The Walt Disney Company
Disney+ ในสหรัฐยกเลิกการทดลองให้ใช้งานฟรี 7 วันแล้วหลังเปิดให้บริการมาแค่ 7 เดือนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ขณะที่จำนวนสมาชิกตอนนี้อยู่ที่ 54.5 ล้านคนเข้าไปแล้ว ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างเร็ว
ด้าน Disney ชี้แจงว่ากำลังทดสอบการตลาดและโปรโมชันรูปแบบต่าง ๆ สำหรับ Disney+ อยู่ ขณะที่ค่าบริการของ Disney+ ก็ค่อนข้างถูกและคุ้มค่าเมื่อเทียบกับคอนเทนท์ ดังนั้นบริษัทจึงคิดว่าตัว Disney+ ค่อนข้างดึงดูดในตัวมันเองอยู่แล้ว
ดิสนีย์เปิดรับสมัครงานในตำแหน่ง Senior Manager, Manager และ PR & Communications ของ Disney+ โดยรับผิดชอบในตลาดอาเซียน ทำงานที่สิงคโปร์
ดิสนีย์ประกาศ Kevin Mayer ผู้บริหารฝ่ายสตรีมมิ่งดิสนีย์ ได้ลาออกไปรับตำแหน่งใหม่คือ ซีอีโอ TikTok และตำแหน่ง ซีโอโอ ByteDance เจ้าของ TikTok ด้วย
โดย ByteDance เจ้าของ TikTok ระบุว่า Mayer จะมาดูแลงานหลักของบริษัท ไม่ว่าจะเป็น ขับเคลื่อนการพัฒนาทั่วโลก ดูแลเรื่องการปฏิบัติการในต่างประเทศ เรื่องกฎหมาย ความปลอดภัย รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เกม เพลง และธุรกิจใหม่ๆ ของ TikTok โดยเขาจะเร่ิมงานใหม่ที่ TikTok วันที่ 1 มิถุนายนนี้
Disney+ ประกาศความสำเร็จหลังเปิดตัวในอินเดีย และ 8 ประเทศในยุโรปคือ สหราชอาณาจักร, ไอร์แลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, สเปน, ออสเตรียและสวิตเซอร์แลนด์ มาได้ 3 สัปดาห์ พบว่ามียอดผู้ใช้งานเกิน 50 ล้านรายแล้ว
ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา Disney+ ประกาศว่าในไตรมาสแรกของปี ได้ยอดผู้ใช้งานมา 26.5 ล้านราย และในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ มียอดผู้ใช้งาน 28.6 ล้านราย เท่ากับว่าการเปิดตัวในตลาดใหม่ช่วยดันยอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว
Disney นำภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ช่วงปลายปี 2019 สองเรื่องคือ Frozen 2 และ Star Wars: The Rise of Skywalker มาฉายบนแพลตฟอร์มดิจิทัลเร็วกว่ากำหนดเดิม
Frozen 2 เริ่มมาขาย/ให้เช่าบนแพลตฟอร์มดูหนังออนไลน์อย่าง Apple TV, Google Play, Amazon มาได้สักพักแล้ว ล่าสุดเปิดให้ชมฟรีบน Disney+ บริการสตรีมมิ่งของ Disney เอง เร็วกว่ากำหนดเดิมถึง 3 เดือน (กำหนดเดิมคือ 26 มิถุนายน)
ส่วน Star Wars: The Rise of Skywalker ก็นำมาขายบน Apple TV, Google Play, Amazon แล้วเช่นกัน เร็วกว่ากำหนดเดิม 17 มีนาคมเล็กน้อย
Disney อธิบายเหตุผลที่ดัน Frozen 2 มาฉายเร็วกว่ากำหนดว่า ต้องการให้ครอบครัวมีความสุขในช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างตอนนี้
ดิสนีย์ประกาศการเปลี่ยนของตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง โดย Bob Chapek ประธานฝ่าย Disney Parks, Experiences and Products (คนขวาในภาพ) จะขึ้นเป็นซีอีโอคนใหม่ลำดับที่ 7 ของบริษัท มีผลทันที ส่วนซีอีโอเดิม Bob Iger จะรับตำแหน่งประธานฝ่ายบริหาร ดูแลเฉพาะงานด้านความคิดสร้างสรรค์อย่างเดียว ซึ่งเขาจะรับตำแหน่งนี้ในช่วงส่งต่องานจนถึงสิ้นปี 2021
Iger ประกาศเตรียมลาออกจากตำแหน่งมาระยะหนึ่งแล้ว โดยเขาบอกว่าหลังเปิดตัวบริการ Disney+ และควบรวมกิจการกับ 21st Century Fox สำเร็จ ก็เป็นเวลาที่เหมาะสมในการส่งต่อตำแหน่งซีอีโอ
ดิสนีย์เปิดเผยจำนวนผู้ใช้งานบริการสตรีมมิ่ง Disney+ อย่างเป็นทางการครั้งแรกในการรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส หลังเริ่มให้บริการเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยมีผู้สมัครใช้งาน 26.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากวันแรกที่มีผู้สมัครใช้งาน 10 ล้านคน
ซีอีโอ Bob Iger บอกว่า 20% ของผู้สมัครใช้งาน เป็นการสมัครทดลองใช้งานฟรี 12 เดือน ของลูกค้า Verizon ขณะที่ประมาณครึ่งหนึ่งเป็นการสมัครใช้งานผ่านเว็บไซต์ของ Disney+ โดยตรง
ตัวเลขนี้มากหรือน้อยอาจเทียบได้กับบริการสตรีมมิ่งตัวอื่นของดิสนีย์เช่นกัน โดย ESPN+ มีผู้สมัครใช้งาน 6.6 ล้านคน ส่วน Hulu มี 30.4 ล้านคน
บริการสตรีมมิ่ง Disney+ ประกาศบุกยุโรปอย่างเป็นทางการ โดยประเทศชุดแรกคือ สหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี สเปน ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ เริ่มวันที่ 24 มีนาคมนี้ ค่าบริการรายเดือน 5.99 ปอนด์ หรือ 6.99 ยูโร
การเปิดบริการในยุโรปตะวันตกมาเร็วกว่ากำหนดเดิม 1 สัปดาห์ และมีจำนวนประเทศมากกว่าที่ประกาศไว้ตอนแรก
ดิสนีย์ยังประกาศว่าจะขยายจำนวนประเทศอีกครั้งช่วงกลางปี 2020 โดยครอบคลุมเบลเยียม โปรตุเกส และประเทศกลุ่มนอร์ดิกด้วย
เว็บไซต์ Hollywood Reporter รวบรวมความเห็นจากคนในวงการหนังที่คลุกคลีกับฮอลลีวูดมานาน รวมทั้งนักลงทุน ผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ รวมกว่า 40 ราย ในการคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2020 มีการคาดการณ์อนาคตสตรีมมิ่งด้วย โดยในข่าวนี้จะคัดเฉพาะที่น่าสนใจและเกี่ยวกับอนาคตวงการสตรีมมิ่งที่การแข่งขันจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในปี 2020 ที่จะถึงนี้
Amazon ร่วมมือกับ Disney เพื่อเปิดตัว Echo Wall Clock ใหม่ที่เป็นลายมิกกี้เมาส์ ซึ่งเป็นระบบเสริมกับผู้ช่วยอัจฉริยะ Alexa
ตัวนาฬิาก Echo Wall Clock ไม่มีลำโพงหรือไมโครโฟนในตัว แต่จะใช้ไฟแอลอีดีเพื่อระบุเวลาที่ผู้ใช้ตั้งผ่านอุปกรณ์ Alexa ชิ้นอื่น ๆ ตัวนาฬิกาสามารถติดตามนาฬิกาปลุก, การเตือนความจำ หรือการแจ้งเตือนได้ ส่วนการบอกเวลาจะใช้แขนมิกกี้เมาส์ชี้ไปรอบ ๆ นาฬิกา
Echo Wall Clock ใช้ถ่าน AA สี่ก้อนในการทำงาน โดยราคาอยู่ที่ 49.99 ดอลลาร์ หรือราว 1,500 บาท แพงกว่า Echo Wall Clock รุ่นธรรมดาที่ขายราคา 29.99 ดอลลาร์ แต่ก็ยังถูกกว่า Citizen ที่ราคา 79.99-89.99 ดอลลาร์
บริการสตรีมมิ่ง Disney+ เริ่มให้บริการในอเมริกาและอีกไม่กี่ประเทศไปแล้ว (อ่านรีวิว) โดยเตรียมขยายจำนวนประเทศที่ให้บริการเพิ่มเติมในวันที่ 31 มีนาคม ปีหน้า อย่างไรก็ตามคำถามที่หลายคนอยากทราบก็คือแล้วเมืองไทยจะมาเมื่อใด?
เว็บไซต์ TechCrunch อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง 2 ราย ระบุตรงกันว่าแผนเปิดตัว Disney+ ในต่างประเทศเพิ่มเติมนั้นวางไว้เป็น อินเดีย กับบางประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเริ่มให้บริการได้เร็วที่สุดในช่วงครึ่งหลังปี 2020 หรือปีหน้า
วันนี้เป็นวันแรกที่ Disney+ ให้บริการอย่างเป็นทางการวันแรกในสหรัฐและแคนาดา ผมอาศัยอยู่ในสหรัฐและทดลองใช้บริการไปบ้างแล้ว เลยนำมาฝากเล็กเป็นมินิรีวิวนี้
หน้าโฮมหน้าแรก จะคล้าย Netflix ตรงนี้เป็นแบนเนอร์ใหญ่โปรโมทคอนเทนท์ออนิจินัลที่เป็นเรือธงของ Disney+ แตกต่างตรงเพียงว่าเป็นภาพนิ่ง ไม่ใช่วิดีโอตัวอย่าง ตามมาแถบสตูดิโอของ Disney ให้ผู้ชมเลือกหมวดหมู่ได้ว่าจะค้นหาภาพยนตร์หรือซีรีส์จากค่ายไหน
ถึงแม้ Disney+ จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ 12 พฤศจิกายนนี้ แต่มีเพียงไม่กี่ประเทศที่ได้ใช้ในวันนั้น (สหรัฐ, แคนาดา, เนเธอร์แลนด์) และอีกอาทิตย์ต่อมาที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ประเทศนอกเหนือจากนี้ยังไม่มีกำหนดการออกมา
แต่ล่าสุดทางดิสนีย์ได้ออกมาประกาศว่าบริการ Disney+ จะเปิดให้บริการในอังกฤษ, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, อิตาลี, สเปน (และจะประกาศเพิ่มเติมเร็วๆนี้) ในวันที่ 31 มีนาคม 2020 และคอนเทนต์อาจจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศที่ให้บริการ
Google เปิดตัวลำโพงอัจฉริยะขนาดเล็ก Nest Mini ไปเมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ล่าสุดเผยฟีเจอร์น่าสนใจคือ เจ้า Nest Mini สามารถเล่านิทานจาก Frozen 2 ที่ตัวหนังกำลังจะเข้าโรงได้แบบเอ็กซ์คลูซีฟ
ผู้ใช้เรียกใช้งานด้วยการพูด Hey Google, tell me a Frozen story สามารถเลือกคาแรกเตอร์เสียงที่จะให้กูเกิลเล่าให้ฟังได้ นิทานเสียงจาก Nest Mini ยังมีเสียงเอฟเฟกต์เพิ่มความรู้สึกสมจริงระหว่างฟังนิทาน
กูเกิลระบุว่านอกจากนิทาน Frozen 2 จะมีเรื่องอื่นๆ ตามมาอีกในอนาคต
Bob Iger ซีอีโอดิสนีย์ให้สัมภาษณ์ NYT เป็นบทสัมภาษณ์ขนาดยาว หนึ่งในประเด็นพูดคุยที่น่าสนใจคือ ในปี 2017 ดิสนีย์เกือบจะเข้าซื้อทวิตเตอร์แล้ว แต่ตัวทวิตเตอร์เองมีความเสี่ยงสูงเกินไป
Iger บอกว่า ตัวแบรนด์ยังมีปัญหาและมีผลกระทบกับสังคมสูง เขาเล่าว่า เขาใช้ทวิตเตอร์เพื่อตามประเด็นที่อยากตามประมาณ 15-20 หัวข้อ แต่เมื่อดูการแจ้งเตือนของตัวเองแล้วก็รู้สึกว่า ทำไมฉันต้องทนกับสิ่งนี้ เขาเข้าใจว่าโซเชียลมีเดียมีทั้งด้านดีและไม่ดี ซึ่งเขาบอกว่าเขาไม่ต้องการรับเข้ามาในตอนนั้น
Bob Iger ซีอีโอดิสนีย์เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในหนังสืออัตชีวประวัติของเขาที่เตรียมวางจำหน่ายกับ Vanity Fair ตอนหนึ่งพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ Steve Jobs ผู้ก่อตั้งและอดีตซีอีโอแอปเปิล
Iger เข้ามาเป็นซีอีโอดิสนีย์ ในช่วงเวลาที่ Pixar บริษัทแอนิเมชั่นของ Jobs มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนักกับดิสนีย์ แต่เขาก็ได้เสนอทำดีลซื้อกิจการ Pixar ซึ่งทำให้ Jobs มาเป็นบอร์ดบริหารและหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของดิสนีย์ ซึ่งจากจุดนั้นทำให้ความสัมพันธ์ของสองผู้บริหารดีขึ้นและสนิทกันมาก
Disney ประกาศจับมือกับไมโครซอฟท์ในการนำกระบวนการผลิตหนังหลาย ๆ ขั้นตอน ทั้งในกระบวนการ Production และ Postproduction อย่างการตัดต่อ ลงเสียง เรนเดอร์ ฯลฯ ขึ้นไปบนคลาวด์ Azure โดยความร่วมมือนี้มีระยะเวลา 5 ปี
ความร่วมมือนี้ถูกผลักดันโดย StudioLAB ที่พัฒนาเทคโนโลยีด้านการสร้างหนังของ Disney มีเป้าหมายคือย้ายกระบวนการสร้างหนังทั้งหมดขึ้นไปไว้บนคลาวด์ (from scene to screen) โดยช่วงแรก ๆ จะเน้นไปที่การย้ายกระบวนการตัดต่อขึ้นไปบนคลาวด์ก่อน โดยอาศัยเครื่องมือจาก Avid ที่เป็นพาร์ทเนอร์กับไมโครซอฟท์อยู่แล้ว
ที่มา - Microsoft
แอปเปิลกับดิสนีย์ถือเป็นบริษัทที่มีความสัมพันธ์อันดีมายาวนาน นับตั้งแต่ดิสนีย์เริ่มเป็นผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ของ Pixar ที่ก่อตั้งโดยสตีฟ จ็อบส์ (และภายหลังดิสนีย์ซื้อ Pixar ทำให้จ็อบส์กลายเป็นผู้ถือหุ้นของดิสนีย์ด้วย) ในทางกลับกัน Bob Iger ซีอีโอของดิสนีย์ก็ได้รับคำเชิญจากแอปเปิลมาเป็นบอร์ดบริหารตั้งแต่ปี 2011
แต่เมื่อทั้งสองบริษัทเริ่มกลายมาเป็นคู่แข่งกันในสงครามวิดีโอสตรีมมิ่ง เพราะ Disney+ และ Apple TV+ อยู่ในสนามเดียวกัน ก็มีเสียงเรียกร้องให้ Iger ลาออกจากการเป็นบอร์ดของแอปเปิลตามมารยาท ซึ่งก่อนหน้านี้ Iger ก็ระบุว่าเขาต้องออกจากห้องประชุมบอร์ด หากบอร์ดมีวาระที่เกี่ยวข้องกับสตรีมมิ่ง
แอปเปิลแจ้งว่า Bob Iger ซีอีโอดิสนีย์ ได้ลาออกจากตำแหน่งบอร์ดบริหารของแอปเปิลแล้ว มีผลตั้งแต่วันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งแอปเปิลได้เปิดตัวรายละเอียดของบริการสตรีมมิ่ง Apple TV+ ในงานอีเวนต์เปิดตัว iPhone รุ่นล่าสุด บริการดังกล่าวจึงถูกมองว่าเป็นคู่แข่งกับบริการสตรีมมิ่ง Disney+ ของดิสนีย์
กรณีการลาออกของ Iger ก็คล้ายกับ Eric Schimdt ที่ลาออกจากบอร์ดแอปเปิล เมื่อกูเกิลเปิดตัว Chrome OS และ Android
เกมคลาสสิคยุค 16 บิตจากภาพยนตร์การ์ตูนของ Disney คือ Aladdin และ The Lion King ถูกนำมารีมาสเตอร์ลงแพลตฟอร์มเกมยุคใหม่แล้ว
เกม Aladdin เคยออกทั้งเวอร์ชัน Mega Drive และ Game Boy ซึ่งในการรีมาสเตอร์ครั้งนี้ มีให้เล่นทั้ง 2 เวอร์ชัน ส่วนเกม The Lion King ยังเพิ่มเวอร์ชัน Super Famicom (SFC) มาให้อีกหนึ่งด้วย
เกมถูกอัพเกรดกราฟิกเป็น HD แต่ก็ยังมีกราฟิกเวอร์ชันดั้งเดิมให้เลือกเล่น พร้อมฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่างการเลือกเล่นส่วนไหนของเกมก็ได้ และการ rewind ย้อนกลับการกระทำของเราที่อาจพลาดไปในฉากนั้น
เกมเวอร์ชันรีมาสเตอร์ใช้ชื่อว่า Disney Classic Games: Aladdin and The Lion King จะลงทั้ง PS4, Xbox One, Switch, PC ในวันที่ 29 ตุลาคมนี้ ราคาแบบแผ่นชุดละ 29.99 ดอลลาร์
บริการสตรีมมิ่ง Disney+ ยังคงเรียกความสนใจต่อเนื่อง ถ้าไม่นับจุดเด่นเรื่องคอนเทนต์ในสังกัด ราคาของ Disney+ ก็ถือว่าดึงดูด เพราะตั้งราคา 6.99 ดอลลาร์ต่อเดือน ถูกกว่า Netflix เกือบครึ่ง, ราคานี้ได้ 4K เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องจ่ายเพิ่มอีกแบบ Netflix และยังมีราคาแบบบันเดิลรวม ESPN+ และ Hulu ที่ 12.99 ดอลลาร์ต่อเดือน สำหรับคนที่ต้องการดูคอนเทนต์เยอะขึ้นด้วย
ล่าสุด Disney+ ยังทำราคาถูกเป็นพิเศษในช่วงเปิดตัว โดยลดราคาลงไปอีก 33% หากสมัครสมาชิกแบบยาว 3 ปี หารเฉลี่ยออกมาแล้วเหลือเพียง 3.92 ดอลลาร์ต่อเดือน (120 บาท) เท่านั้น
มีรายละเอียดเพิ่มเติมจากสตรีมมิ่ง Disney+ ที่ใกล้จะเปิดตัวเต็มที ว่าในราคา 12.99 ดอลลาร์นี้ รวมบริการ Hulu และ ESPN แล้ว เท่ากับว่าได้ดูคอนเทนต์สามเจ้าในราคาที่ถูกกว่า Netflix
นินเทนโดประเทศญี่ปุ่นเปิดตัวคอนโซล Nintendo Switch รุ่นพิเศษ ต้อนรับการมาของเกมซีรี่ส์ Disney Tsum-Tsum ภาคใหม่ในชื่อ Tsum-Tsum Festival ซึ่งมีกำหนดวางขาย 10 ตุลาคมเป็นต้นไป โดยตัวเครื่องมีลวดลายของคาแรกเตอร์จาก Tsum-Tsum พร้อม Joy-Con สีชมพูและม่วง
กิมมิคอีกอย่างก็คือตรงปุ่ม Home มีการเติมหูมิกกี้เมาส์เข้าไปด้วย
Tsum-Tsum Festival เป็นเกมที่ประกอบด้วยมินิเกมส์หลายอย่างบนคาแรกเตอร์ Tsum-Tsum นอกจากนี้ยังมีเกมพัซเซิล Tsum-Tsum แบบที่มีบนมือถือมาให้เล่นด้วย โดยสามารถหมุนเครื่องเล่นได้ในแนวตั้ง
ราคาขาย 36,080 เยน มีเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น และยังไม่มีข้อมูลว่าจะขายที่อื่นด้วยหรือไม่
Spotify เปิดตัวศูนย์รวมเพลงในจักรวาลดิสนีย์ รวมเพลงฮิตที่ทุกคนรู้จักดีอย่าง Let it Go ไปจนถึงเพลงซาวด์แทรคจากหนัง Star Wars และ Marvel เบื้องต้นจะยังฟังได้เฉพาะในสหรัฐฯ อังกฤษ ไอร์แลนด์ แอฟริกาใต้ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
ในงานเผยผลประกอบการของดิสนีย์ ไตรมาสสองปีนี้ ซีอีโอ Bob Iger ถือโอกาสนี้เปิดเผยว่า Avengers Endgame จะลงฉายใน Disney+ แบบเอ็กซ์คลูซีฟ 11 ธันวาคม
Disney+ จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการวันที่ 12 พ.ย.นี้ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าบนแพลตฟอร์มจะมีหนังจากสตูดิโอลูกของดิสนีย์ไม่ว่าจะเป็น Pixar รวมไปถึงสารคดีระดับโลกจาก National Geographic, จักรวาล Star Wars, Marvel และแน่นอนว่าต้องมี Avengers Endgame เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งตอนนี้หนังทำเงินทะลุ 2 พันล้านดอลล่าร์ไปเรียบร้อยแล้ว
ใน Disney+ ยังมีซีรีส์มาร์เวลที่จัดทำขึ้นชุดใหม่ด้วย คือ Falcon & Winter Soldier, WandaVision, Marvel’s What If…? (แอนิเมชัน), Loki (ซีรีส์)