ข่าวดีสำหรับแอดมินเฟซบุ๊กเพจมาถึงแล้ว เมื่อเฟซบุ๊กปล่อยอัพเดตสำหรับเฟซบุ๊กเพจ เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ (ที่น่าจะมีตั้งนานแล้ว) สองอย่างได้แก่ การตั้งตำแหน่งของแอดมินเพจ (Admin Role) และการตั้งเวลาโพสต์ (schedule post)

สำหรับตำแหน่งแอดมินในเฟซบุ๊กเพจจากเดิมมีเพียงแค่แอดมินเพียงอย่างเดียว ตอนนี้จะปรับเพิ่มเป็น 5 ตำแหน่งใหญ่ๆ ที่สามารถจัดการกับเพจได้มากน้อยลดหลั่นกันไปดังนี้

ถ้าเราเข้า Facebook ด้วยเบราว์เซอร์ที่ไม่รองรับ เราจะเห็นหน้า Unsupported Browser ที่แนะนำให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดเบราว์เซอร์ดังๆ อย่าง IE, Firefox หรือ Chrome มาใช้งาน

แต่ล่าสุดเว็บไซต์ Favbrowser ค้นพบว่า Facebook เปลี่ยนไอคอนของ Chrome ในหน้านี้เป็น Opera แทนโดยไม่ระบุสาเหตุ ทำให้ข่าวลือ Facebook สนใจซื้อ Opera ยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้น

ตอนนี้ Facebook นำหน้านี้ออกไปแล้ว ใครสนใจสามารถดูจาก Google Cached

หนึ่งในเรื่องที่ผู้ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คอยากรู้มาตลอดคือในโซเชียลเน็ตเวิร์คที่เราใช้งานอยู่นั้น มีสแปมแฝงตัวอยู่เยอะแค่ไหน คำตอบจากนาย Mark Risher ซีอีโอของบริษัทผลิตซอฟต์แวร์แอนติสแปมชื่อว่า Impermium เผยว่าตัวเลขสแปมบนโซเชียลเน็ตเวิร์คชื่อดังอย่างเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือที่อื่นๆ นั้นมีจำนวนมากถึง 40% จากผู้ใช้ทั้งหมด และ 8% ของข้อความที่ส่งกันในโซเชียลเน็ตเวิร์คนั้นก็เป็นสแปม โดยตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในเวลาหกเดือนเลยทีเดียว

Paul Amsellem ผู้อำนวยการของบริษัทที่เน้นทำการตลาดบนมือถือ Mobile Network Group เปิดเผยกับ Computerworld ว่า ถึงแม้ไอเดียการทำสมาร์ทโฟนเองจะเป็นไปได้ยาก เนืองจากมีคู่แข่งหลักในตลาดอย่างแอปเปิลและผู้ผลิตสมาร์ทโฟนบนแพลตฟอร์มแอนดรอยด์ แต่เฟซบุ๊กก็ต้องทำอะไรซักอย่างในตลาดอุปกรณ์พกพาเพื่อหาตลาดเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถเติบโตได้ต่อไป

Amsellem คาดว่า สมาร์ทโฟนจากเฟซบุ๊กน่าจะเข้าสู่ตลาดได้ใน 18 เดือนนับจากนี้ และเนื่องจากเฟซบุ๊กต้องการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเครือข่ายโทรศัพท์ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้บริการเครือข่าย และงานด้านลอจิสติกส์ เพื่อมาทำตลาดสมาร์ทโฟนของตัวเอง บริษัทอาจมีสองทางเลือก ดังนี้

Eduardo Saverin คือผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook อีกคนหนึ่ง ที่ภายหลังมีปัญหาขัดแย้งกับ Mark Zuckerberg จนต้องลาออกจากบริษัทไป (แต่ยังมีหุ้นเหลืออยู่ในบริษัท) และประเด็นนี้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Social Network เมื่อปี 2010

ปัจจุบัน Saverin ประกอบอาชีพเป็นนักลงทุนในบริษัทหน้าใหม่ด้านไอทีที่ประเทศสิงคโปร์ เขาเพิ่งเป็นข่าวเมื่อเร็วๆ นี้เมื่อประกาศสละสัญชาติสหรัฐและหันไปถือสัญชาติสิงคโปร์แทน (เขาเกิดในบราซิล แต่ภายหลังครอบครัวย้ายมาอยู่สหรัฐ)

ตัวของ Saverin ไม่เคยให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นที่ขัดแย้งกับ Mark Zuckerberg มาก่อน แต่หลังจาก Facebook ขายหุ้น IPO แล้ว เขาก็ยอมให้สัมภาษณ์กับนิตยสารข่าว Veja ของบราซิลแล้ว

The Next Web รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวหลายที่ว่า Facebook เตรียมซื้อกิจการสตาร์ทอัพของประเทศอิสราเอล Face.com ที่มูลค่าราว 80-100 ล้านดอลลาร์

Face.com เป็นบริการอำนวยความสะดวกในการแท็กภาพบุคคลใน Facebook โดยอาศัยการรู้จำใบหน้าจากฐานข้อมูลที่ผู้ใช้อนุญาตให้เข้าถึง ปัจจุบัน Face.com มีแอพของตนเองบน Facebook ชื่อ Photo Tagger และมีแอพบน iOS ในชื่อ KLIK นอกจากนี้ระบบยังเปิด API ให้นักพัฒนาเข้ามาใช้งานได้ด้วย ซึ่งจะเห็นว่าด้วยคุณสมบัติการทำงานดังกล่าว จึงไม่แปลกที่บริษัทจะถูกหมายตาจาก Facebook ในการซื้อกิจการ

Nick Bilton นักข่าวจาก The New York Times รายงานว่า Facebook ได้จ้างอดีตวิศวกรของ Apple ที่เคยทำงานด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์กับ iPhone มากกว่า 6 คน และที่เคยทำงานกับ iPad อีกหนึ่งคน มาทำงานในโครงการที่มีชื่อว่า "Buffy"

อดีตวิศวกร iPhone คนหนึ่งได้พบกับ Mark Zuckerberg ซึ่ง Mark Zuckerberg ได้ถามเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ และชนิดของชิปที่ใช้งาน อดีตวิศวกรยังเล่าอีกว่าทาง Facebook มีความต้องการดึงตัววิศวกรด้านฮาร์ดแวร์จาก Apple โดยผู้บริหาร Facebook และเล่าเรื่องเกี่ยวกับบริษัทจัดหาฮาร์ดแวร์อีกด้วย

เว็บไซต์ Pocket-lint อ้างแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดวงในว่า Facebook กำลังสนใจซื้อ Opera Software บริษัทผู้สร้างเว็บเบราว์เซอร์ Opera เป้าหมายก็เพื่อเป็นเจ้าของเว็บเบราว์เซอร์เอง จะได้ต่อกรกับกูเกิลในโลกออนไลน์ได้สูสีมากขึ้น

ข่าวนี้ยังไม่ได้รับคำยืนยันใดๆ แต่ The Next Web หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ว่า Opera (ซึ่งตอนนี้เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ของนอร์เวย์) กำลังพิจารณาขายบริษัทให้กับบริษัทขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง และตอนนี้มีข่าวอีกเช่นกันว่า Opera หยุดจ้างพนักงานใหม่ชั่วคราว ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ากำลังมีข่าวใหญ่เกิดขึ้น

ถ้าข่าวนี้เป็นจริง สงครามเบราว์เซอร์คงร้อนระอุขึ้นมาอีกรอบ แถมยังน่าจะกระทบวงการเบราว์เซอร์บนมือถือที่ Opera กินส่วนแบ่งตลาดอยู่มากด้วย

เฟซบุ๊กเริ่มขยับเกี่ยวกับบริการแชร์ภาพแล้วตั้งแต่เข้าซื้อ Instagram ไป ด้วยการเปิดตัวแอพแยกตัวใหม่ชื่อว่า Facebook Camara

หน้าตาของแอพตัวนี้คล้ายๆ กับ Instagram ด้วยอินเทอร์เฟซแสดงภาพเดี่ยวสกรอลภาพในแนวตั้ง ฟีเจอร์ของ Facebook Camera คือการเอาจุดเด่นของ Instagram มารวมกับเฟซบุ๊กดังนี้

• สามารถโพสต์ภาพพร้อมกันหลายภาพได้
• แต่งภาพด้วยฟิลเตอร์ และครอปภาพได้
• แทกเพื่อน และใส่ข้อความรายละเอียดภาพได้

ที่น่าสนใจคือทั้ง 15 ฟิลเตอร์ที่มีใช้ใน Facebook Camera กลับไม่ได้พัฒนาจากทีมของ Instagram เลย ซึ่งตรงนี้ Dirk Stoop หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ของเฟซบุ๊กบอกว่าเป็นเพราะแอพตัวนี้ถูกพัฒนามานานแล้ว (น่าจะก่อนซื้อ Instagram)

กระแสความนิยมเพลงจากประเทศเกาหลีหรือที่เรียกว่า K-Pop ยังคงแรงต่อเนื่อง โดยหลังการประกาศความร่วมมือกับ YouTube ในการนำเพลงมาเผยแพร่ในช่องพิเศษตั้งแต่ปีก่อน จนนำมาสู่การจัดคอนเสิร์ตใกล้กับสำนักงานใหญ่ของกูเกิลแล้ว ล่าสุดอุตสาหกรรมดนตรีเกาหลีได้ประกาศความร่วมมือกับ Facebook และ Google+ เพิ่มเติมอีก

ดูเหมือนเฟซบุ๊กกำลังจะมีการปรับหน้าตาของเว็บไซต์อีกครั้ง หลังจากที่เว็บไซต์ข่าว Talking Point Memo ได้อัพโหลดภาพของ Timeline แบบใหม่ที่อ้างว่าเพิ่งปล่อยให้บางคนได้ลองใช้ขึ้นมาแล้ว

โดยรวมแล้วหน้าตาของ Timeline ใหม่นี้จะแน่นกว่าเดิม ข้อมูลจำพวกที่ทำงาน สถานศึกษา ที่อยู่ ถูกโยกขึ้นไปทับพื้นที่ส่วนหนึ่งของภาพ cover และภาพธัมบ์เนลที่เคยมีอยู่ใต้ภาพ cover ก็ถูกเอาออกเหลือเพียงข้อความเปลือยๆ เท่านั้น

หลังจากวันที่ 21 พฤษภาคม 2555 หุ้น Facebook ปิดที่ 34.03 ดอลลาร์ ลดลงถึง 11 เปอร์เซนต์ แค่เพียง 2 วันหลังจาก IPO ราคาก็ต่ำกว่าราคา IPO ที่ 38 ดอลลาร์ซะแล้ว ส่งผลทำให้ Mark Zuckerberg จนลง 2.1 พันล้านดอลลาร์ ส่วน ผู้ถือหุ้นรายอื่นก็จนลงไปตามๆ กันไม่ว่าจะเป็น

• Dustin Moskovitz จนลง 560 ล้านดอลลาร์
• Eduardo Saverin จนลง 220 ล้านดอลลาร์
• Sean Parker จนลง 276 ล้านดอลลาร์

ส่วนใครมีเงินเหลือไม่ต้องเสียใจที่ไม่ได้หุ้นตอน IPO ตอนนี้ซื้อได้ในราคาต่ำกว่า IPO ซะอีก

ที่มา Bloomberg

หลังจากที่ Facebook เปิดตัว Groups for Schools สำหรับนักเรียนโดยเฉพาะและอนุญาตให้นักเรียนสามารถแชร์ไฟล์ที่ขนาดไม่เกิน 25 MB ได้ด้วย แต่กลุ่มสำหรับนักเรียนแบบนี้จำกัดเฉพาะผู้ใช้ที่มีอีเมลโดเมน .edu เท่านั้น

แต่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาทาง Facebook ได้ทยอยเปิดฟีเจอร์นี้สำหรับกลุ่มทั่วไปที่ไม่ใช่นักเรียนได้ใช้กันแล้ว โดยใช้เงื่อนไขเดียวกันคือ อัพโหลดไฟล์ที่ขนาดไม่เกิน 25 MB ได้ทุกชนิดยกเว้นไฟล์เพลงและไฟล์ที่มีนามสกุล .exe (executable) ส่วนไฟล์อีบุ๊ค มิวสิควิดีโอ หรือไฟล์หนังขนาดสั้นๆ ทั่วไปสามารถอัพโหลดขึ้นได้

และแล้ว การขายหุ้น IPO ครั้งประวัติศาสตร์ก็เริ่มขึ้น โดย Mark Zuckerberg ทำพิธี "เคาะระฆัง" เปิดตลาดหุ้นตามธรรมเนียมปฏิบัติของหุ้นใหม่ที่เข้าตลาด NASDAQ ในวันนั้น

เพียงแต่กรณีของ Facebook จะต่างไปจากปกติที่ผู้ก่อตั้งหรือซีอีโอต้องเดินทางไปเคาะระฆังที่ห้องค้าหุ้นของ NASDAQ อยู่บ้าง เพราะวิศวกรของ Facebook ทำระบบเชื่อมต่อทางไกล ให้ Mark Zuckerberg สามารถกดปุ่มหน้าสำนักงานใหญ่ของ Facebook ในเมือง Menlo Park ใกล้ San Francisco ข้ามทวีปอเมริกาไปยังห้องค้าหุ้นของ NASDAQ ในนิวยอร์กได้ (เบื้องหลังการออกแบบระบบอ่านได้จาก TechCrunch)

นอกจากนี้ ระบบกดปุ่มของ Facebook ยังโพสต์สถานะบน Timeline ของ Zuckerberg ว่าเขานำบริษัทเข้าตลาดหุ้น (listed company) เรียบร้อยแล้ว ถือเป็นการโฆษณาระบบ Timeline ไปในตัว

ในที่สุด Facebook ก็ประกาศราคาของหุ้นที่จะเข้าขายในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ด้วยราคา 38 ดอลลาร์ต่อหุ้น

การขายหุ้นครั้งนี้จะมีหุ้นออกขายทั้งหมด 421 ล้านหุ้น ในจำนวนนี้คิดเป็นหุ้นที่ Facebook ขายเอง 180 ล้านหุ้น ที่เหลืออีก 241 ล้านหุ้นเป็นของนักลงทุนที่ซื้อหุ้น Facebook มาก่อนหน้าแล้ว

ถ้าหุ้นขายหมดที่ราคา 38 ดอลลาร์ จะทำให้บริษัทระดมทุนได้ 16 พันล้านดอลลาร์ และมีมูลค่าบริษัทตามราคาหุ้นที่ 104 พันล้านดอลลาร์ (ครึ่งหนึ่งของมูลค่าบริษัทกูเกิลในปัจจุบัน)

ตัวเลข 16 พันล้านดอลลาร์ถือว่ามีความหมายต่อตลาดทุนของสหรัฐไม่น้อย เพราะเป็นการระดมทุนที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับสองของประวัติศาสตร์สหรัฐ (อันดับหนึ่งคือ Visa ระดมทุนได้ 17.9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2008)

ยังมีความเคลื่อนไหวต่อเนื่องของ Facebook ที่หุ้นจะเริ่มซื้อขายในตลาดหุ้นคืนวันศุกร์นี้ โดย Facebook ได้ปล่อยแอพทางการของตนบน iOS ตัวที่ 3 ต่อจาก Facebook และ Facebook Messenger ในชื่อ Facebook Pages Manager ซึ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการ Fan Page เป็นหลัก ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าแจ้งเตือนเมื่อเกิดความเคลื่อนไหวใน Page ที่ตนดูแลอยู่ และสามารถเข้าถึงข้อมูลสถิติ (Insights) ของ Page ได้เลยผ่านแอพนี้

ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดได้ผ่านทาง App Store แต่ในขณะที่เขียนข่าวนี้แอพดังกล่าวยังไม่มีใน App Store ประเทศไทย แต่มีแล้วในออสเตรเลีย, แคนาดา และสิงคโปร์ ในไทยจึงน่าจะกำลังตามมาครับ

General Motors (GM) บริษัทผลิตรถยนต์อันดับหนึ่งของสหรัฐฯ ตัดสินใจเลิกโฆษณาบนเฟซบุ๊กโดยไม่บอกเหตุผลที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามมีแหล่งข่าวระบุว่าโฆษณาบนเฟซบุ๊กนั้นส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อเพียงเล็กน้อย

อย่างไรก็ดี ทาง GM จะยังคงหน้า Facebook Page เอาไว้สื่อสารกับลูกค้าต่อไป โดยผู้บริหารระบุว่าหน้า Page ยังเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับการสื่อสารกับลูกค้า โดยค่าใช้จ่ายของโฆษณาบนเฟซบุ๊กของ GM ในปีที่ผ่านมาคือ 40 ล้านดอลลาร์ แต่จ่ายให้กับเฟซบุ๊กเพียง 10 ล้านดอลลาร์ ที่เหลือเป็นค่าสร้างเนื้อหาและค่าเอเจนซี

คู่แข่งรายอื่นๆ ออกมาตอบคำถามในประเด็นนี้ว่ายังคงโฆษณาบนเฟซบุ๊กกันต่อไป เช่น ฟอร์ด, ซุบารุ, และไครสเลอร์

Facebook ประกาศปรับหน้าตาของเว็บมือถือ (m.facebook.com) และแอพบน iOS/Android ให้แสดงรูปภาพใน newsfeed ใหญ่กว่าเดิม โดยจะแสดงเต็มหน้าจอด้านกว้าง และถ้าเทียบกับของเดิมภาพอาจใหญ่ขึ้นถึง 3 เท่าตัว

Facebook ไม่ได้อธิบายถึงเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แต่ก็เป็นไปได้ว่าอาจรับอิทธิพลมาจาก Instagram

ก่อนหน้านี้ไม่นาน กูเกิลก็เพิ่งปรับปรุงแอพ Google+ ให้แสดงภาพใหญ่ขึ้นเช่นกัน

ที่มา - Facebook Mobile, TechCrunch

ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายผูกขาดของสหรัฐประเมินว่า การซื้อกิจการของ Facebook/Instagram อาจต้องใช้เวลาระหว่าง 3-12 เดือน (เป็นไปได้มากที่สุดคือ 6 เดือน) เพื่อรอคณะกรรมการการค้าของสหรัฐหรือ FTC อนุมัติดีลนี้

ตามกฎแล้ว FTC ต้องตรวจสอบการซื้อกิจการทุกรายที่มีมูลค่าเกิน 66 ล้านดอลลาร์ ซึ่งใช้เวลาขั้นต่ำ 30 วัน แต่ถ้ามีประเด็นปัญหาหรือสงสัย FTC ก็สามารถเรียกบริษัททั้งสองมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้ (แปลว่าใช้เวลานานขึ้นไปอีก)

สำหรับกรณีนี้ FTC เป็นห่วงว่า Facebook จะกลายเป็นผู้นำด้านการแชร์ภาพถ่ายออนไลน์-มือถืออย่างเบ็ดเสร็จ ทำให้มีอำนาจต่อรองเรื่องโฆษณาสูงและอาจกีดกันคู่แข่งในวงการได้ (งานนี้มีข่าวลือมาว่ากูเกิลและทวิตเตอร์เป็นคนร้องเรียนไปยัง FTC ให้เข้ามาสอบสวนในประเด็นนี้)

ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย และที่ผ่านมาก็มีข่าวลักษณะนี้ออกมาเรื่อยๆ (ข่าวเก่าที่เกี่ยวข้อง หลายประเทศมีปริมาณการส่ง SMS ช่วงเทศกาลลดลง,

พักหลัง ๆ มานี้ Facebook เริ่มให้ความสำคัญด้านการสร้างรายได้ ล่าสุดทาง Facebook ได้เปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปทดสอบระบบใหม่อย่าง highlight post หรือโพสเด่นที่ทาง Facebook ได้ทำการปักไว้บน news feed ของเรา คล้าย ๆ กับ sponsored tweet ใน Twitter (ซึ่งผมก็เห็นมาสักพักแล้ว) โดยผู้ที่ต้องการจะส่งโพสของตัวเองขึ้นใน highlight post ก็สามารถส่งโพสของตัวเองขึ้นได้พร้อมจ่ายเงินเพียงโพสละ 2 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 62 บาท สามารถจ่ายเงินได้ผ่าน PayPal หรือบัตรเครดิตทั่วไปของคุณได้เลย

ตอนนี้เท่าที่ผมเห็นอยู่ก็จะมีของ ESPN แต่คาดว่าในอนาคต จะมีผู้ใช้บริการนี้มากขึ้น

ที่มา : TechCrunch

หลังจาก Facebook ดันระบบ OpenGraph ที่ให้แอพจากภายนอกเชื่อมต่อกับ Facebook มาได้ระยะหนึ่งแล้ว วันนี้ได้เปิดตัว App Center ศูนย์รวมแอพที่เชื่อมกับ Facebook ทั้งผ่านอุปกรณ์พกพา และพีซี โดยจะมีทั้งแอพฟรี และเสียเงิน เป้าหมายของ App Center คือการสนับสนุนการเติบโตของแอพคุณภาพที่เชื่อมต่อกับ Facebook (ซึ่ง Facebook บอกว่าไม่ได้ต้องการแข่งขันโดยตรงกับแอปเปิล หรือกูเกิลแต่อย่างใด)

หน้า App Center ของ Facebook จะต่างกับของเจ้าอื่นตรงที่ไม่มีระบบจัดลำดับแอพ แต่จะเลือกแอพจากข้อมูลของผู้ใช้เช่นอายุ และแอพที่ใช้ก่อนหน้า เพื่อเลือกแอพที่เหมาะกับผู้ใช้มาแสดงผล (ซึ่งใช้งานจริงไม่รู้ว่าจะเวิร์ครึเปล่า)

การขายหุ้น IPO ของ Facebook ใกล้เข้ามาทุกที และกิจการใหญ่บวกความเป็นที่จับตา ย่อมทำให้ Facebook ต้องแบกรับความคาดหวังสูงมาก

บุคคลหนึ่งที่ Mark Zuckerberg ไปขอคำแนะนำจึงไม่มีใครเหมาะไปกว่า Warren Buffet เศรษฐีหุ้นชาวอเมริกันและผู้ชายที่รวยเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

Buffet ยืนยันเรื่องนี้กับผู้สื่อข่าวของ CNBC ว่าเขามีโอกาสนั่งคุยกับ Zuckerberg เรื่องการขายหุ้นของ Facebook เป็นเวลาหลายชั่วโมง แถมยังให้คำแนะนำกับ Zuckerberg ไปบ้างพอสมควรด้วย เพียงแต่เขาไม่ได้เปิดเผยว่าแนะนำอะไรไปบ้าง

Buffet พูดในที่สาธารณะหลายครั้งว่าเขาและบริษัทของเขาไม่สนใจซื้อหุ้นของ Facebook แต่ไม่แน่ว่าเขาอาจเปลี่ยนใจในภายหลังก็ได้

Facebook ยังคงเดินหน้าซื้อกิจการต่อเนื่อง คราวนี้เป็นแอพเครือข่ายสังคมที่ชื่อ Glancee โดยเว็บของ Glancee ได้ประกาศว่าทีมงานทั้งหมดเตรียมย้ายไปทำงานกับ Facebook เพราะถูกซื้อกิจการแล้วด้วยมูลค่าที่ไม่เปิดเผย โดยผู้ใช้งานเดิมสามารถดาวน์โหลดข้อมูลเก่าออกมาได้

Facebook ได้เผยแพร่วิดีโอเพื่อนำเสนอการเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งแรกเพื่อการระดมทุน (IPO: Initial Public Offering) ผ่านทางวิดีโอออนไลน์ที่ RetailRoadshow และแน่นอนที่สุด พอเป็นการนำเสนอของ Facebook แล้ว ย่อมไม่เหมือนบริษัทอื่นๆ ที่ผู้นำเสนอมักจะเป็น CEO ใส่สูทผูกเน็คไท ออกมาพูดถึงตัวเลขธุรกิจบน PowerPoint แต่ Mark Zuckerberg เลือกที่จะออกมาในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่เราคุ้นตากันดี