Facebook กำลังทยอยออกอัพเดตใหม่ v34 ให้กับผู้ใช้ Oculus Quest อัพเดตนี้มาพร้อมฟีเจอร์ Space Sense ระบบที่จะทำงานร่วมกับ Guardian System ที่ให้ผู้เล่นตั้งค่าบริเวณที่จะใช้เล่น VR ได้
Space Sense ช่วยไฮไลท์วัตถุที่เข้ามาในบริเวณการเล่น (Guardians bound) ของผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก สัตว์เลี้ยง หรือเก้าอี้ที่ถูกเลื่อน โดยจะไฮไลท์เป็นขอบสีชมพูเรืองแสง แม้จะเล่นเกมอยู่ มีระยะการทำงาน 9 ฟุต สามารถเข้าไปเปิดได้ในการตั้งค่าส่วน “Experimental Features” หลังอัพเดตเป็น v34 แล้ว
Meta AI (หรือ Facebook AI เดิม) ร่วมมือกับมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon สร้างเซ็นเซอร์รับสัมผัส (tactile sensor) ในชื่อ ReSkin ที่สามารถสร้างได้ง่าย ราคาถูก เปิดทางให้หุ่นยนต์ราคาถูกสามารถรับรู้แรงกดและทำงานประณีต เช่นการจับวัตถุบอบบางได้
ทีมวิจัยระบุว่า ReSkin นั้นสร้างได้ในราคาเพียง 200 บาทต่อชุดเมื่อผลิตทีละ 100 ชุด โครงสร้างของเซ็นเซอร์อาศัยแผ่น Elastomer ประกบอยู่กับเซ็นเซอร์ด้านล่าง โครงสร้างแบบนี้ทำให้ตัววงจรแยกออกจากตัว "ผิว" และการซ่อมบำรุงเมื่อผิวชำรุดก็เพียงลอกออกเท่านั้น ตัวเซ็นเซอร์มีความหนา 3 มิลลิเมตร สามารถอ่านค่าแรงกดได้ 400 ครั้งต่อวินาที ตัวผิวมีความทนทานประมาณ 50,000 ครั้ง
สำนักข่าว CNBC เปิดเผยที่มาของแนวคิด Metaverse ว่ามาจาก Jason Rubin ผู้บริหารของ Oculus เขียนเอกสารภายในชื่อ "The Metaverse" เป็นสไลด์ความยาว 50 หน้าเมื่อปี 2018 กระตุ้นให้บอร์ดบริหารของ Facebook ต้องคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง
Jason Rubin เป็นผู้ร่วมก่อตั้งสตูดิโอ Naughty Dog ในปี 1986 และโด่งดังในฐานะผู้สร้างเกม Crash Bandicoot เขาลาออกจาก Naughty Dog ในปี 2004 แล้วไปทำงานกับ THQ เป็นเวลาสั้นๆ ก่อนมาร่วมงานกับ Oculus ในปี 2014 จนถึงปัจจุบัน (ตำแหน่งปัจจุบันคือ VP Metaverse Content)
วิสัยทัศน์ของ Rubin วาดภาพ metaverse ออกมาเป็นการใช้ชีวิตในเมืองเสมือนจริง แต่งตัวอวตารของตัวเองได้ มีสกุลเงินเสมือน และเมื่อเจอกับคนอื่นที่น่าสนใจก็สามารถแต่งงานกันได้
Meta หรือ Facebook เก่า เริ่มลุยงาน Metaverse ด้วยการเข้าซื้อบริษัท Within ผู้สร้างแอป Supernatural แอปเกมฟิตเนสที่ใช้แว่น VR สวมให้เหมือนเรากำลังออกกำลังกายอยู่ในอีกโลกหนึ่ง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ Within มาช่วยปรับปรุงฮาร์ดแวร์ใน Meta's Reality Labs เพื่อรองรับแอปฟิตเนส VR ในอนาคต
นอกจาก Project Cambria ที่เป็นแว่น VR ระดับสูง Mark Zuckerberg ยังพูดถึงแว่นต้นแบบอีกตัวคือ Project Nazare เป็นแว่น AR ลักษณะคล้ายแว่นติดกล้อง Ray-Ban Stories ที่เปิดตัวไปแล้ว แต่เป็นแว่น AR สมบูรณ์แบบคือแสดงภาพบนจอแว่นได้ด้วย
ตอนนี้ยังไม่มีภาพของ Project Nazare ให้ดูกัน แต่มีสาธิตภาพที่มองเห็นผ่านแว่น จะเป็นการแสดงกราฟิกขึ้นมาทับบนโลกจริง (เหมือน HoloLens) เพื่อให้ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ผ่านเกมโซเชียลร่วมกันได้
Facebook โชว์ภาพแว่นโค้ดเนม Project Cambria ซึ่งเป็นแว่นรุ่นใหม่ระดับไฮเอนด์ มีฟีเจอร์ระดับสูงอย่าง social presence, color Passthrough, pancake optics รวมถึงการเชื่อมต่อกับ Presence Platform มี passthrough API สำหรับนำภาพวัตถุภายนอกมาแสดงในแว่น (ลักษณะเหมือน HoloLens ของไมโครซอฟท์)
Facebook ประกาศชัดว่า Project Cambria ไม่ใช่ Oculus Quest 3 แต่จับอีกตลาดที่เทคโนโลยีสูงกว่านั้น ราคาแพงกว่า และเป็นแว่นที่เปิดโลกสู่ metaverse ตามวิสัยทัศน์ของบริษัท กำหนดการเปิดตัว Cambria บอกคร่าวๆ แค่ว่าปีหน้า 2022
ยังอยู่ที่ข่าว Facebook เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta เพื่อสะท้อนวิสัยทัศน์ว่าบริษัทต้องการไปไกลกว่าการเป็นโซเชียลมีเดีย มุ่งสู่โลกเสมือนหรือ Metaverse โดยตัวย่อในการซื้อขายหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แนสแดค จะเปลี่ยนจาก FB เป็น MVRS มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2021 เป็นต้นไป ส่วนโครงสร้างการเงินยังคงเหมือนเดิม
กรณีนี้อาจเทียบได้ว่าคล้ายกับกรณีของกูเกิล ที่ปรับโครงสร้างบริษัทโดยตั้งโฮลดิ้ง Alphabet ขึ้นมา และให้กูเกิลเป็นบริษัทย่อยในนั้น แต่ตัวย่อหุ้นของกูเกิลยังใช้ GOOG เหมือนเดิม และจำนวนหุ้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง
เรื่องชื่อบริษัทมีผลมากจริงๆ จากการที่ Facebook รีแบรนด์เป็น Meta ส่งผลให้หุ้นบริษัทอื่นที่ใช้ชื่อเดียวกันขึ้นด้วย โดย Meta Materials บริษัทเทคโนโลยีด้านวัสดุในแคนาดาหุ้นขึ้น โดยหลังจากปิดการซื้อขายในวันพฤหัสบดี หุ้นของ Meta Materials ซึ่งซื้อขายภายใต้ชื่อ MMAT เพิ่มขึ้นมากถึง 25%
Bloomberg ไปเจอรูปหลุดที่คาดว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Meta หรือในชื่อบริษัทเก่าว่า Facebook เป็นนาฬิกาอัจฉริยะที่มาพร้อมติ่งกล้องบนหน้าปัดนาฬิกาเลย โดย Bloomberg ไปเจอรูปนี้จากแอปพลิเคชันที่ใช้งานร่วมกับ Ray-Ban Stories หรือแว่นตาอัจฉริยะที่เปิดตัวมาก่อนหน้านี้
Mark Zuckerberg ให้สัมภาษณ์กับ The Verge ถึงการเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก Facebook เป็น Metaverse นอกจากเหตุผลเรื่องวิสัยทัศน์ใหม่ที่ไปไกลกว่าโซเชียลแล้ว มีประเด็นอื่นที่น่าสนใจดังนี้
สอดคล้องกับการเปลี่ยนชื่อบริษัท Facebook เป็น Meta บริษัทก็ประกาศเลิกใช้แบรนด์ Oculus และเปลี่ยนมาใช้แบรนด์ Meta แทน
Andrew Bosworth หัวหน้าฝ่าย AR/VR ที่เรียกว่า Facebook Reality Labs ประกาศแนวทางการเปลี่ยนชื่อแบรนด์ดังนี้
เฟซบุ๊กประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ว่าจะเป็นบริษัทสำหรับให้บริการโลกเสมือน (metaverse) ที่มีบริการอื่นๆ นอกจากสื่อสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊ก โดย Mark Zuckerberg ระบุว่าคำว่า meta มาจากภาษากรีกที่แปลว่า "ไกลไปกว่า" (beyond) และบริษัทเฟซบุ๊กเองก็กำลังไปไกลกว่าข้อจำกัดของหน้าจอ หรือข้อจำกัดของระยะทาง
แนวทางการเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta ยังแปลว่าบริการอื่นๆ ไม่ต้องผูกกับเฟซบุ๊กเสมอไป บริการใหม่ๆ หลังจากนี้จะไม่ต้องการบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กเพื่อใช้งาน
ตอนนี้เฟซบุ๊กจดโดเมน meta.com ไว้แล้วแต่ยังไม่ได้ทำอะไรนอกจาก redirect เข้าไปยังเฟซบุ๊กเฉยๆ
เว็บไซต์ Platformer ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในประเด็นข่าวลือว่า Facebook จะเปลี่ยนชื่อบริษัท ว่าตอนนี้ Mark Zuckerberg ยังไม่ตกลงใจว่าจะเลือกชื่ออะไรดี ส่วนช่วงเวลาประกาศชื่อใหม่เป็นไปได้ตั้งแต่วันจันทร์หน้า (25 ต.ค.) ซึ่งเป็นการแถลงผลประกอบการประจำไตรมาส ไปจนถึงงาน Oculus Connect ในวันพฤหัสหน้า (28 ต.ค.)
ไอเดียเรื่องการเปลี่ยนชื่อบริษัท Facebook มีมานานตั้งแต่ปี 2016 โดย Antonio Lucio อดีตหัวหน้าฝ่ายการตลาด (CMO) ในเวลานั้น ที่อยากเปลี่ยนชื่อบริษัทให้ต่างจากชื่อบริการ แต่ไอเดียนี้ไม่ได้รับการตอบรับ
Facebook ประกาศตั้งทีม Metaverse Product Group ทำคอนเทนต์โลกเสมือนจริง ประกอบด้วยทีมย่อยคือ Horizon โซเชียลแบบ VR และทีมคอนเทนต์ที่ดึงมาจาก Facebook Gaming
หัวหน้าทีม Metaverse คือ Vishal Shah ที่ปัจจุบันเป็นผู้บริหารของ Instagram โดยจะขึ้นตรงกับ Andrew Bosworth หัวหน้าฝ่าย AR/VR ของ Facebook อยู่แล้ว
Bosworth บอกว่า Facebook มีทีมฮาร์ดแวร์อย่าง Oculus และ Portal ที่ย้ายตัวเราไปอยู่ในห้องเสมือนจริงร่วมกับคนอื่นๆ อยู่แล้ว แต่ยังขาดการสร้างประสบการณ์ที่ต่อเชื่อมพื้นที่เหล่านี้เข้าด้วยกัน เพราะสุดท้ายแล้ว การเคลื่อนย้ายตัวเองในโลกเสมือน ต้องง่ายในลักษณะเดียวกับการเดินข้ามห้องในโลกกายภาพจริงๆ