หลังจากออราเคิลได้ซันไปครอบครองเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว ไอบีเอ็มที่เคยแข่งประมูลซันมาก่อนก็เริ่มดำเนินการแบบแข่งขันทันที ด้วยการเสนอเงิน 4,000 ดอลลาร์ให้กับลูกค้าที่ย้ายระบบจาก SPARC ของซันหรือ Fujitsu มาใช้ชิป Power ของไอบีเอ็ม
ในเครื่องระบบยูนิกซ์ราคาแพงนั้นไอบีเอ็มกับซันยังคงเป้นคู่แข่งที่พอฟัดพอเหวี่ยงกันอยู่ โดยส่วนแบ่งของไอบีเอ็มนั้นมีส่วนแบ่งอยู่ที่ร้อยละ 37 และซันนั้นอยู่ที่ร้อยละ 28 แต่ตลาดนี้กำลังหดตัวไปอย่างต่อเนื่องจากการบุกเข้ามาของชิป x86 และลินุกซ์หรือ Windows Server
หลังจากข่าวการยกเลิกแผนควบรวมกิจการของ IBM กับ Sun ด้วยมูลค่ากว่า 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทาง Business Week เลยทำการย้อนอดีตกลับไปดู 21 อันดับการควบรวมกิจการที่ไม่ประสบความสำเร็จ เลยขอคัดมาเฉพาะบริษัทไอทีเรียงตามลำดับปีดังนี้
ทำท่าจะเป็นหนังม้วนยาวอีกเรื่องสำหรับการเข้าซื้อซันของไอบีเอ็ม ล่าสุดข่าวระบุว่าข้อเสนอซื้อถูกล้มไปเรียบร้อยแล้ว
แม้สองบริษัทจะปฏิเสธมาตลอดว่าไม่ได้คุยกัน แต่แหล่งข่าวกล่าวว่าทั้งสองบริษัทได้พูดคุยกันมาหลายเดือนแล้ว และล่าสุดซันไม่พอใจกับราคาที่เสนอซื้อล่าสุดซึ่งอยู่ที่ $9.40 ต่อหุ้น ต่างจากราคาเสนอซื้อรอบแรกที่อยู่ราว $10-$11 (ขณะที่เขียนข่าวนี้ราคาหุ้นของซันอยู่ที่ $8.49 ซึ่งพุ่งขึ้นกว่า 50% ในระยะเวลาสองสัปดาห์)
ComputerWorld มีบทวิเคราะห์ว่า 5 เทคโนโลยีสำคัญของซันจะอยู่หรือจะไป หลังจากโดน IBM ซื้อกิจการ
ทั้งหมดนี่เป็นการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ล้วนๆ
นักวิเคราะห์จาก Forrester Research มองว่าถ้า IBM ซื้อกิจการสำเร็จ อาจจะต้องปลดพนักงานของซันออกถึง 1 ใน 3 หรือมากกว่า 10,000 คน เนื่องจากสายผลิตภัณฑ์ที่ทับซ้อนกันมาก และการซื้อกิจการครั้งนี้ IBM อาจต้องการฐานลูกค้าของซันมากกว่าตัวเทคโนโลยี
นักวิเคราะห์อีกรายมองว่าสองแผนกแรกที่โดนแน่ๆ คือฝ่ายขายและฝ่ายการตลาด ซึ่งคนของ IBM ทำได้อยู่แล้วโดยไม่ต้องพึ่งคนของซัน ส่วนฝั่งเทคโนโลยีที่มีความเสี่ยงคือฮาร์ดแวร์ (โดยเฉพาะ SPARC อาจจะสิ้นชื่อเพราะ Power), แผนก storage (Sun Thumper คงต้องหลีกทางให้ IBM Shark), Glassfish ยอมหลบให้ Geronimo เป็นต้น แผนกที่น่าจะอยู่รอดคือ MySQL และ Solaris
New York Times รายงานข่าวจากวงในว่า IBM ตกลงซื้อกิจการกับ Sun เกือบสำเร็จแล้ว โดยราคาหุ้นที่ตกลงกันคือ 9.50 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าราคา 10 ดอลลาร์ต่อหุ้นตามที่ออกข่าวมาตอนแรกเล็กน้อย มูลค่ารวมทั้งบริษัทของ Sun จะตกประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์
ข่าวการควบกิจการสำเร็จอาจจะประกาศภายในวันศุกร์นี้ (วันนี้ตามเวลาสหรัฐ) ส่วนโฆษกของ IBM และ Sun ยังไม่ยืนยันข่าวนี้แต่อย่างใด แหล่งข่าวบอกด้วยว่า IBM สนใจเทคโนโลยี Java และ Solaris มากเป็นพิเศษ
การซื้อกิจการครั้งใหญ่ของ IBM คือปี 2008 ซื้อบริษัท Cognos (Business Intelligence) ในราคา 5 พันล้านดอลลาร์
ที่มา - New York Times
มีรายงานข่าวออกมาในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ว่าไอบีเอ็มมีแผนเตรียมเข้าซื้อกิจการซัน ไมโครซิสเต็มส์
รายงานข่าวบอกว่าข้อเสนอของไอบีเอ็มนั้น คือการเสนอซื้อหุ้นซันด้วยมูลค่าสูงกว่าปัจจุบันมากกว่าเท่าตัวด้วยเงินสดรวมเป็นมูลค่าเกือบ 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นข้อเสนอในการควบรวมที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของไอบีเอ็ม
หากการควบรวมนี้สำเร็จจริง จะส่งผลให้สองบริษัทนี้มีส่วนแบ่งตลาดเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ UNIX เป็นระบบปฏิบัติการสูงถึง 65 เปอร์เซ็นต์ และ 42 เปอร์เซ็นต์สำหรับเซิร์ฟเวอร์ในภาพรวม
ก็ต้องปิดท้ายด้วยประโยคบังคับของบรรดาข่าวควบรวมทั้งหลายว่า ทั้งสองบริษัทก็ยังไม่ออกมาให้ความเห็นใดๆ ในขณะนี้
มีรายงานว่าทีมนักวิจัยของไอบีเอ็ม (ประเทศอินเดีย) กำลังพัฒนาโพรโทคอล HSTP (Hyperspeech Transfer Protocol) ที่ทำให้สามารถใช้งานเว็บด้วยเสียงพูดผ่าน voice application ต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือได้ จุดประสงค์หลักเพื่อใช้กับการเล่นอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยมีหลักการทำงานเหมือนโพรโทคอล HTTP นอกจากนี้ทางผู้พัฒนายังหวังว่า HSTP จะช่วยให้การทำธุรกรรมทางการเงินผ่านโทรศัพท์มือถือมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นอีกด้วย เช่น การชำระเงินด้วยบัตรเครดิตเมื่อสั่งซื้อสินค้าผ่านทางโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับยอดผู้ใช้โทรศัพท์มือถือเฉพาะที่ประเทศอินเดียปัจจุบันสูงถึง 360 ล้านคน และกำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้จะอยู่ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลกก็ตาม
ก่อนหน้านี้ นายเปเปอร์มาสเตอร์ เจ้าปัญหาสำหรับ IBM นั้นได้ถูกคำสั่งศาลไม่ให้ทำงานกับแอปเปิล เนื่องจาก IBM ได้อ้างว่าเขาผิดสัญญาการจ้างงานที่เคยทำไว้กับ IBM โดยการลาจาก IBM ไปหาคู่แข่ง
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถทำงานกับแอปเปิลได้แล้ว โดยเขาจะทำงานในตำแหน่ง Senior Vice President (รองประธานอาวุโส) ของหน่วย Devices Hardware Engineering ตั้งแต่วันที่ 24 เดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป โดยงานหลักของเขาส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการพัฒนาฮาร์ดแวร์เกี่ยวกับไอพ็อดและไอโฟนเป็นหลัก
บริษัท Alibaba ผู้นำธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของจีน ประกาศแผนก่อตั้งศูนย์ประมวลผลแบบกลุ่มเมฆเชิงพาณิชย์ โดยจะเริ่มสร้างศูนย์ดังกล่าวในต้นปีนี้ที่เมืองหนานจิง และคาดว่าจะใช้งบสำหรับช่วงเริ่มต้นประมาณ 100 ล้านหยวน ทั้งนี้ศูนย์ดังกล่าวจะให้บริการลูกค้าในประเทศด้วยบริการอย่าง บริการการประมวลผลออนไลน์ (อาจจะเป็นแบบ Amazon EC2) และการจัดเก็บข้อมูลออนไลน์ นอกจากนี้ Alibaba ยังมีแผนก่อตั้งศูนย์การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆเพิ่มที่เมืองอื่นๆในภายภาคหน้า
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ IBM Blue Gene/P ที่ศูนย์วิจัยอาร์กอนน์ติดอันดับ 5 ใน TOP500 ครั้งล่าสุด นอกเหนือพลังประมวลผลที่มากถึง 450.30 เทราฟลอปแล้ว ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ระบบนี้ยังช่วยประหยัดค่าไฟต่อปีได้มากกว่าหนึ่งล้านเหรียญ (เมื่อเทียบกับระบบที่มีสมรรถนะการประมวลผลเท่าๆกัน) สำหรับเคล็ดลับของความสำเร็จนี้ เกิดจากการออกแบบสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์และสร้างระบบทำความเย็นที่มีประสิทธิภาพ
เราได้รู้จัก Roadrunner กับ Jaguar ซูเปอร์คอมพิวเตอร์สองระบบที่มีพลังประมวลผลระดับเพตาฟลอป (PetaFLOPS) ไปแล้ว [ข่าวเก่า] สำหรับข่าวนี้ ผมขอนำเสนอโครงการใหญ่ของไอบีเอ็ม ที่กำลังพัฒนาซูเปอร์คอมพิวเตอร์อีกระบบในนามว่า Blue Waters โดยในขณะที่ Roadrunner แชมป์ปัจจุบันมีพลังประมวลผลอยู่ที่ 1.1 เพตาฟลอป ทางไอบีเอ็มตั้งเป้าไว้ว่าจะทำให้ Blue Waters ประมวลผลได้เร็วกว่า Roadrunner อีกหลายเท่า
ผลการจัดอันดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงที่สุดในโลกครั้งที่ 32 จาก TOP500 ได้ประกาศไปแล้วว่า Roadrunner จากไอบีเอ็มยังคงครองแชมป์โลกไปอีกสมัย แต่ผลประกาศครั้งนี้ เราได้เห็นคู่ปรับคนสำคัญของ Roadrunner ที่น่าจับตามองนั่นคือ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จากบริษัท Cray Inc. รุ่น Cray XT หรือเป็นที่รู้จักกันในนามว่า Jaguar
เว็บไซต์ TOP500 ได้ทำการจัดอันดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงที่สุด 500 อันดับแรกของโลกครั้งใหม่หรือเรียกกันว่า TOP500 ครั้งนี้เป็นการจัดอันดับประจำเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2008 หรือครั้งที่ 32 โดยแชมป์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงที่สุดในโลกยังคงเป็น Roadrunner จากไอบีเอ็มเช่นเคย [ข่าวเก่า] สำหรับแชมป์ผู้ผลิตซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ติดอันดับใน TOP500 มากที่สุดในครั้งนี้ตกเป็นของเอชพี ทำให้ไอบีเอ็มแชมป์เก่าตกมาเป็นอันดับสอง
ปัญหายังไม่จบสำหรับแอปเปิล หลังจากที่นาย Tony Fadell ได้ลาออกจากแอปเปิลเพื่อจะได้มีเวลาดูแลครอบครัวได้มากขึ้น โดยตำแหน่งนี้ถูกนาย Mark Papermaster อดีตบุคคลสำคัญจาก IBM มาทำงานแทน
Papermaster นั้นได้มีทำการเซ็นสัญญากับ IBM ก่อนหน้านี้ว่าจะไม่ทำงานกับบริษัทคู่แข่งหลังจากการออกจาก IBM เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม โดยศาลเขตชั้นต้นนั้นได้มีคำสั่งคุ้มครอง IBM ไม่ให้นาย Papermaster ทำงานกับแอปเปิล (และบริษัทคู่แข่งอื่น ๆ) เนื่องจากการกระทำดังกล่าว เป็นการละเมิดข้อตกลงในสัญญา
ข่าวร้อนในวงการไอทีตอนนี้ ต้องยกให้เป็นข่าวของ นายมาร์ค เปเปอร์มาสเตอร์ อดีตรองประธานฝ่ายพัฒนาเทคโนโลยีไมโครโปรเซสเซอร์ของยักษ์ใหญ่สีฟ้าไอบีเอ็ม จากการที่เขายื่นใบลาออกจากไอบีเอ็มในวันที่ 21 ตุลาคม ปีนี้ เพื่อไปร่วมงานกับ สตีฟ จ็อบส์ ที่แอปเปิลในเดือนพฤศจิกายนนี้ สาเหตุที่เป็นข่าวใหญ่ขึ้นมาได้ เพราะไอบีเอ็มได้ฟ้องศาล ในกรณีที่เปเปอร์มาสเตอร์ขัดแย้งต่อสัญญา Non-compete Agreement ว่าด้วยเรื่องการห้ามมิให้เปเปอร์มาสเตอร์ไปทำงานกับบริษัทคู่แข่งหรือทำธุรกิจแข่งกับบริษัทไอบีเอ็ม แม้ว่าลาออกไปแล้ว ผู้ให้สัญญาจะต้องรักษาสัญญานี้อย่างน้อย 1 ปีนับจากวันที่ลาออก
ด้วยความร่วมมือระหว่างจีนและ IBM ได้เริ่มโครงการ The Forbidden City: Beyond Space and Time เพื่อเปิดให้คนทั่วไปได้ร่วมสำรวจวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของจีนด้วยโลกออนไลน์เสมือนแบบสามมิติของพระราชวังต้องห้าม นอกจากสำรวจพระราชวังต้องห้ามแล้ว ยังมีข้อมูลให้ความรู้ต่างๆ และสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร หรือผู้เข้าชมคนอื่นๆ ได้อีกด้วย
ยักษ์ใหญ่สีฟ้าไอบีเอ็ม (IBM) เปิดตัวศูนย์การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ (Cloud Computing Center) พร้อมกันถึง 4 แห่ง คือ เซาเปาโล ประเทศบราซิล, บังกาลอร์ ประเทศอินเดีย, โซล ประเทศเกาหลี, และฮานอย ประเทศเวียดนาม ทั้งนี้ ศูนย์ดังกล่าวสามารถให้บริการการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆให้กับระบบสารสนเทศของหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชน และไอบีเอ็มยังได้จ้างนักวิจัยกว่า 200 ตำแหน่ง พร้อมทั้งประกาศลงทุนด้วยงบถึง 100 ล้านเหรียญสำหรับการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง ไอบีเอ็มทุ่ม 300 ล้านตั้งศูนย์ข้อมูล 13 แห่ง
ในยุคนี้ ปัญหาโลกร้อนเป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันรณรงค์ สำหรับวงการไอทีเองก็มีหลายบริษัทต่างพากันชูผลิตภัณฑ์รักษ์โลกสีเขียวและเรียกติดปากกันว่า Green IT * ไม่เว้นแม้แต่วงการซูเปอร์คอมพิวเตอร์ซึ่งแต่เดิมต่างเน้นพลังในการประมวลผลที่กินไฟอย่างไม่เกรงใจธรรมชาติ มีอยู่รุ่นหนึ่งกินไฟมากจนทำให้ไฟตกกันทั้งประเทศได้เลย และการใช้ไฟฟ้าอย่างมหาศาลนี้ย่อมหมายถึงการปล่อย CO2 ต้นตอแห่งปัญหาโลกร้อนตามมาด้วย แต่ข้อมูลล่าสุดจาก Green500 ได้ชี้ให้เห็นว่านักออกแบบและพัฒนาซูเปอร์คอมพิวเตอร์บางรายให้ความสำคัญกับพลังประมวลผลที่คำนึงควบคู่ไปพร้อมกับการประหยัดพลังงานไฟฟ้า
Gartner รายงานว่ายอดส่งมอบเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 12.2% ในไตรมาสที่สองของปี 2008 โดย IBM, HP, Dell และ Sun ทำยอดขายรวมถึง 13.8 พันล้านดอลล่าห์สหรัฐ และมีจำนวนถึง 2.3 ล้านเครื่อง
ตามข้อมูลของ Gartner
IBM ทำยอดขายมาเป็นอันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดร้อยละ 31.2
HP อันดับสองด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดร้อยละ 27.6
Dell อันดับสามด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดร้อยละ 13
ถึงแม้ว่า Dell มาเป็นอันดับสามแต่เป็นผู้ขายที่มียอดจำหน่ายที่เติบโตเร็วที่สุดโดยเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วกว่า 15% ขณะเดียวกัน Sun ขายเครื่องเซิร์ฟเวอร์ ได้มากเป็นลำดับที่สี่ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดเพียง 11.8% ซึ่งลดลงถึง 7% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
เกิดอะไรขึ้นกับขาใหญ่อย่างซัน
ยักษ์ใหญ่สีฟ้าไอบีเอ็ม (IBM) ทุ่มทุน 300 ล้านเหรียญตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) รองรับบริการ Cloud Computing ถึง 13 แห่งภายในปีนี้ ด้วยวัตถุประสงค์หลักเพื่อรับมือกับภัยพิบัติหรือเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงที่อาจทำให้ศูนย์ข้อมูลแห่งใดแห่งหนึ่ง (หรือหลายแห่ง) เสียหายได้
Mike Riegel รองประธานไอบีเอ็มให้สัมภาษณ์ว่า "เมื่อไหร่ก็ตามที่คอมพิวเตอร์ของลูกค้าล่ม หรือศูนย์ข้อมูลถูกทำลาย ข้อมูลที่เสียหายไปนั้นจะถูกกู้คืนกลับมาภายใน 2 - 6 ชั่วโมง" โดยศูนย์ข้อมูลทั้ง 13 แห่งจะเริ่มก่อสร้างภายในปีนี้ถึง 10 ประเทศ ได้แก่ จีน, ญี่ปุ่น, ตุรกี, โปแลนด์, ฝรั่งเศส, และสหรัฐอเมริกา
ช่วงเปลี่ยนไตรมาสเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปรกติที่บริษัทต่างๆ ต้องออกมาแถลงตัวเลขขาดทุน/กำไรให้กับผู้ถือหุ้นกัน
เริ่มจากกูเกิลกันก่อน ที่ไตรมาสนี้เติบโตขึ้นมาร้อยละ 39 รายได้รวม 5.37 พันล้านดอลลาร์ แต่กำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 คิดเป็น 4.63 ดอลลาร์ต่อหุ้น ผิดจากประมาณการที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 4.74 ดอลลาร์ต่อหุ้น ทำให้หลังการแถลงราคาหุ้นก็ตกลงไปร้อยละ 8
ไมโครซอฟท์ยังคงทำได้ดีต่อไป โดยไตรมาสที่ผ่านมาเป็นไตรมาสที่สี่ของปีงบประมาณของไมโครซอฟท์ ผลกำไรที่เติบโตขึ้นร้อยละ 42 ไปอยู่ที่ 4.3 พันล้านดอลลาร์เทียบกับ 3 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว ส่วนรายได้นั้นอยู่ที่ 15.8 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับ 13.4 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
[RoadRunner](http://www.lanl.gov/roadrunner/ roadrunner) เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดในโลกในปัจจุบันได้ทะลุขีดจำกัดความเร็วไปที่ 1.026 petaflop/s โค่นแชมป์เก่า Blue Gene/L ซึ่งมีประสิทธิภาพที่ 478.2 teraflop/s ตกไปอยู่อันดับสอง
อันดับคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงที่สุดในโลกใกล้ได้เวลาเปลี่ยนแล้ว จากเดิมที่ Blue Gene/L ของไอบีเอ็มครองแชมป์มาได้หลายสมัย ไอบีเอ็มเจ้าเดิมกำลังสร้าง Roadrunner ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ ซึ่งมีพลังคำนวณทะลุหลัก 1.6 PetaFLOPS ไปเรียบร้อยแล้ว (Blue Gene/L ได้สูงสุดประมาณ 600 TeraFLOPS) โดยมีซีพียูส่วนหนึ่งเป็น Cell ที่พัฒนามานาน
รายละเอียดทางเทคนิคที่น่าสนใจคือ Roadrunner เป็น blade server แบบใหม่ที่เรียก TriBlade (แต่ข้างในดันมี blade 4 อัน) ซึ่งประกอบด้วย