่ที่แอปเปิลประกาศ API เพิ่มเติมสำหรับ iOS 13 ทำให้แอป FiLMiC Pro สามารถเปิดฟีเจอร์นี้ได้ในอุปกรณ์รุ่นปีก่อนด้วย โดยต้องอัพเดตเป็น iOS 13 หรือ iPadOS ก่อน
จากเงื่อนไขเพิ่มเติมสำหรับนักพัฒนาแอป ที่แอปเปิลประกาศไว้ในงาน WWDC ที่ผ่านมา ว่าจะต้องรองรับการล็อกอินด้วย Sign In with Apple ส่วนแอปหมวดเด็กห้ามส่งต่อข้อมูลไปหน่วยงานอื่น เช่น Analytics หรือแพลตฟอร์มโฆษณา ล่าสุดแอปเปิลได้อัพเดตข้อมูลเงื่อนไขเหล่านี้ โดยขยายเวลาและอธิบายรายละเอียดให้ชัดเจนขึ้น
แอปเปิลได้แจ้งนักพัฒนาว่าระบบ App Store สำหรับ subscription ได้เพิ่มตัวเลือก เพื่อแก้ปัญหากรณีลูกค้าที่เลือกต่ออายุค่าบริการอัตโนมัติ ไม่สามารถทำรายการจ่ายเงินได้สำเร็จ จากเดิมที่อายุสมาชิกจะสิ้นสุดทันที เป็นแอปสามารถเพิ่มระยะเวลาผ่อนผัน (Billing Grace Period) จนกว่าลูกค้าจะแก้ไขการจ่ายเงินให้สำเร็จได้ในเวลาที่กำหนด
นักพัฒนาแอปสามารถกำหนดระยะเวลาช่วงสั้น ที่อนุญาตให้ลูกค้ายังใช้งาน subscription ต่อไปได้ระยะหนึ่งจนกว่าจะชำระเงิน โดย subscription ที่มีอายุ 7 วัน จะมีระยะผ่อนผันกำหนดได้สูงสุด 6 วัน ส่วนที่นานกว่านั้น ระยะผ่อนผันอยู่ที่ 16 วัน โดยเมื่อการชำระเงินสมบูรณ์ การต่ออายุก็จะคิดย้อนไปตั้งแต่วันที่หมดอายุซึ่งเป็นไปตามปกติ
การหักค่าธรรมเนียม 30% จากการซื้อสินค้าใน App Store กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง เมื่อนักพัฒนาจีน ร้องเรียนว่าแอปขอคำปรึกษากับแพทย์ผ่านสมาร์ทโฟน DingXiang Doctor ถูกแอปเปิลบังคับให้ต้องมีระบบสั่งซื้อ ผ่าน In-App Purchase ซึ่งจะต้องถูกหักค่าธรรมเนียม 30% แต่นักพัฒนามองว่าไม่ควรถูกหักค่าธรรมเนียมนี้
ทั้งนี้แอปเปิลมีข้อกำหนดว่าการซื้อสินค้าเสมือน (Virtual Goods) ผ่านแอปนั้น จะต้องทำผ่าน In-App Purchase ซึ่งแอปเปิลจะหักค่าธรรมเนียม 30% แต่ถ้าเป็นการซื้อสินค้าหรือบริการจริง ก็ไม่ต้องทำผ่าน In-App และไม่ถูกหักค่าธรรมเนียม
แอปเปิลนำเกมไพ่โป๊กเกอร์ Texas Hold’em กลับมาให้ดาวน์โหลดบน iOS โดยบอกว่าเกมเวอร์ชัน 2.0 นี้ เป็นการกลับมาเพื่อฉลองครบรอบ 10 ปี App Store มาพร้อมหน้าตาและการออกแบบใหม่ รวมทั้งปรับปรุงกราฟิกกับรูปแบบการเล่นเกมใหม่เช่นกัน
Texas Hold'em เป็นเกมเพียงเกมเดียวที่แอปเปิลพัฒนาขึ้นมาเอง แรกเริ่มเกมอยู่บน iPod ในปี 2006 จนเมื่อมีการเปิด App Store แอปเปิลก็นำเกมนี้มาให้ดาวน์โหลดในราคา 4.99 ดอลลาร์ แต่ก็ถอดเกมนี้ออกไปเมื่อปี 2011
ประเด็นระหว่างแอปเปิลกับ Spotify ที่ร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการยุโรปว่า App Store มีลักษณะผูกขาดทางการค้า ซึ่งทั้งแอปเปิลและ Spotify ก็มีการตอบโต้ไปมา ล่าสุดหนังสือพิมพ์ของเยอรมนีได้อ้างเอกสารข้อโต้แย้งจากแอปเปิล มีข้อมูลน่าสนใจดังนี้
แอปเปิลระบุว่า Spotify นั้นจ่ายค่าธรรมเนียมให้แอปเปิลที่ระดับ 15% ไม่ใช่ 30% อย่างที่กล่าวอ้าง ซึ่งเป็นอัตราค่าธรรมเนียมต่ำสุดที่แอปเปิลให้กับนักพัฒนา นอกจากนี้ยังบอกว่ามีสมาชิก Spotify ที่จ่ายค่าสมาชิกผ่าน App Store ราว 680,000 รายเท่านั้น คิดเป็น 0.5% ของสมาชิกแบบเสียเงินของ Spotify ทั้งหมด
สำนักข่าว CNBC ออกรายงานเกี่ยวกับกระบวนการขั้นตอนในการตรวจสอบแอป ของบริการ App Store ของแอปเปิล ซึ่งมีความท้าทาย ทั้งจากจำนวนแอปที่เพิ่มขึ้น ประเด็นความปลอดภัย ตลอดจนแอปที่อาจสร้างความขัดแย้ง
แอปเปิลได้ตั้งทีมเรียกว่า executive review board หรือ ERB เพื่อหารือกรณีมีแอปที่สรุปไม่ได้ว่าควรให้ขึ้น App Store หรือไม่ โดยมีการประชุมสัปดาห์ละครั้ง และมี Phil Schiller หัวหน้าฝ่ายการตลาดแอปเปิลเป็นผู้นำการประชุม ตัวอย่างเนื้อหาที่มีปัญหาจนต้องถึง ERB เช่น รายการ InfoWars
คุณสมบัติหนึ่งของ iOS 13 ที่แอปเปิลระบุไว้ แต่ไม่ได้มีการประกาศบนคีย์โน้ตงาน WWDC นั่นคือการอนุญาตให้ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดแอปที่มีขนาดใหญ่จาก App Store ผ่านการเชื่อมต่อมือถือได้แล้ว
เดิมนั้นผู้ใช้งานจะไม่สามารถดาวน์โหลดแอปจาก App Store เวลาเชื่อมต่อผ่านมือถือได้หากแอปมีขนาดใหญ่กว่า 150MB (เพิ่งเพิ่มเป็น 200MB ใน iOS 12.3.1) โดยต้องไปเชื่อมต่อแบบ Wi-Fi จึงจะดาวน์โหลดได้
แอปเปิลเปิดหน้าเว็บไซต์ใหม่ อธิบายหลักการและแนวทางปฏิบัติของ App Store (Principles and Practices) ซึ่งคาดว่าเป็นการชี้แจงหลังจาก Spotify ได้ร้องเรียนคณะกรรมาธิการยุโรป ประเด็นการผูกขาดทางการค้าของ App Store ซึ่งแอปเปิลได้แถลงตอบโต้ในเบื้องต้นไปแล้ว ซึ่งต่อมาคณะกรรมาธิการยุโรปก็ได้เริ่มสอบสวนข้อกล่าวหาดังกล่าว
ผู้ใช้งาน iOS และ macOS ไม่สามารถโหลดแอพ จาก App Store ได้ รวมทั้งไม่สามารถใช้ Facetime และ iMessage ได้ในบางประเทศ โดยทีม Apple พบปัญหาดังกล่าว ตั้งแต่เวลาประมาณ 7.06 AM รับทราบและกำลังแก้ไข Update: ขณะนี้สามารถใช้งานได้ปกติแล้ว เมื่อเวลา 10.44 นาที
ที่มา - Apple Status
หลังจากรอมายาวนานจนอาจลืมไปแล้ว แต่ในที่สุดแอปแคสต์เกม Steam Link ก็เปิดให้ดาวน์โหลดแล้วบน iOS และ Apple TV ซึ่งก็นานถึงหนึ่งปี นับจากที่แอปเปิลปฏิเสธแอปนี้ ด้วยเหตุผลว่ามีข้อขัดแย้งทางธุรกิจ ซึ่งเวลาต่อมา Phil Schiller หัวหน้าฝ่ายการตลาดแอปเปิลก็บอกว่ากำลังเจรจาหาทางออกเรื่องนี้
ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่าแอป Steam Link บน iOS นั้น ผู้ใช้งานไม่สามารถซื้อเกมโดยตรงผ่าน Steam store ได้ เกมที่เล่นต้องมีใน library อยู่ก่อนแล้วจากการซื้อผ่านช่องทางอื่น ซึ่งก็น่าจะเป็นหนึ่งในข้อขัดแย้งทางธุรกิจ
ศาลสูงสุดของสหรัฐตัดสินให้แอปเปิลแพ้คดีผูกขาด App Store จนส่งผลกระทบต่อราคาแอพที่ผู้ใช้ต้องจ่ายออกไป
คดีนี้มีชื่อเรียกว่า Apple Inc. v. Pepper เป็นคดีที่ลากยาวมาตั้งแต่ปี 2011 โดยผู้ใช้ iPhone รายย่อย 4 รายรวมกันฟ้องแบบกลุ่มต่อแอปเปิลว่าผูกขาด App Store และทำให้ราคาแอพแพงขึ้น เพราะนักพัฒนาส่งต่อต้นทุนที่แอปเปิลเก็บส่วนแบ่ง 30% ด้วยการขึ้นราคากับผู้ใช้อีกต่อหนึ่ง
แอปเปิลต่อสู้คดีนี้ด้วยหลักการว่า ผู้ใช้ไม่มีสิทธิฟ้องแอปเปิลในประเด็นนี้ เพราะนักพัฒนาคือลูกค้าโดยตรงของแอปเปิลที่ต้องจ่ายส่วนแบ่งให้ App Store
ศาลชั้นต้นตัดสินให้แอปเปิลชนะ แต่ศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสินให้แอปเปิลแพ้ ทำให้แอปเปิลยื่นฎีกาต่อศาลสูงสุดในปี 2017 และศาลตัดสินด้วยคะแนน 5:4 ยืนตามศาลอุทธรณ์
FTC คณะกรรมการค้าแห่งสหรัฐฯ เผยว่ามีแอพหาคู่ Meet24, FastMeet และ Meet4U ละเมิดกฎคุ้มครองข้อมูลเย่วชนหรือ COPPA เพราะเด็กอายุ 13 ปีลงไปสามารถมาลงทะเบียนใช้งานได้ ซึ่งเสี่ยงที่ผู้ไม่หวังดีจะมาเอาข้อมูลเด็กไปใช้ หรือมาติดต่อเด็กไปทำอะไรที่จะเกิดอันตรายต่อตัวเด็กเอง ล่าสุด FTC ออกมาบอกว่า Google, Apple ได้ลบแอพทั้งสามออกจากร้านค้าแอพของตัวเองแล้ว