จากข่าว Warner Music ยอมขายเพลงไร้ DRM แล้ว เมื่อปลายปี ทุกคนคงเดากันได้ว่าค่ายยักษ์ค่ายสุดท้ายอย่าง Sony BMG นั้นต้องดำเนินรอยตามแน่ ขึ้นกับว่าเมื่อไรเท่านั้น
ข้ามปีมาไม่ทันไร BusinessWeek ก็มีรายงานจากวงในของ Sony BMG แล้วว่าบริษัทเตรียมขายเพลง "อย่างน้อยส่วนหนึ่ง" เป็นแบบไร้ DRM ภายในไตรมาสแรกของปีนี้ และมีข่าวออกมาว่า Sony BMG ยังจะเข้าร่วมแคมเปญแจกเพลงฟรี 1 พันล้านเพลงร่วมกับเป๊บซี่และ Amazon ในช่วงการแข่งขันซูเปอร์โบล์วเดือนกุมภาพันธ์นี้ด้วยเช่นเดียวกับ Warner ในข่าวที่แล้ว
ตัวแทนของ Sony BMG ยังไม่ให้รายละเอียดใดๆ ส่วนโฆษกของ Amazon บอกให้รอดูในการแถลงข่าว
จากที่ปล่อยให้คู่แข่งอย่าง EMI และ Universal เป็นผู้นำในการขายเพลงแบบไม่มี DRM มานาน ตอนนี้ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่าง Warner Music ก็หันมาร่วมขบวนโดยขายเพลงของตัวเองแบบไร้ DRM บนร้านออนไลน์ของ Amazon
Amazon MP3 มีแผนจะแจกเพลงฟรีเพื่อโปรโมทธุรกิจในช่วงการแข่งขันซูเปอร์โบล์วเดือนมกราคมนี้ นักวิเคราะห์จึงมองว่า Warner ไม่อยากพลาดโอกาสนี้ จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้้ Warner ตัดสินใจขายเพลงแบบไร้ DRM ในที่สุด อย่างไรก็ตาม Warner ยังไม่ได้แถลงว่าจะขายเพลงบนเว็บไซต์อื่นๆ (โดยเฉพาะ iTunes Store) ด้วยหรือไม่
การกลับลำของ Warner ครั้งนี้ทำให้ Sony BMG กลายเป็นค่ายเพลงบิ๊กโฟร์ค่ายสุดท้ายที่ยังเหนียวแน่นอยู่กับ DRM
อีเอ็มไอ (ประเทศไทย) - EMI Music (Thailand) ประกาศแผนการยกเลิกขายแผ่นซีดี เนื่องจากผลกระทบจากธุรกิจซีดีเถื่อน และการดาวน์โหลดเพลงแบบละเมิดลิขสิทธิ์
โดยประกาศแผนการยกเลิกธุรกิจขายเพลงแบบแผ่นซีดี และดำเนินธุรกิจให้สอดรับกับแนวทางของบริษัทแม่ในประเทศอังกฤษ จะลุยตลาดเพลงดิจิทัลอย่างเต็มตัว และระงับการผลิตซีดีตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป
ทั้งนี้อีเอ็มไอมีศิลปินดังๆ อยู่ในมือมากมาย เช่น Spice Girls, ร๊อบบี้ วิลเลียมส์, Coldplay, ไคลี่ มินอค และ Gorillaz ฯลฯ
เมื่อปี 2004-2005 ช่วง Superbowl ในสหรัฐอเมริกา แป๊ปซี่จะออกโปรโมชั่นร่วมมือกับ iTunes โดยการแจกเพลงฟรีจากการแจก Redeem Code ใต้ฝา ปีนี้แป๊ปซี่ก็ได้ออกโปรโมชั่นใหม่เช่นเดียวกัน แต่ครั้งนี้แป๊ปซี่จะทำการแจก MP3 (ไร้ DRM) ผ่านทาง Amazon MP3 Store แทน
ในขณะนี้โซนี่เองก็กำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจที่จะเริ่มขายเพลงในรูปแบบของ MP3 แทน ทำให้ "เดอะบิ๊กโฟว์" ทั้งหมดเหลือเพียงแค่ Warner เท่านั้นที่ยังไม่มีแผนการในการขายเพลง MP3 แต่อย่างใด โดยปัจจุบันหากรวมโซนี่แล้วทั้ง EMI และ Universal Music Group เริ่มที่จะขายเพลงในรูปแบบ MP3 แทน
หลังจากปล่อยให้แคนนอนได้ปล่อยเลนส์ IS ซึ่งมีความสามารถในการลดความสั่นไหวของภาพได้ในราคาเพียง 199 ดอลลาร์ นิคอนก็เริ่มปล่อยหมัดสวนมาอีกครั้งด้วย AF-S DX NIKKOR 18-55mm f/3.5-5.6G VR ที่มีราคาตั้งอยู่ที่ 199 ดอลลาร์เช่นกัน
นิคอนอ้างว่าชุดลดความสั่นไหวนี้สามารถช่วยให้ถ่ายภาพได้คมชัดในสภาวะที่แสงน้อยกว่าปรกติถึง 3 สตอป เทียบกันแคนนอนที่อ้างว่าทำได้ถึง 4 สตอป แน่ตัวเลขนี้เป็นการอ้างจากผู้ผลิตเอง เอาเข้าจริงเราคงต้องไปลองกันที่ร้านให้รู้แจ้ง
Kevin Hell ซีอีโอของ DivX ออกมาประกาศว่าเจ้าของ PS3 จะสามารถดูวิดีโอแบบ DivX (และ XviD) ได้ โดยผ่านการอัพเดตเฟิร์มแวร์ซึ่งโซนี่จะออกมาในเร็วๆ นี้
ส่วนเจ้าของ Xbox 360 ก็เตรียมดีใจได้ เพราะ DivX เพิ่งประกาศลง Media Center Extenders ไปไม่นานนี้ และ Kevin Hell เองก็หลุดปากออกมาว่าเราจะได้เห็นใน 360 แน่
ความนิยมของฟอร์แมต DivX ซึ่งเราเห็นได้ชัดจากเครื่องเล่นดีวีดีรุ่นใหม่ๆ ทำให้ค่ายเกมซึ่งจับตลาด Media Center อยู่ด้วยนั้นเพิกเฉยไม่ได้ ต้องมาเจรจากับ DivX ในที่สุด
ว่าแต่ไหนๆ ทำแล้ว ขอพ่วง Ogg ลงไปอีกตัวหน่อยนะ
ที่มา - Ars Technica
ร้านขายเพลงออนไลน์ 7 Digital ในสหราชอาณาจักรเปิดเผยข้อมูลว่าในยอดขายเพลงทั้งหมด เพลงที่เป็น MP3 ไม่มี DRM มีส่วนแบ่งสูงถึง 80% คิดเป็น 4 เท่าของเพลงแบบมี DRM
ผู้บริหารของ 7 Digital ให้ความเห็นว่า MP3 เป็นฟอร์แมตเพลงแบบเดียวที่การันตีว่าทุกคนจะเล่นได้ ไม่ว่าจะเป็นไอพ็อด, โทรศัพท์มือถือ หรือเครื่องเล่น MP3 ยี่ห้ออื่นๆ และการขายเพลงแบบ MP3 มีแนวโน้มว่าจะทำให้ลูกค้าซื้อแบบยกอัลบั้มมากขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่ทางอุตสาหกรรมเพลงวิตก เนื่องจากการขายออนไลน์แบบแยกเพลงทำให้ยอดขายอัลบั้มตกลง
การเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของค่ายหนังในเพื่อต่อต้านการละเมิดลิขสิทธิ์ในช่วงหลังๆ มานี้คือการเริ่มลดราคาลงเพื่อเอาใจตลาดมากยิ่งขึ้น ค่าย Paramount ก็เป็นอีกค่ายที่ออกมาประกาศกลยุทธนี้ ด้วยการลดราคาแผ่นดีวีดีในจีนเหลือเพียง 3 ดอลลาร์หรือประมาณหนึ่งร้อยบาทเท่านั้น
ราคาแผ่นดีวีดีเถื่อนในจีนนั้นส่วนมากแล้วมักจะมีราคาไม่เกินประมาณ 50 บาท ทำให้ราคาของทาง Paramount ยังคงสูงกว่าแผ่นเถื่อนอยู่กว่าเท่าตัว แต่ทาง Paramount ก็เชื่อว่าคนจำนวนมากจะยินดีจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อจะซื้อของถูกกฏหมาย
แล้วเมื่อใหร่บ้านเราซีดีเพลงจะเหลือแผ่นละ 50????
เกือบหนึ่งเดือนหลังจากอัลบั้ม In Rainbows ของ Radiohead ซึ่งออกมาท้าทายรูปแบบธุรกิจของอุตสาหกรรมเพลงในปัจจุบัน (ข่าวเก่า) ทางบริษัท ComScore ได้มีข้อมูลเชิงวิเคราะห์ดังนี้
ผู้อ่าน Blognone คงรู้จัก Miro (เราเคยรีวิวไว้ด้วย) โปรแกรม videocast แบบโอเพนซอร์สที่ใช้ XUL และ VLC เป็นฐานในการพัฒนา ล่าสุดโครงการ Miro ได้ประกาศท้าชนยักษ์อย่าง Joost แบบเต็มๆ โดยเพิ่มเพจเปรียบเทียบ Miro กับ Joost แบบฟีเจอร์ต่อฟีเจอร์ลงในเว็บไซต์
แค่คำโปรยในหน้านั้นก็มันแล้ว
Miro is open like the internet. Joost works like a cable company with DRM.
กล้อง EOD-1D Mark III ถือเป็นกล้องรุ่นสูงสุดของแคนนอนในตอนนี้เริ่มได้รับการยืนยันว่ามีปัญหาบางส่วนในระบบโฟกัสทำให้ไม่สามารถโฟกัสภาพได้อย่างถูกต้องในบางเงื่อนไข โดยเฉพาะเมื่ออากาศร้อนทำให้ระบบ AI Servo ทำงานผิดพลาดแม้วัตถุจะไม่ได้เคลื่อนที่ไปมากนัก โดยทางแคนนอนเชื่อว่ามีกล้องเพียงส่วนน้อยที่ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้
เราได้ยินความขัดแย้งในวงการเพลงออนไลน์มานาน เนื่องจากตลาดเกือบทั้งหมดถูกยึดครองโดย iTunes Store ทำให้แอปเปิลมีอำนาจต่อรองกับค่ายเพลงสูงมาก เงื่อนไขหลายอย่างที่ค่ายเพลงไม่เห็นด้วย (เช่น การตั้งราคาเพลง หรือส่วนแบ่งรายได้) ก็ต้องยอมให้แอปเปิลไปก่อน
บรรดาค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ทั้ง 4 (Universal, EMI, Time Warner, Sony BMG) ได้พยายามทำลายกำแพงของแอปเปิลมาหลายครั้งแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จนัก บางค่ายเปิดร้านขายเพลงออนไลน์ของตัวเองแต่ก็สู้ iTunes Store ไม่ได้ (ล่าสุดโซนี่เตรียมปิด Connect Music Store แล้ว) แต่รอบนี้ ทาง Universal ซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ ได้คิดโมเดลธุรกิจใหม่คือแจกเพลงให้ฟรีไปเลย
คำว่าพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสคงเป็นเรื่องจริงสำหรับไมโครซอฟท์ในรอบนี้ หลังจากที่ปั้น Zune ได้ไม่สำเร็จนัก และกำลังเตรียมกลับมาอีกครั้งกับ Zune 2 แต่ในช่วงนี้เอง Zune รุ่นแรกกลับสามารถทำยอดขายได้ทะลุเป้า โดยขึ้นแท่นอันดับหนึ่งถึงสามของ Amazon.com ในหมวดเครื่องเล่น MP3 แบบฮาร์ดดิสก์ ไปได้ทั้งสามสี
เหตุผลสำหรับเรื่องนี้ก็ง่ายๆ คือไมโครซอฟท์ลดราคา Zune ลงมาอาจจะเพื่อล้างสต็อก หรือแค่ลดลงมาเพื่อไม่ให้ทับตลาดกับ Zune 2 แต่ด้วยราคาที่พอๆ กับ iPod Nano งานนี้ Zune เลยชนะใจผู้ซื้อไปได้จำนวนมาก ทำให้ยอดขายพุ่งกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
Radiohead วงดนตรี Alternative Rock ระดับแนวหน้าจากประเทศอังกฤษ เดิมพันวัดศรัทธาแฟนเพลงกับผลงานอัลบั้มใหม่ "In Rainbows" ซึ่งมีกำหนดการเผยแพร่ผ่านทางช่องทางการดาวน์โหลดทางเว็บไซต์ ในวันที่ 10 ตุลาคม ที่จะถึงนี้ กับมูลค่าที่แฟนเพลงสามารถเลือกซื้อหาตั้งราคา ได้ตามความต้องการของตนเอง โดยมีมูลค่าขั้นต่ำอยู่ที่ 0.01 ยูโร (ประมาณ 50 สตางค์) รวมค่าธรรมเนียมการใช้บัตรเครดิตอีก 0.45 ยูโร (ประมาณ 22 บาท)
สำหรับการซื้อขายในรูปแบบการดาวน์โหลดนั้น สิ่งที่แฟนเพลงจะได้รับก็คือแฟ้มข้อมูลผลงานเพลงใหม่ทั้ง 10 เพลง ในอัลบั้ม "In Rainbows"
Amazon เปิดร้านขายเพลงออนไลน์สู้ iTunes Store และ Wal-Mart เพลงที่ขายเป็นฟอร์แมต MP3 ไม่มี DRM ใช้อัตราการบีบอัดที่ 256kbps โดยคิดราคาเพลงละ 99 เซนต์เท่านั้น ซึ่งถูกกว่า iTunes (256kbps แบบ AAC) ที่ราคา 1.29 เหรียญ
ที่ไม่ธรรมดายิ่งขึ้นคือเพลงฮิต 100 อันดับแรกราคาจะลงไปอีกหน่อยเหลือ 89 เซนต์ และถ้าซื้อยกอัลบั้ม 100 อันดับแรกคิดอัลบั้มละ 8.99 เหรียญ การดาวน์โหลดถ้าซื้อแยกเพลงสามารถใช้เว็บเบราว์เซอร์ได้โดยตรง แต่ถ้าซื้อยกอัลบั้มจำเป็นต้องใช้โปรแกรมพิเศษของ Amazon ซึ่งตอนนี้มีเฉพาะบนวินโดวส์กับแมค ส่วนบนลินุกซ์จะตามมาเร็วๆ นี้
คาสิโอนับเป็นผู้ผลิตกล้องดิจิตอลระดับคอนซุมเมอร์รายแรกๆ ของโลก ที่เงียบหายไปในช่วงหลัง แต่การกลับมาครั้งนี้ก็นับว่าเรียกเสียงฮือฮาได้เป็นอย่างดีเมื่อกล้องตัวล่าสุดของคาสิโอนั้นสามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้ที่ความเร็ว 60 เฟรมต่อวินาที ที่ความละเอียด 6 ล้านพิกเซล
กล้องตัวนี้มาพร้อมกับเลนส์ซูม 12 เท่าเทียบเท่ากับระยะโฟกัสที่ 35-420 มิลลิเมตร นอกจากจะสามารถเก็บภาพความละเอียดเต็มที่อัตราเฟรม 60 ภาพต่อวินาทีแล้ว กล้องตัวนี้ยังสามารถเก็บภาพเคลื่อนไหวที่ความละเอียดระดับ VGA โดยยังได้อัตราเฟรมเป็น 300 เฟรมต่อวินาทีอีกด้วย
ถ้ายังจำกันได้ เมื่อ 15 เดือนก่อน MTV จับมือกับไมโครซอฟท์เปิดร้านขายเพลงออนไลน์ URGE (ข่าวเก่า) แต่เปิดได้ไม่ทันไร ไมโครซอฟท์ก็ออก Zune ซึ่งดันไม่รองรับระบบ DRM แบบ PlayForSure ที่ใช้ใน URGE (ข่าวเก่า) ทำให้ความสัมพันธ์กับ MTV ง่อนแง่นมานับแต่นั้น
ล่าสุด MTV จึงตัดสัมพันธ์กับไมโครซอฟท์แล้ว โดยหันไปจับมือกับ Real Network สร้างเครือข่าย Rhapsody America โดยมีบริษัทมือถือ Verizon เป็นผู้ช่วยด้านคอนเทนต์บนมือถือ เพลงท่ีขายบน Rhapsody America บางส่วนจะไม่มี DRM (ตามแต่ละค่ายที่เคยประกาศไปแล้ว เช่น EMI หรือ Universal และไม่รวมบริการพวกจ่ายรายเดือน โหลดไม่จำกัด ซึ่งยังมี DRM เหมือนเดิม)
หลังจากเป็นข่าวลือมาพักใหญ่ๆ แคนนอนก็เปิดตัวสองกล้องรุ่นใหญ่ตามคาดการณ์แล้ว แม้จะหักธงหลายๆ สำนักที่ว่าจะมีการเปิดตัวกล้องเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กล้องสองตัวที่จะวางตลาดนั้นคือ 1Ds Mark III และ 40D
EOS-1Ds Mark III นั้นเป็นกล้องรุ่นสูงสุดของแคนนอนในตอนนี้ มาพร้อมกับ CMOS ขนาด 21.1 ล้านพิกเซล ที่ให้ความละเอียดแสง 14 บิต, ชิปประมวลผล DiGiC III, จอภาพขนาด 3 นิ้วพร้อม Live View, จุดโฟกัส 45 จุด (เลือกได้เอง 19 จุด) และรองรับการ์ดแบบ UDMA CF ที่ให้ความเร็วสูงมาก
เป็นที่รู้กันว่าอินเทอร์เน็ตในวันนี้เข้าไปแย่งพื้นที่จากสื่อหลักอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่รายการงานศึกษาล่าสุดพบว่าคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดกลับเป็นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่ดำเนินกิจการได้ลำบากขึ้นมาก
รายงานชี้ให้เห็นว่าแม้ผู้อ่านจะเลือกอ่านข่าวสารจากอินเทอร์เน็ตมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สื่อหลักส่วนมากยังคงสามารถเข้ามาครองพื้นที่บนโลกไซเบอร์ได้อย่างเหนียวแน่นต่อไป โดยหนังสือพิมพ์ชั้นนำเช่น Washington Post หรือ the New York Times นั้นยังคงมีผู้อ่านวันละประมาณ 8.5 ล้านคน แต่ทางด้านหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นนั้นจำนวนผู้อ่านรวมยังคงลดลงเรื่อยๆ แม้จะพยายามเปิดเว็บไซต์ของตนเองขึ้นแล้วก็ตามที
รายงานแนะทำให้สำนักข่าวท้องถิ่นพยายามนำเสนอข่าวที่กว้างขึ้นเพื่อขยายฐานผู้ผ่านให้ดำเนินการต่อไปได้
คราวก่อน เราได้บอกว่าจะเข้าไปสัมภาษณ์ผู้บริหาร RS Digital ซึ่งมีบริการขายเพลงออนไลน์ Mixiclub ซึ่งผมกับลิ่วก็ได้ไปสัมภาษณ์กันมาเรียบร้อย และรู้สึกประทับใจในความรอบรู้ของผู้บริหารท่านนี้จริงๆ (แบบว่าถามเรื่องอะไรในวงการ Digital Content Distribution ตอบได้หมด รู้เยอะจนน่าตกใจ)
และนี่เป็นบทสัมภาษณ์คุณวรพจน์ นิ่มวิจิตร Senior Vice President ของ RS Digital และถือเป็นบทสัมภาษณ์อันแรกของ Blognone ที่ใช้วิธีสัมภาษณ์จากตัวจริงด้วย (ไม่ใช่ถาม-ตอบออนไลน์ตามปกติ) เชิญอ่านกันได้เลย
ตามหลังค่าย EMI มาหลายเดือน แต่ตอนนี้ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่าง Universal ก็แสดงความสนใจที่จะขายเพลงแบบไร้ DRM กันแล้ว แต่ยังคงเป็นการขายแบบจำกัดช่วงเวลาเพื่อทดสอบตลาดก่อนในช่วงแรก โดยจำกัดช่วงเวลาในโครงการทดสอบนี้ไว้ในช่วง 21 กันยายนนี้ ไปจนถึง 31 มกราคมปีหน้าเท่านั้น
ร้านค้าเพลงออนไลน์ที่เข้าร่วมโครงการนี้ได้แก่ Amazon, RealNetwork, BestBuy และ Wal-Mart โดยในด้านของบิตเรทที่จะขายนั้นทาง Universal ระบุว่าจะขึ้นกับตัวร้านค้าเอง เช่นทางด้าน RealNetwork นั้นประกาศชัดเจนว่าจะขายเพลงที่บิตเรท 256kbps ที่น่าสนใจคือไม่มีชื่อ iTunes อยู่ในรายการของบริษัทที่ร่วมโครงการ โดยอาจจะมีสาเหตุจากการที่โครงการนี้เป็นโครงการแบบจำกัดเวลา
และแล้ว iTunes Store ก็สร้างสถิติใหม่ทำยอดขายเพลงครบ 3 พันล้านเพลงเป็นอันเรียบร้อยแล้ว โดยก่อนหน้านี้ แอปเปิลได้ประกาศยอดขายเพลงผ่าน iTunes Store ว่าทำสถิติครบ 2 พันล้านเพลงไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา นับว่าเป็นการเติบโตที่ก้าวกระโดดเลยทีเดียว หากนับจากวันที่ครบ 2 พันล้านเพลงนั้น ก็พึ่งผ่านมาเพียง 7 เดือนเศษๆ เท่านั้นเอง
แม้ตลาดไอทีกำลังบูมอีกครั้งในสหรัฐด้วยกระแส Web 2.0 แต่ตอนนี้ดูเหมือนสื่อแบบเก่าๆ กำลังกระอักเลือดอย่างหนัก เมื่อบรรดาบล็อกทั้งหลายกำลังเข้ามาช่วงชิงพื้นที่โฆษณากันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยในปีนี้นิตยสารเช่น Business 2.0 มียอดโฆษณาตกลงไปร้อยละ 21.8 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ส่วน PC Magazine นั้นตกลงไปถึงร้อยละ 38.8
เว็บที่เริ่มเข้ามาแทนที่สื่อเดิมๆ อย่างหนักๆ ในช่วงหลังๆ ก็เป็นบล็อกที่เราได้ยินชื่อบ่อยๆ เช่น TechCrunch, GigaOM เป็นต้น โดยตอนนี้สื่อที่โดยกระทบหนักๆ คือสื่อด้านไอทีเป็นหลัก แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ว่าสื่อด้านอื่นๆ จะโดนตามไปด้วย
Blognone ก็เปิดรับโฆษณานะครับ :P
จากการที่สัญญาของ Universal และ iTunes store หมดลง ทาง Universal ได้ออกมายืนยันผ่าน Macworld.co.uk ว่าจะไม่มีการต่อสัญญากับ iTunes store ในระยะยาวแต่อาจเปลี่ยนเป็นการขายเป็นรายเพลง เพื่อที่จะมองหาผู้ให้บริการขายเพลงออนไลน์รายอื่น
Macworld.co.uk เสนอความคิดเห็นว่า การที่ Universal ทำเช่นนี้เพื่อเป็นการเปิดตลาดเพลงออนไลนืให้เจ้าอื่น โดยไม่ให้ iTunes เป็นผู้ครองตลาดแต่เพียงผู้เดียว
บริษัท MediaDefender ซึ่งทำธุรกิจต่อต้านการละเมิดลิขสิทธิ์ให้กับสมาคมภาพยนตร์สหรัฐ (MPAA ที่เราคุ้นกันดี) ได้เปิดเว็บไซต์ชื่อว่า MiiVi ซึ่งโฆษณาว่าเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนภาพยนตร์ละเมิดลิขสิทธิ์สำหรับผู้สนใจ
MiiVi ยังโฆษณาต่อด้วยว่าถ้าอยากดาวน์โหลดเร็วขึ้น จะต้องลงโปรแกรมพิเศษของทาง MiiVi ซึ่งโปรแกรมนี้จริงๆ มันทำหน้าที่ค้นหาไฟล์หนังอื่นๆ ในเครื่องเราแล้วรายงานกลับไปยัง MediaDefender
สุดท้ายมีคนจับได้โดยดูจากข้อมูล whois ของโดเมนเนม พบว่ามีชื่อ MediaDefender เป็นเจ้าของ หลังจากนั้นไม่นานชื่อ MediaDefender ถูกลบไปจาก whois แต่ที่อยู่ก็ยังเป็นของ MediaDefender อยู่
ตอนนี้ผมเข้าเว็บ MiiVi ไม่ได้แล้ว เห็นเป็นหน้าโฆษณาของ GoDaddy แทน แต่หน้าตาเว็บสามารถดูได้ตามลิงก์