เมื่อวันคารที่ผ่านมา Apple ได้ปล่อย VisionOS Beta 6 (21N5300a) ให้เฉพาะนักพัฒนาที่ได้รับ Apple Vision Pro Developer Kit จาก Apple อย่างไรก็ตาม 9to5Mac ได้พบไฟล์วิดีโอที่ระบุถึงขั้นตอนการตั้งค่าเริ่มต้น และการควบคุมคร่าว ๆ ของ Apple Vision Pro
ทีวี 3 มิติเคยเป็นสินค้าที่เป็นที่นิยมอยู่ช่วงหนึ่ง แต่สุดท้ายก็หายไปตามกาลเวลา ล่าสุดแอป Apple TV ใน tvOS 17.2 Beta กำลังใส่ป้ายกำกับบอกว่าเป็นภาพยนตร์เวอร์ชัน 3 มิติเข้ามา ซึ่งคาดว่าการรับชมจำเป็นต้องผ่านแว่น Apple Vision Pro
ช่วงที่ Apple Vision Pro เปิดตัว มีช่วงหนึ่งของวิดีโอเปิดตัวได้แสดงให้เห็นว่า Apple Vision Pro สามารถชมภาพยนตร์แบบ 3 มิติได้ แต่ไม่ได้ระบุว่าจะมาในรูปแบบใด ล่าสุด FlatpanelsHD เว็บไซต์ที่นำเสนอข่าวเกี่ยวกับทีวี ได้พบว่าแอป Apple TV ใส่สัญลักษณ์ 3D ให้กับภาพยนตร์บางเรื่องแล้ว โดยสัญลักษณ์ 3D จะอยู่แถวเดียวกับสัญลักษณ์ที่แสดงรายละเอียดคร่าว ๆ ของภาพยนตร์เรื่องนั้น เช่น 4K, Dolby Vision และ Dolby Atmos เป็นต้น
Mark Gurman แห่ง Bloomberg รายงานข้อมูลล่าสุดแอปเปิลในจดหมายข่าวประจำสัปดาห์ Power On ซึ่งพูดถึง Vision Pro เฮดเซต Mixed Reality ในประเด็นที่แอปเปิลจะทำรุ่นราคาถูกลงออกมาขายในปี 2025 ซึ่งเขาเคยรายงานครั้งหนึ่งในเดือนมิถุนายน
ข้อมูลใหม่บอกว่าเฮดเซตรุ่นราคาถูกลงนี้ มีราคาในช่วง 1,500-2,500 ดอลลาร์ (55,000-90,000 บาท) โดยแอปเปิลลดต้นทุน ด้วยการตัดส่วนจอด้านนอกที่แสดงดวงตาผู้สวมใส่ออกไป (ก่อนหน้านี้ Gurman บอกว่าแอปเปิลไม่น่าตัดส่วนนี้ออก) ลดจำนวนกล้องภายนอก ลดจำนวนเซ็นเซอร์ ลดความละเอียดหน้าจอลง และใช้ชิปเกรด iPhone จากเดิมเป็นชิประดับ Mac
รายงานของ Mark Gurman แห่ง Bloomberg ในจดหมายข่าวประจำสัปดาห์ Power On ตอนล่าสุด พูดถึงแผนการณ์พัฒนาเฮดเซต VR ในอนาคตของ Meta ซึ่งเขาบอกว่าตอนนี้การทำงานภายในของ Meta อยู่ในโหมดกลัวการมาของแอปเปิล และบอกว่าแตกต่างไปจากท่าทีของอุตสาหกรรมโทรศัพท์ที่มอง iPhone เมื่อปี 2007
ปัจจุบันแอปเปิลเปิดตัวเฮดเซต Mixed Reality Vision Pro แต่สินค้าจะเริ่มส่งมอบลอตแรกในต้นปีหน้า สถานะตอนนี้คือขั้นตอนทำงานร่วมกับนักพัฒนา
แอปเปิลแจ้งนักพัฒนาแอปว่า App Store ใหม่ที่จะรองรับเฮดเซต Vision Pro จะนำแอปจาก iPhone และ iPad ที่รองรับขึ้นสโตร์ใหม่นี้เป็นค่าเริ่มต้น (default) โดย App Store ใหม่นี้จะเริ่มเปิดให้ใช้งานพร้อมกับอัพเดตของ visionOS เบต้า ในช่วงปลายปี
แอปเปิลบอกว่าเฟรมเวิร์กส่วนใหญ่ที่มีใน iPadOS และ iOS มีรวมใน visionOS อยู่แล้ว ทำให้แอปแทบทั้งหมดของ iPad และ iPhone สามารถรันบน visionOS ได้ นักพัฒนาจึงไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม แต่หากแอปมีปัญหาไม่รองรับ จะมีการแจ้งผ่าน App Store Connect ให้แก้ไขเพื่อให้รองรับการใช้งานกับ visionOS นักพัฒนาสามารถทดสอบความเข้ากันได้ใน simulator ของ visionOS บน Xcode 15 beta
ก่อนหน้านี้ Apple ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ Apple Vision Pro ชุดแว่นตาผสมผสานโลกเสมือน ล่าสุด 9To5Mac รายงานว่า Apple รับการอนุมัติสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว
เนื้อหาในสิทธิบัตร ระบุขอบเขตการใช้งานของ Digital Crown ที่กว้างและหลากหลายสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้สวมใส่ที่ใช้กับ Apple Watch, Vision Pro และ Smart glasses
รายละเอียดในสิทธิบัตรระบุถึงการประยุกต์ใช้งานปุ่ม Crown เพื่อใช้ในการควบคุมที่หลากหลายมากขึ้นตั้งแต่สัมผัส, ปัดนิ้ว, หมุน, เอียง แต่ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมว่าจะถูกนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ตัวใดและช่วงเวลาไหนบ้าง
Mark Gurman แห่ง Bloomberg อัพเดตข้อมูลสินค้าใหม่แอปเปิลผ่านจดหมายข่าว Power On ประจำสัปดาห์ คราวนี้พูดถึง iPhone 15, Mac ชิป M3 และเซสชันของนักพัฒนาสำหรับ Apple Vision Pro
เริ่มที่ iPhone 15 ข้อมูลจาก Gurman พบว่าแอปเปิลมักมีรอบอัพเกรด iPhone ครั้งใหญ่ทุก 3 ปี ในระยะหลัง (iPhone 6 ปี 2014 มีสองขนาดจอ, iPhone X ปี 2017 มี FaceID, iPhone 12 ปี 2020 รองรับ 5G) โดยสำหรับ iPhone 15 การเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ ขอบหน้าจอที่เล็กลง, ขอบเครื่องไทเทเนียม และพอร์ต USB-C
Unity เริ่มเปิดให้นักพัฒนาเข้าใช้เครื่องมือพัฒนาแอพสำหรับ visionOS ระบบปฏิบัติการโลก 3D ของแอปเปิล ตามที่ประกาศไว้ในงาน WWDC23
การทดสอบยังไม่เปิดทั่วไป ต้องสมัครเข้าร่วมโครงการ Beta ของ Unity และได้รับการคัดเลือกก่อน
David Reid ศาสตราจารย์ด้าน AI และ Spatial Computing ของมหาวิทยาลัย Liverpool Hope อธิบายถึงเหตุผลที่ใส่ Apple Vision Pro แล้วไม่เวียนหัวเหมือนอุปกรณ์ VR อื่น เนื่องจาก Apple พยายามแก้ไขปัญหาโดยการทำให้ภาพที่เห็นดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นและปรับระยะโฟกัสสายตา
ปัญหาที่พบบ่อยที่สุดในการใส่แว่น VR คือ อาการเวียนหัว จากความขัดแย้งระหว่างจุดรวมสายตาและการปรับโฟกัส Vergence-Accommodation Conflict (VAC) เมื่อจุดรวมสายตาและจุดโฟกัสไม่ตรงกันระหว่างระยะทางของวัตถุ 3D เสมือนจริงกับระยะโฟกัสที่วัตถุนั้น จะส่งผลให้รู้สึกไม่สบายตา, ปวดตา และเหนื่อยล้าจากการใช้แว่น VR
รายงานนี้มาจาก Mark Gurman แห่ง Bloomberg คนเดิม โดยเขาอ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง พูดถึงแผนการขายเฮดเซต Vision Pro ของแอปเปิล ซึ่งแอปเปิลบอกว่าจะเริ่มขายต้นปี 2024 ในอเมริกา แต่ไม่ได้พูดถึงประเทศอื่น
Gurman บอกว่าแผนการขายในอเมริกา ส่วนของ Apple Store แต่ละสาขาอาจมีเฮดเซตให้ลองเพียง 1-2 ตัว และต้องจองคิวล่วงหน้าเพื่อทดลองใช้งาน คล้ายกับตอนเปิดตัว Apple Watch ช่วงแรก ขณะที่สาขาใหญ่บางเมือง จะสร้างพื้นที่เฉพาะสำหรับ Vision Pro เพิ่มเติมด้วย
มีรายงานจาก Financial Times โดยอ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับการผลิต ระบุว่าแอปเปิลได้สั่งลดคาดการณ์ตัวเลขผลิตเฮดเซต Vision Pro ที่เปิดตัวเมื่อเดือนที่แล้วลง
Luxshare ซึ่งเป็นโรงงานเดียวที่ประกอบเฮดเซต Vision Pro นี้ ล่าสุดได้รับแจ้งตัวเลขการผลิตที่ประมาณ 4 แสนชุด สำหรับวางขายในปีแรก 2024 ซึ่งน้อยกว่าตัวเลขแรกที่แอปเปิลคาดไว้คือ 1 ล้านชุด
สาเหตุหลักที่แอปเปิลลดตัวเลข มาจากความซับซ้อนในงานผลิต ทำให้เฮดเซตผลิตออกมาได้ล่าช้ากว่าที่ประเมิน รวมทั้งส่งผลต่อแผนการผลิต Vision Pro รุ่นที่ราคาถูกลงด้วย
ทั้งนี้แอปเปิลและ Luxshare ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นต่อรายงานดังกล่าว
Mark Gurman แห่ง Bloomberg รายงานข้อมูลใน Power On ว่าหลังจากที่ Apple ได้เปิดตัว Apple Vision Pro ในงาน WWDC 2023 ที่ผ่านมา เริ่มมีการให้พนักงานภายในบริษัททดสอบตัวแว่น ซึ่งปัญหาที่พบคือในเรื่องของน้ำหนักที่มากเกินไป ทาง Gurman คาดว่า Apple ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะแถมมาในกล่องด้วยไหม ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้อาจจะต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้อสายคาดด้านบนของเครื่อง Apple Vision Pro เอง
วัสดุที่นำมาใช้ทำ Apple Vision Pro ประกอบด้วย อะลูมิเนียมและกระจก จึงทำให้ตัวเครื่องค่อนข้างมีน้ำหนัก ทาง Apple จึงแก้ปัญหาโดยการเพิ่มสายคาดด้านบนเพื่อช่วยลดแรงกดทับของตัวเครื่อง
มีรายงานเกี่ยวกับฟีเจอร์ที่น่าสนใจในเฮดเซต Apple Vision Pro หลังจากแอปเปิลปล่อยชุดพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับ visionOS ออกมา นั่นคือโหมดการใช้งานขณะเดินทางหรือ Travel Mode
Travel Mode นี้ คาดว่าออกแบบมาสำหรับการเดินทางบนเครื่องบิน ซึ่งมีสภาพพื้นที่จำกัด และผู้โดยสารไม่ได้ลุกขยับไปมา โดยเมื่อเปิดโหมดการทำงานนี้ จะมีฟังก์ชันหลายอย่างที่เปลี่ยนไป เช่น ปิดการตรวจจับคนที่ผ่านมาใกล้ ๆ, ปิดการแสดงอวตาร Digital Persona ของผู้ใช้งาน, การวัดระยะวัตถุอาจคลาดเคลื่อนได้ นอกจากนี้เมื่อเปิดโหมดใช้งานนี้ Vision Pro จะแสดงคำเตือนให้ผู้ใช้งานต้องนั่งอยู่กับที่ด้วย
Apple ประกาศปล่อยชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Development Kit หรือ SDK) ของ vision OS ให้กับเหล่านักพัฒนา หลังจากเปิดตัวในงาน WWDC ที่ผ่านมา
นักพัฒนาสามารถใช้งาน Vision Pro และ vision OS ในการออกแบบแอปพลิเคชันใหม่ ๆ สำหรับแว่น Vision Pro เพื่อการใช้งานในหลากหลายด้าน โดยเดือนหน้า Apple จะเปิด Developer labs ใน Cupertino, London, Munich, Shanghai, Singapore และ Tokyo เพื่อให้เหล่านักพัฒนาได้ทดลองแอปพลิเคชันของพวกเขาใน Apple Vision Pro ตัวจริงซึ่งจะได้รับการดูแลจาก วิศวกรของ Apple โดยตรง
นักพัฒนาสามารถเข้าถึงเครื่องมือของ Apple ที่เคยใช้งานบน OS อื่นๆ อย่าง Xcode, SwiftUI, RealityKit, ARKit, และ TestFlight
HuaweiCentral (HC) Newsroom เปิดเผยว่า HUAWEI เคยจดเครื่องหมายการค้า Vision Pro หมายเลขจดทะเบียน 38242888 ไว้ตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งอาจทำให้ Apple ต้องทำการเปลี่ยนชื่อผลิตภัณฑ์ในประเทศจีน
HUAWEI ได้ยื่นจดเครื่องหมายการค้า ที่มีอายุตั้งแต่ 28 พฤศจิกายน 2021 - 27 พฤศจิกายน 2031 ครอบคลุมสินค้าพวก อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล, คอมพิวเตอร์, คีย์บอร์ด, เมาส์, ปากกาและอื่นๆ ซึ่งรวมไปถึงอุปกรณ์ VR Headset แบบสวมศีรษะ และ Wearable Video Displays
หลังแอปเปิลจัดงาน WWDC 2023 ที่ผ่านมา พร้อมกับเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Vision Pro ได้เพียงสัปดาห์เดียว ส่งผลให้ราคาหุ้น Apple (AAPL) เมื่อคืนที่ผ่านมามีราคาปิดอยู่ที่ $183.79 ซึ่งเป็นสถิติ All-time high ใหม่ในรอบกว่าหนึ่งปี
การที่ทำราคาปิดสูงสุดใหม่ครั้งนี้ ทำให้มูลค่าบริษัท Apple อยู่ที่ประมาณ 2.89 ล้านล้านดอลลาร์ และถือเป็นครั้งแรกที่มูลค่าบริษัท เข้าไปใกล้เคียงตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่ที่เคยทำได้เมื่อปลายมกราคม 2022 ที่มูลค่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ เพราะหลังจากนั้นแอปเปิลสูญเสียมูลค่าไปประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องซัพพลายของ iPhone ทำให้ยอดขายลดลง และแทบไม่เคยกลับไปแตะตัวเลขดังกล่าวได้อีกแล้ว
มีรายงานจาก Mark Gurman แห่ง Bloomberg คนเดิม โดยเป็นข้อมูลหลังจากแอปเปิลเปิดตัวเฮดเซต Apple Vision Pro ที่จัดเต็มด้านสเป็กฮาร์ดแวร์ จึงมาพร้อมกับราคาที่สูงถึง 3,500 ดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยก็ 1.2 แสนบาท ฉะนั้นเรื่องที่หลายคนเดาไว้ก็คือ แอปเปิลต้องมีรุ่นที่ถูกกว่าออกมาแน่ในอนาคต
Gurman บอกว่าชิ้นส่วนที่ทำให้แว่น Vision Pro แพง คือ กล้องและเซนเซอร์, ชิป และจอ 4K OLED ด้านในและด้านนอก ฉะนั้นถ้าอยากทำให้ราคาเฮดเซตนี้ถูกลง ก็ต้องลดต้นทุนใน 3 ส่วนนี้ให้ได้ ที่ดูง่ายที่สุดคือตัดจอด้านนอกที่แสดงดวงตาผู้สวมใส่ เพราะน่าจะจำเป็นน้อยที่สุดแง่ฟังก์ชัน แต่เขาเชื่อว่าแอปเปิลจะไม่ทำ เพราะนี่เป็นจุดขายสำคัญของเฮดเซตจากแอปเปิล
จุดขายสำคัญของเฮดเซต Vision Pro ของแอปเปิล คือการควบคุมสั่งการโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เพิ่มเติม แต่ใช้การตรวจจับตำแหน่งดวงตา และการออกท่าทางของมือ (Gesture) ซึ่งในเซสชันสำหรับนักพัฒนา แอปเปิลก็ได้ลงรายละเอียดที่มากขึ้นของส่วนติดต่อผู้ใช้งานนี้
โดยรูปแบบการออกท่าทางมือพื้นฐาน มีทั้งหมด 6 รูปแบบได้แก่
หลังการเปิดตัว Vision Pro เฮดเซต Mixed Reality ของแอปเปิล ซึ่งอาจเป็นคำตอบของผลิตภัณฑ์โลกเสมือน ล่าสุด Mark Zuckerberg ผู้จุดกระแสคำว่า Metaverse ก็ออกมาให้ความเห็นต่อ Vision Pro แล้ว
โดยมีรายงานจากการประชุมพนักงาน Meta ล่าสุด ซึ่ง Zuckerberg ให้ความเห็นต่อ Vision Pro ว่า เทคโนโลยีที่นำเสนอไม่มีเรื่องใหม่ที่เกินคาดคิด Meta เคยศึกษาแนวทางเหล่านี้มาทั้งหมดแล้ว นอกจากนี้เขายังให้ความเห็นกับราคาเฮดเซต 3,499 ดอลลาร์ ว่าสิ่งนี้สะท้อนแนวทางแอปเปิลที่แตกต่างจาก Meta มาก เพราะบริษัทต้องการทำสินค้าที่ทุกคนเข้าถึงได้ โดย Quest 3 มีราคา 499 ดอลลาร์ ส่วน Quest Pro ราคา 999 ดอลลาร์
หลังจากแอปเปิลเปิดตัว Vision Pro เฮดเซตแบบ Mixed Reality ในงาน WWDC23 เมื่อต้นสัปดาห์ แอปเปิลได้เชิญสื่อและยูทูบเบอร์จำนวนหนึ่ง ร่วมทดสอบการใช้งานที่ Apple Park โดยการทดลองใช้งานนี้ ไม่มีการบันทึกภาพและวิดีโอออกมาเผยแพร่ มีเพียงคำอธิบายและบอกเล่าเท่านั้น รวบรวมมาดังนี้
Joanna Stern จาก The Wall Street Journal บอกว่าเฮดเซตค่อนข้างมีน้ำหนัก และรัดจมูกทำให้เวียนหัวเล็กน้อย แต่ทีมงานแอปเปิลบอกว่าจะปรับปรุงให้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามการสวมใส่นั้นสบายกว่าเฮดเซต Quest ของ Meta
Apple เข้าซื้อกิจการ Mira สตาร์ทอัปที่ทำแว่นตา AR โดยไม่มีการเปิดเผยมูลค่า
Mira ก่อตั้งในปี 2016 ที่ Los Angeles ทำธุรกิจผลิตแว่นตา AR ซึ่งเคยทำแว่นให้กับเครื่องเล่นในธีมปาร์ค Nintendo World ของ Universal Studio รวมถึงเคยรับงานให้กับกองทัพสหรัฐ รวมถึงกองทัพอากาศและกองทัพเรือ ขณะเดียวกัน Jonathan Ive อดีตหัวหน้าทีมออกแบบของ Apple เคยเป็นที่ปรึกษาให้กับ Mira อยู่ช่วงหนึ่งด้วย
ทั้งนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า Mira จะเข้ามามีบทบาทในธุรกิจ AR ของ Apple แค่ไหน หลังจาก Apple เพิ่งเผยโฉมผลิตภัณฑ์สายนี้เป็นครั้งแรกเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
ที่มา: The Verge
จากการเปิดตัวเฮดเซต Apple Vision Pro ก็มาพร้อมคำถามยอดนิยม แบบเดียวกับทุกสินค้าเฮดเซตประเภทนี้ นั่นคือคนที่ต้องใส่แว่นสายตาจะใช้งานเฮดเซตนี้อย่างไร?
คำตอบของแอปเปิลคือการร่วมมือกับ ZEISS บริษัทผู้ผลิตเลนส์ชื่อดัง ออกเลนส์ ZEISS Optical Inserts ซึ่งปรับให้เข้ากับปัญหาสายตาของแต่ละบุคคล แล้วนำส่วนเลนส์เสริมนี้ติดด้วยแม่เหล็กเข้ากับเฮดเซต Apple Vision Pro ทำให้สามารถมองเห็นได้ปกติ และรองรับฟีเจอร์การตรวจจับดวงตา
เรื่องต่อมาที่คนอยากรู้คือราคา ซึ่งแอปเปิลและ ZEISS ก็ยังไม่มีรายละเอียดส่วนนี้ บอกเพียงสินค้านี้จะจำหน่ายแยกในปีหน้าที่อเมริกา พร้อมกับช่วงการขายของ Vision Pro
ในงานเปิดตัวเฮดเซต Mixed Reality (MR) Vision Pro ของแอปเปิล แอปเปิลได้นำเสนอคำตอบ ของหนึ่งในโจทย์ที่ท้าทายทุกผลิตภัณฑ์โลกเสมือน ก็คือคอนเทนต์ที่นำมาใส่จะน่าสนใจแค่ไหน โดยแอปเปิลประกาศความร่วมมือกับดิสนีย์ และได้ซีอีโอ Bob Iger มาเป็นผู้นำเสนอเอง
ดิสนีย์ประกาศว่าจะนำคอนเทนต์ต่าง ๆ มาให้รับชมในรูปแบบประสบการณ์ Immersive แบบครบทุกมิติ ผ่านบริการสมัครสมาชิก Disney+ (ในอเมริกา) ซึ่งสามารถรับชมได้ตั้งแต่วันแรกที่เฮดเซต Vision Pro ขาย
ในงาน WWDC23 เมื่อคืน แอปเปิลให้รายละเอียดของแว่นตาผสมผสานโลกเสมือน Apple Vision Pro โดยบอกว่าทำงานด้วยระบบปฏิบัติการใหม่ visionOS ที่มีพื้นฐานมาจาก iOS มีส่วนติดต่อผู้ใช้งานเป็นแบบ 3D
อย่างไรก็ตามสิ่งท้าทายของแอปเปิลคือทำอย่างไรให้มีแอปมารันในแพลตฟอร์มใหม่มากพอ แบบที่เกิดขึ้นแล้วใน iOS, iPadOS แอปเปิลจึงประกาศความร่วมมือกับ Unity เพื่อนำเทคโนโลยีอย่าง PolySpatial มาช่วย เพื่อให้แอป 3D ที่พัฒนาบนพื้นฐานของ Unity อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแอปใช้งานหรือเกม สามารถพอร์ตมารองรับให้ทำงานบน visionOS ได้ รวมถึงให้แอปอื่นมาปรับรูปแบบเป็น 3D ได้ง่ายขึ้นด้วย
แอปเปิลเปิดตัวแว่น mixed reality (MR) ของตัวเองตามข่าวลือก่อนหน้านี้ในชื่อ Apple Vision Pro ตัวแว่นทำงานแบบแว่น VR ความละเอียดสูง พร้อมกล้องด้านหน้าทำให้สามารถถ่ายภาพสภาพแวดล้อมเข้าไปแสดง ผสมกันระหว่างโลกความเป็นจริงกับโลกเสมือน
ภายในแว่นเป็นจอแสดงผลความละเอียดสูงถึง 23 ล้านพิกเซลเพื่อให้แสดงภาพได้เหมือนจริง สามารถแสดงภาพเหมือนมีหน้าจอขนาด 30 เมตรอยู่ตรงหน้า โดยมีปุ่มปรับได้ว่าจะผสมโลกความเป็นจริงเข้ามาในภาพที่แสดงผลมากน้อยแค่ไหน