จากข่าวใหญ่เมื่อปลายสัปดาห์ที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฟ้องแอปเปิล ว่ามีพฤติกรรมผูกขาดทางการค้านั้น อาจใช้เวลาในการสอบสวนและคงมีข้อมูลออกมาเพิ่มเติมเป็นระยะ อย่างไรก็ตามในสำนวนการฟ้องนั้น กระทรวงยุติธรรมสหรัฐระบุหลายประเด็นที่มองว่าแอปเปิลพยายามผูกขาดธุรกิจ บางประเด็นผู้อ่านก็อาจพยักหน้าเห็นด้วยได้ไม่ยาก แต่บางประเด็นก็อาจขมวดคิ้วสงสัยแทน
หัวข้อหนึ่งที่สื่อในอเมริกาหยิบมาตั้งคำถามว่าการฟ้องร้องนี้ เป็นการหยิบหลายเรื่องมาผสมกันเกินไป ก็คือการบอกว่า CarPlay ระบบเชื่อมต่อหน้าจอ iPhone กับหน้าจอรถยนต์ เป็นความพยายามของแอปเปิลในการผูกขาดระบบควบคุมของอุตสาหกรรมรถยนต์
Mark Gurman แห่ง Bloomberg รายงานข้อมูลแอปเปิลในจดหมายข่าวประจำสัปดาห์ Power On คราวนี้ว่าด้วย CarPlay แพลตฟอร์มเชื่อมต่ออุปกรณ์ iOS กับรถยนต์
โดยหลังจากแอปเปิลประกาศยกเลิกโครงการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับไปก่อนหน้านี้ ทำให้ CarPlay จึงเป็นพื้นที่สุดท้ายที่แอปเปิลเหลืออยู่ในวงการรถยนต์ตอนนี้ จึงคาดว่าแอปเปิลจะกลับมาโฟกัสที่ CarPlay มากขึ้น แต่ปัญหาใหญ่คือคู่แข่งทางตรงอย่าง Android Auto ได้ก้าวนำไปก่อนแล้วด้วยการพัฒนา Android Automotive ที่เป็นระบบปฏิบัติการติดตั้งมาในรถยนต์เลย
หากยังจำกันได้ Apple เคยเปิดตัว Apple CarPlay ที่ปรับเปลี่ยนหน้าตาใหม่ทั้งหมดไปในงาน WWDC 2022 และบอกว่าจะพร้อมให้ใช้งานในปี 2024
ล่าสุดข้อมูลจาก iOS 17.4 เวอร์ชันเบต้ามีผู้ใช้งานพบภาพไอคอนแอป และการตั้งค่าใหม่ ๆ ของ CarPlay ที่อาจเป็นการใบ้ว่า CarPlay 2.0 อาจปล่อยให้ใช้งานภายในปีนี้ตามที่ Apple บอกไว้
จากการประกาศเปิดตัว iOS 17 ในงาน WWDC 2023 ที่ผ่านมา นอกจากฟีเจอร์หลักๆ ที่พูดบนเวที ยังมีฟีเจอร์ย่อยๆ ใหม่ที่ Apple ไม่ได้พูดถึงอีกจำนวนมาก และที่น่าสนใจก็มี
ผู้ใช้สามารถเลือกรูปภาพทั้งจาก Photos หรือ Safari หรือแม้แต่แหล่งอื่น ๆ เพื่อสร้างสติกเกอร์เองได้ โดยกดค้างที่วัตถุที่ต้องการเพื่อแยกออกจากพื้นหลัง และเลือก Add Sticker โดยสามารถใช้เอฟเฟ็กต์กับรูปสติกเกอร์ที่เลือกได้ นอกจากนี้หากเลือกวัตถุจากภาพ Live Photos ก็จะสามารถทำให้สติกเกอร์นั้นเคลื่อนไหวได้อีกด้วย
จากข่าว GM ประกาศเลิกสนับสนุน CarPlay/Android Auto, เปลี่ยนไปใช้ Android Automotive ทำให้เว็บไซต์ 9to5mac สอบถามไปยังคู่แข่งเพื่อนร่วมชาติ Ford ว่ามีนโยบายนี้อย่างไร
คำตอบของ Ford คือจะยังสนับสนุน Apple CarPlay และ Android Auto ต่อไป เพราะเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้า EV เนื่องจากรถ EV บางยี่ห้อไม่มีฟีเจอร์นี้
บริษัทรถยนต์เครือ GM ประกาศว่าจะเลิกสนับสนุนระบบยิงมือถือขึ้นจอภาพรถยนต์ (phone projection systems) ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto ในรถยนต์รุ่นปี 2024 เพื่อไปใช้ระบบปฏิบัติการ Android Automotive ที่รันจากคอมพิวเตอร์ภายในรถยนต์แทน
รถยนต์ในเครือ GM เริ่มใช้ Android Automotive มาได้สักพักแล้ว เช่น GMC และ Cadillac ที่เริ่มในปี 2021 แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ GM ยืนยันว่าจะเลิกรองรับ CarPlay และ Android Auto ด้วย
WebEx ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ Move to Mobile สำหรับการย้ายอุปกรณ์ที่ใช้ในการประชุมจากเดสก์ท็อปไปยัง iPhone รวมทั้งรองรับใน CarPlay ด้วย
สถานการณ์ที่ยกตัวอย่างขึ้นมาเป็นแบบการทำงานไฮบริด เช่น เราเริ่มต้นการทำงานด้วยการประชุม WebEx จากที่บ้าน แต่ถึงเวลาต้องขับรถไปสำนักงาน เครื่องมือนี้จะช่วยย้ายการประชุมไปที่ iPhone และตัดการเชื่อมต่อจาก Mac ด้วยการสแกน QR Code จึงไม่มีสะดุด และเมื่อกำลังขับรถไปที่ทำงาน ก็สามารถใช้ CarPlay เปิดแอป WebEx เพื่อประชุมต่อได้เลยในโหมดเสียง และเมื่อถึงที่ทำงานก็สามารถสลับกลับมา WebEx ในอุปกรณ์อื่นได้อีกเช่นกัน
ชมตัวอย่างการใช้งานได้จากคลิปท้ายข่าว
ที่มา: WebEx
BMW แจ้งอย่างเป็นทางการว่า ผู้ซื้อ BMW ที่ผลิตในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2022 จะไม่สามารถใช้งาน Android Auto และ Apple CarPlay ได้ เนื่องจากบริษัทประสบปัญหาชิปขาดแคลน จนต้องเปลี่ยนซัพพลายเออร์ แต่ชิปที่ได้มากลับไม่รองรับ Android Auto และ Apple CarPlay ในตอนนี้
ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2020 ที่รถยนต์ของ BMW ไม่สามารถใช้สองฟีเจอร์ดังกล่าวได้ และการทำแบบนี้ BMW ยืนยันว่า ต้องการส่งมอบรถยนต์ให้ลูกค้าตามที่แจ้งไว้ โดยรถยนต์ที่ใช้ชิปดังกล่าวจะมีรหัสการผลิต 6P1 และส่งออกไปที่สหรัฐอเมริกา, ฝรั่งเศส, อิตาลี, สเปน และสหราชอาณาจักร
Oliver Blume ซีอีโอ Porsche กล่าวในงานแถลงข่าวกับสื่อมวลชนประจำปี โดยระบุว่าบริษัทกำลังเจรจาโครงการร่วมกับแอปเปิล ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาบางอย่างร่วมกันที่น่าตื่นเต้น แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดอื่นเพิ่มเติม
ถึงแม้ฟังแล้วอาจคิดไปถึงโครงการพัฒนารถยนต์อย่าง Apple Car แต่ Blume ก็บอกว่าโครงการร่วมมือกันนี้ ถือเป็นปกติอยู่แล้วระหว่างสองบริษัทนี้ และปลายปีที่ผ่านมาผู้บริหารของ Porsche ก็เดินทางไปเจรจาโครงการกับแอปเปิล
ปัจจุบันความร่วมมือของ Porsche กับแอปเปิล ก็คือ CarPlay และได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ ใส่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
รายงานนี้มาจาก Mark Gurman แห่ง Bloomberg คนเดิม โดยเขาอ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง ว่าแอปเปิลกำลังพัฒนาโครงการโค้ดเนม IronHeart เพื่อขยายความสามารถให้กับ CarPlay อินเทอร์เฟซที่ใช้ในรถยนต์ของแอปเปิลที่เชื่อมต่อกับ iOS โดยความสามารถตอนนี้เช่น เล่นเพลง แนะนำเส้นทาง โทรศัพท์
ข้อมูลบอกว่าคุณสมบัติใหม่ที่แอปเปิลกำลังพัฒนานั้น จะเข้ามาเชื่อมต่อการทำงานของรถยนต์มากขึ้น เช่น การควบคุมอุณหภูมิในห้องโดยสาร ปรับตั้งค่าเครื่องเสียงในรถ ตรวจสอบความเร็วในการขับขี่ ไปจนถึงปรับที่นั่งโดยสาร แนวทางการพัฒนานั้นจะคล้ายกับแอป Health และ Home นั่นคือแอปเปิลเป็นตัวกลางในการเก็บข้อมูล และให้อุปกรณ์ต่าง ๆ หรือซอฟต์แวร์ภายนอกเข้ามาอ่าน-เขียนข้อมูลนี้
ไมโครซอฟท์ประกาศฟีเจอร์ Microsoft Teams รองรับ Apple CarPlay ภายในเดือนนี้ ช่วยให้สามารถประชุมออนไลน์ (เฉพาะเสียง) ระหว่างขับรถ โดยไม่ต้องใช้งานสมาร์ทโฟน
Microsoft Teams ไม่ได้เป็นแอพประชุมออนไลน์รายแรกที่ใช้งานบน CarPlay ได้ เพราะ Zoom ทำมาก่อนตั้งแต่ปี 2018 โดยเป็นการคุยเฉพาะเสียงเช่นกัน
กูเกิลประกาศเพิ่มคุณสมบัติใน Google Maps สำหรับผู้ใช้ iOS ประกอบด้วย Apple Watch และ CarPlay มีรายละเอียดดังนี้
เริ่มที่ Apple Watch โดยแอปกลับมารองรับการทำงานบน watchOS อีกครั้ง (ถอดไปเมื่อหลายปีก่อน) ตัวแอปสามารถคำนวณระยะทาง-เวลา ในการเดินทางจากสถานที่ซึ่งบันทึกไว้ โดยสั่งผ่านแอปได้โดยตรง แต่หากเป็นเส้นทางอื่นต้องเริ่มจาก iPhone แอปจะเริ่มรองรับภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติใหม่ใน CarPlay โดยทำงานร่วมกับ CarPlay Dashboard สามารถแสดงผลแบบแยกส่วนหน้าจอ (Split View) ทำให้ใช้งานแผนที่ และควบคุมเพลงได้ในหน้าจอเดียวกัน เริ่มเปิดให้ใช้งานได้ในสัปดาห์นี้
จากข่าว BMW จะเริ่มคิดเงินค่าใช้งาน CarPlay ปีละ 80 ดอลลาร์ ล่าสุด BMW เปลี่ยนใจแล้ว ไม่คิดค่าใช้งาน CarPlay อย่างที่เคยประกาศไว้
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขของ BMW แตกต่างกันตามแต่ละประเทศ
Klaus Zellmer ประธานและซีอีโอรถยนต์ Porsche ในทวีปอเมริกาเหนือ ได้ขึ้นบรรยายในงานสัมมนา Automobility ที่ลอสแองเจลิสเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เปิดเผยสถิติน่าสนใจว่าด้วยลูกค้า Porsche กับสมาร์ทโฟนที่ใช้
เขาบอกว่าผลสำรวจพบว่าลูกค้า Porsche ในอเมริกานั้น 91% เลือกใช้ iPhone ขณะที่ลูกค้าที่จีน 80% ก็ใช้ iPhone เช่นกัน จึงเป็นเหตุผลว่ารถยนต์ Porsche เลือกใช้โซลูชันสำหรับผู้ใช้ iPhone ก่อน
อย่างไรก็ตามเขาบอกทิศทางเรื่องนี้กำลังจะเปลี่ยนไป เพราะผลสำรวจลูกค้า Porsche ในจีนพบว่า 40% เตรียมย้ายจาก iPhone ไปใช้ Android ด้วยจำนวนที่สูงเช่นนี้ เขายอมรับว่า Porsche ก็จำเป็นต้องมีระบบที่รองรับสิ่งที่ลูกค้ากำลังจะเปลี่ยนไปใช้เช่นกัน
ระบบอินโฟเทนเมนต์ในรถยนต์ Ford ใช้ชื่อว่า Ford SYNC ซึ่งออกรุ่นแรกมาตั้งแต่ปี 2007 และพัฒนามาเรื่อยๆ จนปัจจุบันอยู่ที่ SYNC 3 ซึ่งใช้มาเกือบห้าปีแล้ว ล่าสุด Ford เปิดตัว SYNC 4 ซึ่งจะเริ่มใช้จริงปีหน้า
Ford SYNC 4 จะรองรับ Android Auto และ Apple CarPlay แบบไร้สาย ทำให้ผู้ขับขึ้นรถมาก็เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนของตนได้ทันที นอกจากนี้รถยนต์บางรุ่นก็จะมีแป้นชาร์จมือถือไร้สายด้วย
หนึ่งในปัญหาของ Apple CarPlay และ Android Auto มักจะมาแต่ในเฉพาะรถยนต์รุ่นใหม่ๆ และก็ไม่ได้ถูกวางจำหน่ายหรือนำเข้ามา ทางแก้สำหรับคนที่อยากใช้งานคือซื้อหน้าจอแยกมาติดตั้งเอง
ล่าสุดโซนีเปิดตัวชุดเครื่องเสียง CarPlay Receiver รุ่น XAV-AX8000 พร้อมหน้าจอทัชสกรีนขนาด 8.95 นิ้ว รองรับทั้ง Apple CarPlay, Android Auto และ WebLink โดยเมาท์ของหน้าจอสามารถปรับได้ 3 แบบ ทั้งเอียงขึ้นลง (tilt) ปรับขยับเข้าออก (แนวราบ) และเลื่อนขึ้นลง (แนวตั้ง) มีปุ่มจริงมาให้ 8 ปุ่ม รองรับการเชื่อมต่อบลูทูธและสั่งงานด้วยเสียง ราคา 599.99 เหรียญ วางจำหน่ายปลายปีนี้
BMW USA ประกาศคิดค่าใช้งาน Apple CarPlay ในราคาปีละ 80 ดอลลาร์ (2,500 บาท) หรือจ่ายเหมาทีเดียว 20 ปีที่ราคา 300 ดอลลาร์ (9,300 บาท)
การเปลี่ยนแปลงนี้จะมีผลเฉพาะรถยนต์ใหม่รุ่นปี 2019 เป็นต้นไป และประกาศนี้ยังจำกัดเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกาเท่านั้น โดย BMW จะเว้นค่าธรรมเนียมสมาชิกให้ฟรีในปีแรกหลังซื้อรถ
ปัจจุบัน BMW ยังรองรับการเชื่อมต่อผ่าน CarPlay เพียงอย่างเดียว ยังไม่มี Google Android Auto หรือการเชื่อมกับ Amazon Alexa
ไม่กี่วันก่อนเพิ่งมีข่าวลือว่า Toyota ยอมติดตั้ง Android Auto มากับรถยนต์ของตน ล่าสุดเป็นฝั่ง Jaguar Land Rover ที่ชิงประกาศก่อนว่ารถยนต์ทุกรุ่นของทั้ง 2 ยี่ห้อที่มีอินโฟเทนเมนต์ระบบ InControl Touch Pro หรือ Touch Pro Duo จะมาพร้อมกับ Android Auto และ Apple CarPlay โดยเริ่มตั้งแต่รุ่นปี 2019
อย่างไรก็ตาม ออปชันนี้ไม่ได้มีให้ใช้ฟรีๆ โดยผู้ที่ต้องการใช้ต้องจ่ายเงินเริ่มที่ 280 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 9,000 บาท แล้วแต่รุ่น ส่วนรถยนต์รุ่นเก่าบางรุ่นก็มีให้อัพเดตเช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าระบบอินโฟเทนเมนต์ในรถรุ่นนั้นจะรองรับหรือไม่
Google Maps เวอร์ชัน iOS ออกอัพเดตล่าสุด โดยรองรับการทำงานร่วมกับระบบ CarPlay ของแอปเปิลแล้ว ทำให้ผู้ใช้ CarPlay สามารถเลือกใช้แผนที่ของ Google Maps ได้ จากเดิมที่ต้องใช้ Apple Maps เท่านั้น
กูเกิลบอกว่าคุณสมบัติหลักที่มี Google Maps ถูกนำมาใส่ใน CarPlay ครบถ้วน ทั้งข้อมูลเส้นทางจราจรปัจจุบัน, แนะนำเส้นทาง, ดาวน์โหลดแผนที่ออฟไลน์, จดจำสถานที่ซึ่งเดินทางไปกลับประจำ และอื่น ๆ
หากต้องการใช้ Google Maps บน CarPlay ตัวแอป Google Maps ต้องอัพเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุด 5.0 และใช้ iOS 12 ซึ่งเปิดให้เชื่อมต่อกับแผนที่จากนักพัฒนาภายนอกก่อน
ที่มา: Google Maps
Mazda เป็นค่ายรถลำดับท้ายๆ ที่ประกาศรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto โดยประกาศไว้ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2017 แล้วเงียบหายไปนานหนึ่งปีครึ่ง
ล่าสุด Mazda ประกาศแผนการอัพเดต CarPlay และ Android Auto แล้ว โดยจะเริ่มจาก Mazda 6 รุ่นปี 2018 ที่วางขายในอเมริกาเหนือ อัพเดตจะมาในเดือนกันยายน 2018 ผ่านเฟิร์มแวร์ของระบบแสดงผลข้อมูล Mazda Connect โดยลูกค้าต้องนำรถเข้าไปอัพเดตที่ศูนย์บริการ และไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ
Mazda ยังไม่ประกาศว่ารถยนต์รุ่นอื่นๆ รุ่นไหนบ้างที่จะได้อัพเดตตัวนี้ แต่ก็เป็นสัญญาณอันดีว่าในที่สุด Mazda ก็เริ่มทำตามที่สัญญาไว้แล้ว
WhatsApp อัพเดตเวอร์ชันล่สุด 2.18.20 บน iOS รองรับการเชื่อมต่อและแสดงผลผ่าน Apple CarPlay แล้ว โดยฟังก์ชันบน CarPlay จะเป็นไปตามข้อกำหนดของแอปเปิล คือเห็นข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน, ใช้ Siri อ่านข้อความและส่งข้อความผ่านเสียง
อย่างไรก็ตาม WhatsApp บน CarPlay จะไม่สามารถเลื่อนดูเลื่อนข้อความเก่าๆ ได้ ซึ่งก็น่าจะด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย
ที่มา - The Verge
ปัจจุบัน Apple Carplay ถูกนำไปติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถต่างๆ และ BMW ก็เป็นอีกบริษัทที่นำ Apple Carplay มาติดตั้ง โดยคิดราคา 300 เหรียญสหรัฐ เหมาจ่ายครั้งเดียวพร้อมกับอุปกรณ์นำทาง
แต่ปีนี้ BMW จะเปลี่ยนวิธีเก็บเงินจากเหมาจ่ายมาเป็นรายปี โดยปีแรกไม่คิดเงิน แต่ปีถัดไปคิดปีละ 80 เหรียญสหรัฐ ทาง Don Smith ผู้จัดการผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีของ BMW อ้างว่าจะช่วยให้ลูกค้ามีทางเลือกที่จะเปลี่ยนไปติดตั้งอุปกรณ์ระบบอื่น เช่น Android ได้ง่ายขึ้น
แม้ในปัจจุบัน ทาง BMW ยังไม่มีอุปกรณ์ Android Auto ติดตั้งมากับรถ แต่ก็มีข่าวว่า BMW เตรียมเสนออุปกรณ์ทางเลือก อย่าง Amazon Alexa และ Google Assistant เพื่อติดตั้งกับรถ BMW และ Mini ภายในปีนี้
หลังจาก Toyota ยืนกรานจะใช้ระบบ infotainment ของตัวเองมานานหลายปี ล่าสุดบริษัทก็ยอมแล้ว เมื่อเปิดตัวรถยนต์ Toyota Avalon รุ่นปี 2019 ที่จะรองรับ Apple CarPlay และ Amazon Alexa ด้วย
Avalon เป็นรถยนต์นั่งซีดานขนาดใหญ่ที่ทำตลาดอเมริกาเหนือและตะวันออกกลาง (พอเทียบเคียงได้กับ Camry และ Lexus ของฝั่งบ้านเรา) สำหรับรถรุ่นปี 2019 จะรองรับ Apple CarPlay มาในตัว และสามารถเชื่อมต่อกับนาฬิกาสมาร์ทวอทช์ รวมถึงอุปกรณ์ที่มี Amazon Alexa เพื่อสั่งงานด้วยเสียง
สำหรับผู้ที่ใช้ Android ยังใช้งานร่วมกับ Toyota Avalon ได้ แต่ต้องผ่านแอพ Alexa เพราะไม่สนับสนุน Android Auto โดยตรง
ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลว่า รถยนต์ Toyota รุ่นอื่นๆ จะรองรับ CarPlay อีกเมื่อไร
บริษัทรถยนต์ Ford อัพเดตความสามารถ Android Auto และ Apple CarPlay ให้รถยนต์รุ่นเก่าของปี 2016 โดยถือเป็นการอัพเดตผ่าน OTA เป็นครั้งแรกของบริษัทด้วย
Ford เริ่มใช้งาน Android Auto และ Apple CarPlay กับรถยนต์รุ่นปี 2017 อยู่แล้ว แต่คราวนี้ก็ใจดี อัพเดตความสามารถย้อนหลังให้รถยนต์ปี 2016 ด้วยเช่นกัน
รถยนต์ที่เข้าข่ายจะต้องมีระบบแสดงผลข้อมูล Ford SYNC 3 โดยมีวิธีการอัพเดตให้เลือก 3 ทางคือ 1) นำรถยนต์เข้ารับบริการที่ศูนย์ตัวแทน 2) ดาวน์โหลดเฟิร์มแวร์ใส่ USB drive แล้วนำไปเสียบที่รถ 3) ตั้งค่ารถยนต์ให้เชื่อมต่อ Wi-Fi แล้วดาวน์โหลดตรงแบบ OTA ได้เลย
Mazda เป็นหนึ่งในค่ายรถรายใหญ่เพียงไม่กี่ค่าย ที่ยืนหยัดใช้ระบบ infotainment ของตัวเอง และไม่รองรับการเชื่อมต่อกับ Android Auto/Apple CarPlay สักที
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด Mazda USA ให้ข้อมูลกับเว็บไซต์ Cars.com ว่าจะเพิ่มฟีเจอร์ Android Auto/CarPlay แล้ว แต่ยังไม่ระบุช่วงเวลาและรถยนต์รุ่นที่จะได้ใช้งาน อย่างไรก็ตาม ข่าวดีคือ Mazda ระบุว่าสามารถอัพเกรดระบบ Mazda Connect ในปัจจุบันให้รองรับฟีเจอร์ใหม่ๆ เหล่านี้ได้ด้วย แปลว่าลูกค้า Mazda ที่ซื้อรถยนต์ไปแล้วก็ "มีโอกาส" ได้ใช้งาน
การประกาศของ Mazda ครั้งนี้ ส่งผลให้ค่ายรถใหญ่ค่ายเดียวที่ยังไม่รองรับระบบเหล่านี้คือ Toyota