วันนี้ Tesla Motors มีมูลค่าตลาดแซง GM (General Motors) ขึ้นเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่าใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในสหรัฐแล้ว (อันดับหนึ่งของโลกยังคงเป็น Toyota อยู่) หลังจากที่เพิ่งจะแซง Ford ที่เป็นอันดับสองมา หลังจากการซื้อขายเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
หนึ่งในปัจจัยที่ดันให้ Tesla มี Market Cap แซงได้เนื่องมาจากยอดขายในไตรมาสแรกของทั้ง Ford และ GM ดูไม่ค่อยดีนัก ในขณะที่ยอดขาย Tesla Model S และ Model X ยังเป็นไปได้ดี นอกจากนั้นยังคาดว่าจะเริ่มขาย Model 3 ซึ่งเป็นรุ่นที่ราคาถูกสุดได้ภายในสิ้นปีนี้อีกด้วย
วงการการพิมพ์ 3 มิติขยายไปยังวงการรถยนต์แล้ว Ford ได้เริ่มทดสอบการพิมพ์ชิ้นส่วนและเครื่องมือสำหรับรถยนต์ด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติจาก Stratasys ด้วยหวังว่าจะสามารถผลิตออกมาในจำนวนที่น้อยลงและช่วยลดต้นทุน
หากการทดสอบผ่านไปได้ด้วยดี จะช่วยให้ Ford ลดต้นทุนสำหรับการผลิตชิ้นส่วนรถแข่ง ไปจนถึงการผลิตรถยนต์รุ่นที่ยังเป็นคอนเซ็ปและโปรโตไทป์ ขณะที่นักแต่งรถทั่วไปก็มีโอกาสจะได้ชิ้นส่วนรถยนต์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเองมากขึ้น
ที่มา - TechCrunch
Ford เปิดตัวคอนเซปต์รถยนต์ส่งของในงาน MWC โดยเป็นรถยนต์ส่งของใช้พลังงานไฟฟ้าแบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ พร้อมทั้งสามารถปล่อยกลุ่มโดรนเพื่อเข้าไปรับหรือส่งของยังพื้นที่ที่เข้าถึงยากได้อีกด้วย โดยคอนเซปต์นี้ใช้ชื่อว่า Autolivery
รถยนต์ส่งของนั้นจะคอยวิ่งไปเรื่อย ๆ เพื่อส่งของตามออร์เดอร์ของลูกค้า โดยจะมีโดรนที่ปล่อยจากตัวรถเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงในพื้นที่ที่เข้าถึงลำบาก เช่น ในพื้นที่แออัด หรือพื้นที่เมืองที่หาที่จอดลำบากและผู้ใช้อาศัยอยู่บนอพาร์ตเม้นท์ ก็สามารถใช้โดรนบินขึ้นไปส่งของได้ทันที
Ford ได้ทำคลิปวิดีโอแสดงคอนเซปต์ดังกล่าวด้วย สามารถดูวิดีโอได้ท้ายข่าว
Ford ผู้ผลิตรถยนต์ลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพ Argo ที่ทำเรื่องปัญญาประดิษฐ์โดยเฉพาะเป็นจำนวน 1 พันล้านดอลลาร์ นำมาพัฒนาธุรกิจรถยนต์ไร้คนขับ
Argo ก่อตั้งโดยอดีตคนทำงานใน Google และ Uber โดยตัวบริษัทจะทำงานร่วมกับ Ford นำทีมวิศวกรในการพัฒนาซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มใหม่เพื่อรถไร้คนขับของ Ford โดยเฉพาะ โดยวงเงิน 1 พันล้านดอลลาร์อยู่ในกำหนดระยะเวลา 5 ปี เป็นการลงทุนเพื่อหวังผลในธุรกิจรถไร้คนขับซึ่งเป็นเทรนด์แห่งอนาคต
บริษัทรถยนต์ Ford เปิดตัวรถยนต์ไร้คนขับรุ่นที่สอง ที่พัฒนาต่อจาก Ford Fusion Hybrid รุ่นวิจัยในปี 2013
รถยนต์ไร้คนขับรุ่นที่สองยังใช้ Ford Fusion Hybrid เป็นฐาน แต่เปลี่ยนมาใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติรุ่นใหม่ล่าสุด เปลี่ยนฮาร์ดแวร์ใหม่ที่มีสมรรถนะสูงขึ้น ปรับปรุงเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ LIDAR ใหม่ให้มองภาพได้กว้างขึ้น และลดจำนวนเซ็นเซอร์จาก 4 ชุดมาเหลือแค่ 2 ชุด
BlackBerry ได้ทำข้อตกลงร่วมกับ Ford ในการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติในรุ่นแรก โดย BlackBerry ได้ส่งทีมวิศวกรเพื่อทำงานร่วมกับ Ford ในการรวมซอฟต์แวร์ BlackBerry เข้ากับตัวรถยนต์ในอนาคต โดยมีซอฟต์แวร์ทั้งระบบปฏิบัติการ QNX Nutrino, เทคโนโลยีความปลอดภัย Certicom และซอฟต์แวร์ประมวลผลเสียง
แผนเรื่องรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติของ Ford นั้นถือว่าค่อนข้างใหญ่พอสมควร โดยทางบริษัทวางแผนขายแท็กซี่ที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติ 1 แสนคันต่อปีให้กับบริการเรียกรถในปี 2021 และจะขายรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติให้ผู้ใช้ทั่วไปในปี 2025 ซึ่งทาง Ford ต้องการพนักงานทำงานในด้านนี้มากขึ้น
Ford ประกาศพัฒนารถยนต์ไร้คนขับมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ล่าสุด Mark Fields ซีอีโอของ Ford เปิดเผยบริษัทมีแผนจะให้บริการแบบ ride hailing โดยใช้รถยนต์ไร้คนขับ ประเภทที่ 4 (มนุษย์แทบไม่ต้องควบคุมรถ ยกเว้นในสภาพอากาศเลวร้าย) ภายในปี 2021
ถึงแม้จะยังไม่มีรายละเอียดมากนัก แต่เบื้องต้น Ford ได้ลงทุนในบริษัท Velodyne บริษัทพัฒนาเซ็นเซอร์ LIDAR, เข้าซื้อสตาร์ทอัพจากอิสราเอล ที่เชี่ยวชาญด้าน Computer Vision และ Machine Learning, เซ็นข้อตกลงในการใช้ไลเซนส์กับ Nirenberg Neuroscience LLC บริษัทด้าน Machine Vision และลงทุนกับ Civil Maps สตาร์ทอัพที่ทำแผนที่สามมิติ
Pivotal บริษัทด้าน Big Data ที่เป็นบริษัทลูกของ EMC (EMC ถือหุ้นบางส่วน) ประกาศรับเงินลงทุนรอบ Series C จำนวน 253 ล้านดอลลาร์ จาก Ford Motor และ Microsoft
Pivotal แยกตัวจาก EMC มาเป็นอีกบริษัทในปี 2013 (แต่ EMC ยังถือหุ้นใหญ่) ก่อนหน้านี้ Pivotal รับเงินลงทุนจากบริษัทใหญ่ๆ หลายราย เช่น GE, VMware และ Ford (เท่ากับว่า Ford ลงเงินซ้ำอีกรอบ) ลูกค้าส่วนใหญ่ของ Pivotal เป็นองค์กรเอกชนรายใหญ่ บริษัทระบุว่ามีรายได้ในไตรมาสแรกของปี 2016 ที่ 83 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 56% จากปีก่อน
หลังจาก Dell ควบกิจการกับ EMC เสร็จ คาดกันว่า Dell จะแยก Pivotal ออกเป็นบริษัทอิสระที่ขายหุ้น IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์
กระบวนการขับเคลื่อนให้รถยนต์ไร้คนขับ ให้กลายเป็นที่ยอมรับทั้งในเชิงกฎหมายและสังคมในสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด Google ได้จับมือกับ Ford, Volvo, Uber และ Lyft จัดตั้งกลุ่ม Self-Driving Coalition for Safer Streets ในการทำงานร่วมกับภาครัฐ เพื่อผลักดันร่างกฎหมาย รวมถึงสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนและภาคส่วนอื่นๆ เกี่ยวกับรถไร้คนขับให้มากยิ่งขึ้น
เพื่อผลักดันเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับให้เป็นที่ยอมรับ และเพื่อให้การประสานงานกับหน่วยงานอื่นมีความชัดเจน กลุ่มบริษัทอันประกอบไปด้วย Google, Volvo, Ford, Uber และ Lyft ได้ประกาศรวมตัวกันเป็นพันธมิตรเพื่อประสานความร่วมมือกันเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว
เป้าหมายของการจับมือกันในครั้งนี้คือ "ทำงานร่วมกับผู้ออกกฎหมาย, ผู้ควบคุมบังคับใช้กฎหมาย, และสาธารณชนให้ตระหนักถึงคุณประโยชน์ด้านความปลอดภัยและด้านสังคมของพาหนะไร้คนขับ"
Ford พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ช่วยจำกัดความเร็วของรถ ซึ่งไม่เพียงจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้การเดินทาง แต่ยังช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องเจอใบสั่งเพราะขับรถเร็วเกินกำหนดด้วย เพราะฟีเจอร์นี้จะคอยสังเกตป้ายจำกัดความเร็วข้างทางที่รถแล่นผ่านและจะควบคุมความเร็วของตัวเองไม่ให้เกินค่าที่กำหนดไว้
ผู้ใช้สามารถเลือกเปิดระบบจำกัดความเร็วอัตโนมัตินี้ด้วยการกดปุ่มตรงพวงมาลัย หลังจากนั้นผู้ใช้สามารถตั้งค่าเพื่อจำกัดความเร็วในการขับขี่ของตนเองได้ตามต้องการ แต่เมื่อกล้องถ่ายภาพที่อยู่บริเวณกระจกมองหลังในห้องโดยสารตรวจพบป้ายจราจรสัญลักษณ์เขตจำกัดความเร็ว ระบบของ Ford จะลดความเร็วของรถลงให้อยู่ในระดับต่ำเกณฑ์บังคับ ซึ่งในส่วนนี้จะใช้ข้อมูลแผนที่เข้าช่วย เนื่องจากถนนในแต่ละท้องที่อาจจำกัดความเร็วแตกต่างกันไป
ค่ายรถ Ford มาแหวกแนว โฆษณารถยนต์ Ford Focus รุ่นใหม่ด้วยคลิปจากเกม Metal Gear Solid ภาคแรก (ที่ออกในปี 1998)
คลิปโฆษณามี 2 คลิป คลิปแรกเป็นฉากคลาสสิคที่ Solid Snake ตัวเอกของเรื่องมาเผชิญหน้ากับ Psycho Mantis ศัตรูจอมเพี้ยนที่มีพลังจิต แต่ในคลิปนี้กลับกลายเป็นว่า Mantis พยายามชักจูง Snake ให้ซื้อ Ford Focus แทน
คลิปที่สองเป็นฉากสนทนาทางวิทยุระหว่าง Snake กับนายทหาร Colonel Roy Campbell โดย Campbell ชักจูง Snake ให้ซื้อ Ford Focus เช่นกัน ในคลิปหลังนี้ ยังได้ David Hayter คนพากย์เสียง Solid Snake ฉบับดั้งเดิมกลับมาพากย์ให้ด้วย
ใครเป็นแฟน Metal Gear Solid และเคยเล่นเกมภาคแรกบน PS1 มาก็ไม่ควรพลาดครับ
จากข่าวลือก่อนหน้านี้ว่า Ford เตรียมแยกบริษัทลูก ทำเรื่องรถยนต์ไร้คนขับโดยเฉพาะ
และแล้ว Ford ก็ตั้งบริษัทลูกชื่อ Ford Smart Mobility อย่างเป็นทางการ
ภารกิจของ Ford Smart Mobility คือพัฒนาบริการขนส่ง (mobility) แบบใหม่ๆ เพราะ Ford วางวิสัยทัศน์ว่าตัวเองจะต้องมีบทบาททั้งเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ (auto) และบริษัทที่ทำเรื่องการขนส่ง (mobility) ดังนั้น Ford Smart Mobility จึงมารับบทบาทในส่วนหลัง งานที่ทำมีทั้งเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล, การสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า, ระบบเชื่อมต่อรถยนต์ Ford Sync, บริการรถเช่า GoDrive และพัฒนาต้นแบบรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ
หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของการขับรถ คงหนีไม่พ้นสภาพอากาศที่เลวร้าย อย่างพายุฝนหรือพายุหิมะ ซึ่งการควบคุมรถยนต์ท่ามกลางสภาพอากาศเช่นนี้ แม้แต่นักขับที่เชี่ยวชาญ ก็อาจจะเป็นเรื่องยากและเกิดอุบัติเหตุได้เสมอ Ford จึงพยายามพัฒนาให้รถยนต์ไร้คนขับของตัวเองคุ้นเคยกับสภาพอากาศที่ผิดปกติเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด
การทดสอบรถไร้คนขับท่ามกลางพายุหิมะของ Ford ครั้งนี้ ต้องอาศัยเซ็นเซอร์ LIDAR เป็นหลัก เนื่องจากมีความแม่นยำในการตรวจจับวัตถุรอบตัวรถมากกว่ากล้องที่อาจถูกบดบังทัศวิสัยจากสภาพอากาศ โดยเป้าหมายของ Ford คือต้องการให้ระบบไร้คนขับสามารถควบคุมรถ ในสภาพอากาศที่เลวร้ายได้เหมือนกับนักขับมืออาชีพให้มากที่สุด
Bill Ford Jr. ประธานบอร์ดของบริษัทรถยนต์ Ford (และเหลนของ Henry Ford ผู้ก่อตั้งบริษัท) ให้สัมภาษณ์กับ Wall Street Journal ถึงความจำเป็นของ Ford ในการปฏิวัติตัวเองใหม่ (reinvent this company) เพื่อตอบโจทย์ของผู้ใช้รถยนต์ในอีก 50 ปีข้างหน้า
แนวทางของ Ford มีทั้งรถยนต์ไฟฟ้า, รถยนต์ไร้คนขับ และบริการแชร์รถยนต์ (car-sharing ลักษณะเดียวกับ Uber/Lyft) เป้าหมายระยะยาวของบริษัทคือเปลี่ยนตัวเองเป็นบริษัทเทคโนโลยี สร้างรถยนต์รุ่นใหม่ที่ฉลาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แทนการเป็นบริษัทประกอบรถยนต์ที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีของผู้อื่น
ค่ายรถ Ford มีระบบเชื่อมต่อแอพมือถือกับรถยนต์ชื่อ AppLink โดยบริษัทเปิดซอร์สโค้ดของ AppLink เป็นโครงการโอเพนซอร์สชื่อ SmartDeviceLink และอยู่ภายใต้การดูแลของกลุ่มพันธมิตร GENIVI Alliance ร่วมกับ Linux Foundation
ล่าสุดความพยายามของ Ford ในการผลักดัน SmartDeviceLink ให้เป็นมาตรฐานของวงการรถยนต์ดูจะคืบหน้าไปพอสมควร เพราะตอนนี้ได้ยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota และ QNX Software มาเป็นพันธมิตรร่วมใช้งานแล้ว รวมถึงค่ายรถอื่นๆ คือ PSA Peugeot Citroën, Honda, Subaru, Mazda ก็เริ่มศึกษาเพื่อพิจารณาใช้งานด้วย
ในงาน CES 2016 ที่ลาสเวกัส Ford ได้ประกาศนำ Apple CarPlay และ Android Auto เข้ามาใช้กับรถยนต์ของตนแล้ว โดยรถยนต์ทุกรุ่นที่ออกในปี 2017 จะมีซอฟต์แวร์ทั้งสองติดตั้งมาจากโรงงาน (แน่นอนว่าทำงานบนระบบ Ford SYNC 3 อีกที) ซึ่งจะเริ่มในรถยนต์ครอสโอเวอร์ Ford Escape ปี 2017 เป็นรุ่นแรก และรถยนต์ Ford รุ่นปี 2016 จะได้รับอัพเดตฟรีหลังจากนั้น
พร้อมกับการเปิดตัว SDK รุ่น 3.0 ของ DJI ที่เปิดให้นักพัฒนาสามารถใช้งานโดรนทำอะไรได้หลากหลายยิ่งขึ้น ก็มาพร้อมกับการแข่งขันชิงเงินรางวัลกว่า 100,000 เหรียญที่ร่วมมือกับ Ford และองค์การสหประชาชาติ (UN) จัดขึ้นมา
ด้วยความที่ร่วมมือกับสององค์กรที่มีเป้าหมายชัดเจนทั้งคู่ ธีมของการแข่งขันครั้งนี้จึงออกมาเป็นการพัฒนาระบบกู้ภัยด้วยโดรนที่ปล่อยตัวจากรถยนต์ที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ โดยการพัฒนาระบบนี้จะช่วยให้การสำรวจกู้ภัยโดยโดรนสามารถทำได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยขึ้น ด้วยการตัดส่วนที่นักกู้ภัยต้องปล่อยโดรนจากพื้น ซึ่งยากที่จะทำในสถานการณ์ภัยพิบัติอย่างน้ำท่วม และแผ่นดินไหว
ทิศทางของรถยนต์ไร้คนขับของ Google เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุด Google จะหันไปพึ่ง Ford Motor ในการผลิตรถยนต์ไร้คนขับออกสู่ตลาด ส่วน Ford ก็จะได้เทคโนโลยีและ know-how ในด้านซอฟต์แวร์เป็นการแลกเปลี่ยน
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดของการร่วมมือในครั้งนี้ยังไม่มีการเปิดเผยออกมา ขณะที่คาดการณ์ว่าทาง Ford จะประกาศการเป็นพาร์ทเนอร์กับ Google อย่างเป็นทางการในงาน Consumer Electric Show ต้นปีหน้า
ทั้งนี้ Ford ไม่น่าจะเป็นพาร์ทเนอร์เจ้าเดียวของ Google ในการผลิตรถไร้คนขับ เพราะแหล่งข่าวหลายแหล่งลือไปในทางเดียวกันว่า Google กำลังพูดคุยอยู่กับผู้ผลิตรถยนต์อีกหลายเจ้า
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา Blognone ได้รับเชิญจากฟอร์ดประเทศไทยให้ไปทดลองขับ Ford Everest ซึ่งเป็นรถยนต์ SUV รุ่นใหม่ล่าสุดจากฟอร์ด โดยผมและคุณ SainTKK รับอาสาไปร่วมงาน และกลับมาเขียนเล่าประสบการณ์กันครับ
ในส่วนแรกของข่าวนี้ผมจะเป็นคนเขียน และส่วนที่สองคุณ SainTKK จะเป็นคนเขียนครับ
Ford Everest วางตัวเป็น premium SUV 7 ที่นั่ง จัดเต็มในด้านออปชั่นต่างๆ ซึ่งในประเทศไทยวางจำหน่ายด้วยกัน 3 รุ่นย่อย ดังนี้
*เป็นราคาที่ปรับขึ้นตามอัตราภาษีสรรพสามิตใหม่ปี 2559 แล้ว
Ford เผยงานพัฒนาระบบไฟส่องสว่างหน้ารถอันสุดล้ำ ที่สามารถปรับมุมส่องลำแสงไปตามทางแยกหรือโค้งของถนนได้ ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยแก่ผู้ขับขี่และเพื่อนร่วมทาง และยังมีระบบตรวจจับคนหรือสัตว์ที่เดินอยู่ในมุมมืดเพื่อส่องไฟไปยังจุดดังกล่าวได้ด้วย
Ford เป็นผู้ผลิตรถยนต์รายล่าสุดที่ประกาศจะพัฒนารถยนต์ไร้คนขับของตัวเอง โดยได้เปิดศูนย์พัฒนาและวิจัยของตนเองในแคลิฟอร์เนียแล้ว ตามผู้ผลิตรถยนต์เจ้าอื่นๆ อย่าง Mercedes Benz, BMW, Nissan หรือแม้แต่ Google และบริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ Delphi ได้ประกาศพัฒนารถไร้คนขับไปก่อนหน้า
หัวหน้าฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ Ford กล่าวว่าภายใน 5 ปี บริษัทจะค่อยๆ เปลี่ยนผ่านระบบความปลอดภัยอัตโนมัติต่างๆ ที่ช่วยเหลือคนขับเช่น ระบบเบรคอัตโนมัติและระบบตรวจจับคนเดินเท้า ไปสู่ระบบขับเคลื่อนด้วยตนเอง อย่างไรก็ดี Ford ไม่ได้ระบุว่ารถไร้คนขับของตัวเองจะออกมาวิ่งบนถนนจริงๆ เมื่อใด
ค่ายรถยนต์ Ford เปิดบริการรถเช่า (car sharing) ผ่านแอพชื่อ GoDrive โดยเริ่มจากพื้นที่กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร
บริการนี้จะให้คนที่อยากเช่ารถเป็นระยะเวลาสั้นๆ สามารถจองรถผ่านแอพ GoDrive และไปขับรถ ณ จุดจอดของ Ford ที่กระจายอยู่ทั่วลอนดอน 20 จุดได้เลย ค่าใช้จ่ายจะคิดเป็นนาที รวมค่าน้ำมันและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทั้งหมดแล้ว จุดเด่นของ GoDrive คือ Ford จะการันตีว่าขับไปแล้วจะมีที่จอดรถแน่นอน ตามจุดบริการของ Ford ที่กระจายอยู่ตามสถานีขนส่งสำคัญของลอนดอน
ในงาน MWC 2015 Ford ได้เปิดตัวต้นแบบจักรยานไฟฟ้าสองรุ่น คือ MoDe:Me และ MoDe:Pro โดยจักรยานทั้งสองรุ่นสามารถพับได้ ติดตั้งมอเตอร์ขับเคลื่อนไฟฟ้า และใช้ร่วมกับ iPhone 6 โดยเป็นผลงานที่ได้รับเลือกจากการประกวดออกแบบของพนักงาน Ford จากทั่วโลก
จักรยานทั้งสองรุ่นติดตั้งมอเตอร์ขนาด 200 วัตต์ แบตเตอรี่ขนาด 9 Ah สำหรับช่วยขับเคลื่อนที่บันไดจักรยาน ซึ่งสามารถทำความเร็วได้สูงสุด 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีเซนเซอร์อัลตราโซนิคที่ท้ายจักรยานสำหรับตรวจจับและแจ้งเตือนผู้ใช้งานเมื่อมีสิ่งที่อาจจะเข้ามาชนจากหลังได้ มีไฟเลี้ยวและไฟเบรก มีแตรส่งเสียงได้สองระดับเพื่อเตือนคนเดินถนน หรือผู้ขับขี่คนอื่น