เกิดเหตุขู่วางระเบิดสำนักงานของ Facebook ที่เมือง Menlo Park รัฐแคลิฟอร์เนีย ทำให้ตำรวจสั่งอพยพผู้เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่ชั่วคราว

ตึกที่โดนขู่วางระเบิดอยู่ใกล้กับสำนักงานใหญ่ของ Facebook โดยมีคนโทรไปขู่ที่ตำรวจนิวยอร์ก และตำรวจนิวยอร์กได้แจ้งเหตุไปยังตำรวจในพื้นที่ Menlo Park อีกทีหนึ่ง

เบื้องต้นตำรวจยังไม่พบวัตถุน่าสงสัยในพื้นที่

ที่มา - NBC

PyTorch ไลบรารี deep learning จากค่าย Facebook ออกเวอร์ชัน 1.0 stable แล้ว หลังออกเวอร์ชัน 1.0 dev มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และรุ่นพรีวิวก่อนตัวจริงเมื่อเดือนตุลาคม

PyTorch เป็นไลบรารีที่พัฒนาจาก Torch ที่ได้รับความนิยมในสายงานวิจัย แต่รองรับภาษา Python เป็นหลัก ทำให้ใช้งานง่ายกว่า Torch (ที่เขียนด้วย Lua เป็นหลัก) ทีมพัฒนาหลักของ PyTorch คือพนักงานของ Facebook และเป็นไลบรารีที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลัง โดยเป็นโครงการที่เติบโตเร็วเป็นอันดับสองบน GitHub (อันดับหนึ่งคือ Azure Docs)

ประเด็นสำคัญสุดท้ายที่เอกสาร Six4Three เผยแพร่คือเบื้องหลังประเด็นว่า Facebook แอบเก็บข้อมูล metadata ทั้งบันทึกโทรและข้อความจากสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี 2015 โดย Facebook รู้ตัวดีว่าการทำแบบนี้เป็นเรื่องเสี่ยงในแง่ PR แต่ทางทีม Growth ที่เน้นการเติบโตของผู้ใช้งาน ก็ยังยืนยันจะทำ แถมยังมองหาวิธีเก็บข้อมูลโดยไม่ให้ผู้ใช้งานรู้ตัว หรือไม่ต้องขอความยินยอมจากผู้ใช้ก่อน ด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงอย่างที่ PR กังวล ซึ่งภายหลังทีม Growth ก็ค้นพบช่องทางที่เข้าถึงสิทธิ Read Call Log โดยไม่ต้องขอ permission

Facebook ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ให้ Messenger Lite ซึ่งเป็นแอพแชท Messenger เวอร์ชันที่กินทรัพยากรน้อย โดยรอบนี้เพิ่มฟีเจอร์เล่นไฟล์ภาพ GIF ในตัว กับฟีเจอร์เปลี่ยนสีและอีโมจิในหน้าต่างการสนทนาได้

ฟีเจอร์แรกคือ GIF ภายใน Messenger Lite จากเดิมที่ไฟล์ภาพ GIF บน Messenger Lite นั้นไม่เคลื่อนไหว ล่าสุด Facebook ได้ปรับให้ GIF เคลื่อนไหวแบบที่ควรจะเป็นแล้ว แต่อย่างไรก็ดี Facebook ก็ยังไม่ได้เพิ่มฟีเจอร์ค้นหาไฟล์ภาพ GIF ให้ แต่แนะนำให้ใช้คีย์บอร์ดที่ค้นหา GIF ได้แทน อย่างเช่น Gboard

ถัดไปคือฟีเจอร์เปลี่ยนหน้าต่างการสนทนาบน Messenger Lite โดยเมื่ออัพเดตแล้วผู้ใช้สามารถเปลี่ยนได้ทั้งสีและอีโอจิเหมือนบน Messenger ปกติ

Facebook สรุปเหตุการณ์สำหรับประจำปี 2018 (Year In Review) รวบรวมเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ทั่วโลก ในปีผ่านมา ที่เกิดขึ้นบน Facebook

โดยประเด็นแรกที่ Facebook พูดถึงคือการที่ผู้คนได้ออกมาเรียกร้องในสิ่งต่าง ๆ ผ่านเหตุการณ์ อาทิ วันสตรีสากล 8 มีนาคม ซึ่งเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในปีนี้ และประเด็นสิทธิสตรีก็ถูกพูดถึงขยายความต่อเนื่องตลอดทั้งปี เช่นเดียวกับเหตุการณ์กราดยิงในฟลอริด้า ไปจนถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีบราซิล และการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ

กลุ่มเหตุการณ์ถัดมา Facebook ใช้คำว่า การเฉลิมฉลองร่วมกันของคนทั้งโลก ได้แก่ ฟุตบอลโลก ที่มีโพสต์เกิดขึ้นมากกว่า 2.3 พันล้านโพสต์, การแข่งขันซูเปอร์โบวล์ และพิธีเสกสมรสเจ้าชายแฮร์รี-เมแกน มาร์เคิล

เอกสาร Six4Three ยังเผยข้อมูลสำคัญ (แต่ไม่ใช่เรื่องใหม่) ถึงวิธีการที่ Facebook ใช้ในการติดตามพฤติกรรมการใช้งานและสอดส่องคู่แข่ง ซึ่ง Facebook ใช้ Onavo แอพ VPN ในเครือส่งข้อมูลการใช้งานกลับไปยังบริษัทเพื่อจะได้วิเคราะห์ว่า แอพบริษัทคู่แข่งมีคนใช้งานเพิ่มขึ้นเยอะขนาดไหน

ในเอกสาร Six4Three มีชาร์ตบอกตัวเลขการใช้งาน Snapchat, Twitter, Skype และ WhatsApp ว่าใช้บ่อยหรือไม่ ครั้งหนึ่ง The Wall Street Journal เคยรายงานว่าข้อมูลที่ได้จาก Onavo เป็นแรงบันดาลใจให้ Facebook เปิดตัวฟีเจอร์แชทกลุ่มแบบวิดีโอใน Facebook Messenger

ในเอกสาร Six4Three นอกจากประเด็นมีบางบริษัทสามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้งานบน Facebook ได้เป็นพิเศษแล้ว ยังมีการเผยเนื้อหาว่า Facebook ในปี 2012 มีไอเดียจะเก็บเงินจากนักพัฒนาภายนอกในการเข้าถึง API ใน Facebook ด้วย

Facebook เจอข่าวฉาวส่งท้ายปีเมื่อรัฐสภาอังกฤษเผยแพร่เอกสารภายในของ Facebook ระบุว่า Facebook ยังคงให้บางบริษัทอย่าง Airbnb, Lyft และ Netflix สามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้งานได้เป็นพิเศษ หรือเป็น whitelist

ตัวเอกสารจัดทำโดย Six4Three บริษัทไอทีผู้ทำระบบค้นหารูปภาพบิกินี่บน Facebook (ข้อมูลจาก Wikipedia) เป็นหนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบจากการที่ Facebook ปิด API ในปี 2014 ซึ่ง Six4Three ก็ฟ้อง Facebook ข้อหาทำลายธุรกิจ โดยส่งเอกสารภายในซึ่งเป็นอีเมลระหว่าง Six4Three กับ Facebook มาเป็นหลักฐานคำฟ้อง โดยผู้เอามาเผยแพร่คือ Damian Collins ส.ส. อังกฤษ

Glassdoor เว็บไซต์แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างพนักงานบริษัทต่างๆ เผยอันดับ "บริษัทที่น่าทำงานที่สุด" (Best Places to Work) ประจำปี 2019 พบว่าปีนี้มีสถิติที่น่าสนใจคือ บริษัทเล็กสามารถเบียดบริษัทใหญ่อย่าง Google และ Facebook ขึ้นมาได้สำเร็จหลัง Facebook ต้องเผชิญปัญหามากมาย

บริษัทที่ได้อันดับ 1 คือ Bain & Company ผู้ให้คำปรึกษาองค์กร และอันดับที่ 2 คือ Zoom เป็นบริษัทเล็ก ผู้ทำผลิตภัณฑ์และซอฟต์แวร์สำหรับงาน videoconference ที่มีผู้ช่วย AI และถอดเป็นสคริปต์ได้อัตโนมัติ

ด้าน Facebook ปีนี้อยู่ในอันดับ 7 จากที่ก่อนหน้านี้เคยได้อันดับ 1 ถึง 5 ครั้งในปี 2011, 2012, 2013, 2017 และ 2018 ส่วน Airbnb ได้อันดับสูงสุดในปี 2016, Google ได้ปี 2015 และ Twitter ในปี 2014

เว็บไซต์ BuzzFeed มีบทความเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ที่รุมเร้า Facebook อย่างต่อเนื่องในปีนี้ ว่าความเห็นของพนักงานภายในบริษัทเองก็แบ่งเป็นหลายกลุ่ม โดยหลักมี 3 กลุ่มคือ

• กลุ่มที่ยังสนับสนุน Zuckerberg/Sandberg
• กลุ่มที่ไม่พอใจท่าทีของฝ่ายบริหาร
• กลุ่มที่มองว่าบริษัทโดนโจมตีจากสื่อมากเกินควร

อดีตพนักงานรายหนึ่งบอกว่าบรรยากาศภายในตึงเครียด เพราะ Facebook เผชิญวิกฤตการณ์มาเกือบ 2 ปี นับตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีช่วงปลายปี 2016 และเรื่อง fake news กลายเป็นประเด็นถกเถียงอย่างกว้างขวาง

ฟอร์แมตภาพ-วิดีโอแนวตั้ง Stories ยังคงได้รับความนิยมและแทรกซึมไปในทุกที่ ล่าสุด Facebook ประกาศว่า Stories จะถูกนำมาใส่ใน Facebook Groups เรียกว่า Group Stories มีผลกับทุกกลุ่มทั่วโลกแล้ว จากที่เคยทดสอบจำกัดกลุ่มก่อนหน้านี้

กลไกการทำงานของ Group Stories ก็คือสมาชิกในกลุ่มสามารถแชร์เนื้อหาในฟอร์แมตแบบ Stories โดยเห็นกันเฉพาะในกลุ่ม และสมาชิกกลุ่มก็ร่วมแสดงความเห็นกันได้

แต่ก่อนจะตกใจกันไป แอดมินกลุ่มก็สามารถควบคุมเนื้อหา Stories ได้ โดยสามารถตรวจสอบเนื้อหาหรือกดลบก่อนที่จะเผยแพร่ออกไปให้ทั้งกลุ่มได้ หรือสามารถกำหนดคนที่สามารถโพสต์ Stories ในกลุ่มได้เช่นกัน

ถึงตรงนี้คำถามก็คือ ยังเหลือพื้นที่ไหนอีกที่มี Stories แทรกซึมเข้าไปได้...

Facebook ประกาศเตรียมเลิกบังคับใช้นโยบายการใช้แพลตฟอร์มข้อ 4.1 ที่ระบุห้ามนักพัฒนาทำฟีเจอร์บน Facebook ที่เหมือนกับสิ่งที่ Facebook มีอยู่แล้ว

Facebook Platform Policy ข้อที่ 4.1 นั้นระบุว่านักพัฒนาสามารถทำฟีเจอร์บนแพลตฟอร์ม Facebook ได้ โดยจะต้องไม่ซ้ำกับฟังก์ชันหลักที่ Facebook มีให้อยู่แล้ว ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าในปัจจุบัน Facebook ต่างก็ลอกฟีเจอร์ของแพลตฟอร์มอื่นไปทั่ว โดยเฉพาะ Snapchat ที่โดนหนักสุด ในขณะที่กฎข้อนี้ของ Facebook กลับเป็นการทำลายการแข่งขัน คือกีดกันไม่ให้แอพอื่นมาใช้เครื่องมือค้นหาเพื่อนหรือกระจายคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มของตัวเอง

บริษัทไอทีใหญ่หลายรายกำลังเจอ tech backlash หรือกระแสตีกลับในรูปแบบใหม่ที่ต่างในอดีต กล่าวคือ บริษัทไอทีในอดีตจะเจอปัญหาการผูกขาดสินค้าจนต้องถูกดำเนินคดี ยกอย่างกรณีไมโครซอฟต์ในปี 2001 แต่กระแสตีกลับรอบใหม่นี้เปลี่ยนไป เช่น ข่าวปลอมแพร่สะพัดและข้อมูลส่วนตัวไม่ปลอดภัย (Facebook), เนื้อหาส่งเสริมความรุนแรง (YouTube), การคุกคามทางเพศในองค์กร, ไม่สนับสนุนเสรีภาพทางข้อมูลข่าวสาร

สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้บริโภคกลับมาฉุกคิดว่าเทคโนโลยีที่เป็นโอกาสของอนาคต มันส่งผลเสียต่อชีวิตเราอย่างคาดไม่ถึง

Marc Benioff ซีอีโอ Salesforce อาจเป็นหนึ่งในผู้นำบริษัทไอทีไม่กี่คนที่ออกมาพูดเรื่องนี้อย่างจริงจัง เขาให้สัมภาษณ์ในรายการพอดคาสต์ Recode Decode พูดคุยหลายเรื่องตั้งแต่แคมเปญช่วยเหลือคนไร้บ้านที่กำลังเป็นปัญหาหนักในซานฟรานซิสโก ไปจนถึงสถานการณ์ที่ริษัทเทคโนโลยีต่างๆ กำลังเผชิญโดยเฉพาะการสูญเสียความเชื่อมั่นจากสังคม

จากข่าวตัวแทนรัฐบาล 8 ประเทศเชิญ Mark Zuckerberg ตอบคำถามข้อมูลหลุด โดยเป็นการเชิญครั้งที่สองหลัง Mark Zuckerberg ปฏิเสธไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ล่าสุดยอมแล้วโดยส่ง Richard Allan หัวหน้าด้านนโยบายไปแทน แม้กลุ่มตัวแทนรัฐบาลจะต้องการตัว Mark Zuckerberg มากกว่าก็ตาม

การเรียกคุยครั้งนี้เกิดขึ้นหลัง New York Times ออกมาเปิดเผย Facebook จ้างล็อบบี้ยิสต์คุ้ยประวัติคู่แข่ง และปกปิดปัญหาข่าวปลอมรัสเซียทั้งที่เจอปัญหาก่อนแล้ว สร้างคำถามต่อสังคมโลกว่า Facebook ตั้งใจจะแก้ปัญหาอย่างจริงจังหรือไม่

คณะกรรมาธิการกำกับข้อมูลในไอร์แลนด์พบว่า LinkedIn นำอีเมล 18 ล้านบัญชีมาประมวลผลทำโฆษณาแบบเจาะกลุ่มหรือ targeted ads บน Faebook เพื่อเพิ่มยอดคนลงทะเบียนใช้งานบนแพลตฟอร์มโดยยังไม่ได้การยินยอมจากผู้ใช้
คณะกรรมาธิการฯ ระบุว่าวิธีการพยายามเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานของ LinkedIn แบบนี้นั้นละเมิดกฎการคุ้มครองข้อมูลในไอร์แลนด์

ข้อมูลดังกล่าวมาจากรายงานที่ทางคณะกรรมาธิการฯ ทำการสรุปในช่วงครึ่งปีแรกของ 2018 ซึ่งนอกจากปัญหาข้อมูลส่วนตัวบน Facebook อย่างที่ทราบกันแล้ว ยังมีปัญหาใหม่ที่เกิดจาก LinkedIn ของไมโครซอฟท์ด้วย ทางคณะกรรมาธิการฯ
ได้แจ้งเรื่องนี้กับ LinkedIn ไปแล้ว และทาง LinkedIn ก็บอกว่าได้ยับยั้งกระบวนการประมวลผลข้อมูลแล้ว

สำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนตัวของสหราชอาณาจักรสั่งปรับ Facebook จากเหตุข้อมูลหลุดและกระณีพิพาทกับบริษัทเก็บข้อมูล Cambridge Analytica เป็นเงิน 500,000 ปอนด์ หรือราว 21 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าปรับในจำนวนสูงสุดตามกฎ Data Protection Act 2018 (ถ้าเป็นกฎ GDPR จะถูกปรับหนักถึง 17 ล้านปอนด์ ราว 720 ล้านบาท เพราะกฎระบุว่าปรับ 4% ของรายได้)

Blognone ยังคงเกาะติดดราม่ารอบใหม่ Facebook ต่อ โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ New York Times ออกมาเปิดเผยเรื่องราวภายในคือการที่ Facebook จ้างบริษัท Definers บริษัทพีอาร์ที่เชี่ยวชาญด้านการขุดข้อมูลโจมตีคู่แข่งทางธุรกิจ ซึ่งเป็นช่วงที่ Facebook เจอสังคมโจมตีหลายทางทั้งข่าวปลอม ข้อมูลหลุด ถูกแฮก

วิธีการที่ Definers ทำให้ Facebook คือสนับสนุนให้ผู้สื่อข่าวเขียนข่าวเกี่ยวกับการเชื่อมต่อทางการเงินระหว่างนักเคลื่อนไหวต่อต้านเฟสบุ๊คกับ George Soros เศรษฐีนักลงทุนที่เคยให้สัมภาษณ์โจมตี Facebook, Google ด้วยว่าผูกขาดความสนใจคน ทำร้ายความเป็นเสรีของสังคม

หลังจากที่ Facebook ประกาศเตรียมปล่อย Your Time on Facebook แดชบอร์ดมอนิเตอร์เวลาใช้งานมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม ล่าสุด Facebook ก็ได้ยืนยันว่าเตรียมปล่อยฟีเจอร์นี้อย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากที่ปล่อยฟีเจอร์ Your Activity ซึ่งเป็นฟีเจอร์ลักษณะเดียวกันบน Instagram ไปก่อน

ไม่กี่วันที่ผ่านมา The New York Times ลงบทความตีแผ่เรื่องราวภายใน Facebook ว่าปกปิดเรื่องข่าวปลอมรัสเซีย รวมทั้งจ้างล็อบบี้ยิสต์หันเหความสนใจของสังคมไปยังเรื่องอื่น จ้างบริษัทขุดคุ้ยเรื่องไม่ดีของคู่แข่ง โดยอ้างแหล่งข่าวภายในไม่เปิดเผยชื่อถึง 50 ราย กลายเป็นระเบิดลง Facebook อีกครั้งว่าตกลงแล้ว Facebook กำลังเดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังหรือไม่

มีรายงานจากผู้ใช้ Facebook และ Instagram จำนวนหนึ่งทั่วโลก ว่าพบปัญหาไม่สามารถโหลดหน้า Feed ขึ้นมาได้ ซึ่งพบปัญหาเหมือนกันทั้งในสองแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะดูผ่านหน้าเว็บหรือผ่านแอป

ข้อมูลจากเว็บ Down Detector พบว่านอกจากปัญหา Feed ไม่โหลดแล้ว บางรายยังพบปัญหาไม่สามารถล็อกอินได้อีกด้วย

ในเมืองไทยก็มีรายงานผู้ใช้บางส่วนเจอปัญหานี้เช่นกัน จนถึงตอนนี้ Facebook ยังไม่ได้อัพเดตใด ๆ ออกมา

อัพเดต: Facebook ยืนยันปัญหานี้ผ่านหน้า Developers โดยบอกว่าเริ่มพบปัญหาตั้งแต่เวลาประมาณ 6 โมงเย็น ของวันที่ 20 พฤศจิกายน (เวลาในไทย) โดย API บางตัวใช้เวลาทำงานนานกว่าปกติหรือไม่สำเร็จ และตอนนี้ก็ยังคงมีปัญหา

ที่มา: Newsweek

Mark Zuckerberg เข้าสนับสนุนโปรแกรมการเรียนรู้ Summit Learning Platform ในหลายโรงเรียนของสหรัฐฯ มีโรงเรียนราวๆ 380 แห่งที่เข้าร่วมโปรแกรมนี้ ซึ่งไม่ได้สอนเรื่องเทคโนโลยีอย่างเดียว แต่เน้นให้นักเรียนที่เข้าร่วมโปรแกรมหาตัวเองเจอว่าสนใจด้านอะไร

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่หนึ่งในผู้สนับสนุนโปรแกรมคือ Mark Zuckerberg และภรรยา Priscilla Chan พร้อมด้วยกล่มวิศวกร อาจดูเป็นการผิดเวลาเพราะ Facebook กำลังเจอแรงต้านเรื่องข้อมูลหลุด ระบบล่ม จำนวนผู้ใช้งานโดยเฉพาะวัยรุ่นลดลงมาก ทำให้มีกลุ่มนักเรียนประท้วงไม่เข้าร่วมโปรแกรมการเรียนรู้ดังกล่าว และยังย้อนถามไปยัง Mark Zuckerberg ตรงๆ เลยว่า "คุณมีสิทธิ์อะไรในการทำแบบนี้"

The Wall Street Journal รายงานพิเศษโดยอ้างแหล่งข่าวภายใน ว่าหลังจาก Facebook เผชิญกับปัญหา Cambridge Analytica ที่ข้อมูลผู้ใช้หลุดออกไป 50 ล้านบัญชี ท่าทีของ Mark Zuckerberg ในเชิงการบริหารองค์กรก็เปลี่ยนไปมาก

รายงานระบุว่าการประชุมผู้บริหารระดับสูงเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา Zuckerberg กล่าวในที่ประชุมว่าบริษัทแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นช้าเกินไป และสั่งให้ผู้บริหารระดับสูงในห้องทำงานให้รวดเร็วมากกว่านี้ในท่าทีที่ดุดัน อย่างไรก็ตามการเรียกร้องนี้ก็ทำให้ที่ประชุมสับสน เนื่องจากปัญหา Facebook หลายอย่างที่เกิดขึ้น ก็มาจากการทำงานที่รวดเร็วสไตล์ Mark Zuckerberg นั่นเอง

เฟซบุ๊กยื่นสิทธิบัตรระบบหาข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ต้องอาศัยให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลให้อีกต่อไป โดยระบบนี้สามารถแปลงภาพเป็นข้อความเพื่อหาคุณสมบัติของผู้ใช้ เพื่อสร้างโปรไฟล์ของผู้ใช้ที่สมบูรณ์ยิ่งกว่าให้ผู้ใช้กรอกเอง

ระบบนี้ใช้โปรไฟล์เดิมของผู้ใช้เป็นฐาน และเมื่อผู้ใช้โพสรูปเข้ามา ก็สามารถวิเคราะห์ข้อมูลในบ้าน วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างผู้โพสภาพกับผู้ใช้อื่น เมื่อประกอบกับข้อความแคปชั่นของภาพก็จะได้ความสัมพันธ์ของคนในภาพ นอกจากนี้ยังวิเคราะห์จากการใช้เครื่องหรือหมายเลขไอพีร่วมกัน

คำนำของใบขอสิทธิบัตรระบุว่าการยิงคอนเทนต์ไปยังผู้ใช้ทุกวันนี้ไม่สามารถยิงตามข้อมูลที่ครบถ้วนเช่นข้อมูลทางประชากรของผู้ใช้ เช่น จำนวนคนในบ้าน และความสัมพันธ์ หากมีข้อมูลมากขึ้นยิงคอนเทนต์ได้แม่นยำขึ้น

New York Times ได้ออกรายงานพิเศษเกี่ยวกับปัญหาและการจัดการภายใน Facebook ช่วงสองปีที่ผ่านมา ทั้งเรื่องบัญชีจากรัสเซีย, การแก้ปัญหาข่าวปลอม ซึ่ง Facebook ได้ออกมาชี้แจงปฏิเสธแต่ละประเด็น อย่างไรก็ตามมีประเด็นหนึ่งที่ Facebook ไม่ได้ยอมรับตรง ๆ เสียทีเดียว นั่นข้อมูลว่าซีอีโอ Mark Zuckerberg ออกคำสั่งให้ผู้บริหารระดับสูงทุกคนใช้สมาร์ทโฟน Android เท่านั้น

โดย New York Times ระบุสาเหตุว่าคำสั่งนี้เกิดจาก Zuckerberg ไม่พอใจที่ Tim Cook ซีอีโอแอปเปิลออกมาโจมตี Facebook กรณีข้อมูลส่วนบุคคลหลุดหรือ Cambridge Analytica

กลุ่มสิทธิ 88 กลุ่มเขียนจดหมายถึง Facebook เรียกร้องให้ Facebook เปิดเผยข้อมูล เมื่อมีการลบโพสต์เกิดขึ้น

ปกติผู้ใช้สามารถรายงานโพสต์ที่มีปัญหาเช่น ความรุนแรง รูปโป๊ ซึ่งทางกลุ่มสิทธิมองว่ายังไม่ครอบคลุมมากพอ เพราะมีเนื้อหาหลายประเภทที่ถูกลบออกเพราะต้องเซนเซอร์เนื้อหาซึ่งผู้ใช้งานมีสิทธิ์รู้ และมีสิทธิ์ทักท้วงได้

ทางกลุ่มสิทธิยังบอกด้วยว่า มีตัวอย่างโพสต์ที่ Facebook ลบออกเนื่องจากผิดนโยบายแพลตฟอร์ม เช่น Facebook ลบรูป วีนัสแห่งวิลเลนดอร์ฟ รูปปั้นรูปร่างผู้หญิงที่มีลักษณะอวบออก ทั้งที่จริงเป็นโบราณวัตถุ และรูป Napalm Girl เด็กผู้หญิงเปลือยช่วงสงครามเวียดนาม ก็ถูกลบออก ซึ่งมาจากความผิดพลาด