EPEAT (Electronic Product Environmental Assessment Tool) หรือหน่วยงานที่ดูแลมาตรฐานเกี่ยวกับผลกระทบของผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ด้านสิ่งแวดล้อมประกาศว่า แอปเปิลได้แจ้งขอถอดผลิตภัณฑ์ออกจากการรับรอง และจะไม่ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเข้ารับการตรวจสอบความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป
iFixit ได้ลองแกะ MacBook Pro รุ่นจอแบบ Retina ก็ไม่พบการประทับตรา EPEAT แล้ว และยังพบว่าแอปเปิลเลือกใช้กาวที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ในการติดแบตเตอรี่เข้ากับเครื่อง และเคสของเครื่องก็แทบจะไม่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ iFixit ยังรายงานว่ารายงานด้านสิ่งแวดล้อมของ MacBook Pro รุ่นจอปกติก็ไม่มีการกล่าวถึงมาตรฐาน EPEAT เช่นกัน
เว็บไซต์ Sortable ได้จัดทำ infographic เกี่ยวกับผลกระทบของ iPad ที่มีต่อสิ่งแวดล้อม โดยข้อมูลที่น่าสนใจหลักๆ ก็คือ iPad เครื่องหนึ่งนั้นจะปล่อยคาร์บอนเป็นปริมาณเทียบเท่าได้กับการขับรถเป็นระยะทาง 515 ไมล์ (หรือประมาณ 828 กิโลเมตร) โดย iPad รุ่นที่ 3 นั้นปล่อยคาร์บอนออกมามากที่สุด คิดเป็นปริมาณกว่า 180 กิโลกรัม ส่วน iPad รุ่นแรกและ iPad 2 ปล่อยคาร์บอนคิดเป็นปริมาณ 130 กิโลกรัมและ 105 กิโลกรัมตามลำดับ ซึ่งเมื่อคิดปริมาณคาร์บอนที่ถูกปล่อยโดย iPad ทั้ง 55 ล้านเครื่องที่ถูกขายออกไปแล้วนั้น ก็จะอยู่ที่ 7,590,000 ตัน ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณของคาร์บอนที่ถูกปล่อยโดยรถยนต์ 1,265,000 คันในหนึ่งปี
แอปเปิลเพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงานทดแทนที่ศูนย์ข้อมูลของตนเองในรัฐนอร์ทแคโรไลนาบนเว็บไซต์ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมของตนเอง ซึ่งในรายงานล่าสุดกล่าวถึงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ขนาด 100 เอเคอร์ (ประมาณ 250 ไร่) ซึ่งสามารถผลิตพลังงานได้ทั้งสิ้น 42 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นโรงงานไฟฟ้าส่วนบุคคลที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา
HP กำลังสร้างศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่ที่เมือง Wynyard ในอังกฤษ ความพิเศษคือศูนย์ข้อมูลแห่งนี้อยู่เกือบติดทะเล และระบายความร้อนด้วยลมธรรมชาติล้วนๆ
การทำงานของมันคือ จะมีพัดลมขนาดใหญ่ดูดลมภายนอกไปใช้ระบายความร้อน ลมที่ถูกดูดเข้าไปจะผ่านตัวกรองฝุ่นและสิ่งสกปรกออก ก่อนที่จะเอาไปวิ่งผ่านเครื่องเซิร์ฟเวอร์ โดยจำกัดอุณหภูมิให้คงที่ที่ประมาณ 24C
เมืองที่ศูนย์ข้อมูลแห่งนี้ตั้งอยู่มีอุณหภูมิคงที่ที่ประมาณ 24C เป็นเวลา 20 ชม. ต่อวัน ซึ่งเอื้อต่อวิธีการระบายความร้อนในลักษณะนี้มาก อย่างไรก็ตาม ศูนย์ข้อมูลแห่งนี้ยังต้องมีเครื่องทำความเย็นเพื่อใช้เป็นครั้งคราว การใช้สภาพธรรมชาติช่วยลดพลังงานแบบนี้ ช่วยลดค่าไฟของ HP ลงได้ 4.16 ล้านดอลลาร์ต่อปี
นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2006 กรีนพีซได้มีการให้คะแนนและจัดอันดับบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ในด้านของสิ่งแวดล้อมพร้อมคำแนะนำของแต่ละบริษัทในการแก้ไขปรับปรุงให้ผลิตภัณฑ์และการดำเนินการต่างๆ นั้นให้ดีต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยรายงานนี้จะมีการทำขึ้นทุกๆ สองสามเดือน และรายงานครั้งล่าสุดประจำเดือนมกราคม 2010 มีผลคะแนนและอันดับดังต่อไปนี้ครับ (ตัวเลขในวงเล็บคือคะแนนประจำเดือนกันยายน 2009)
นับย้อนไปตั้งแต่ปี 2006 ที่กรีนพีซเริ่มโจมตีบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแอปเปิลถึงเรื่องการไม่เอาใจใส่สิ่งแวดล้อมในผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ตั้งแต่การใช้สารพิษ ไปจนถึงระบบการรีไซเคิลผลิตภัณฑ์เมื่อหมดอายุขัยแล้ว จากการเคลื่อนไหวดังกล่าวบริษัทต่างๆ ก็เริ่มตื่นตัวมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแอปเปิลที่ถูกโจมตีอย่างหนักในช่วงแรก จนเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2007 จ็อบส์ต้องเขียนจดหมายเปิดผนึกเกี่ยวกับแผนการด้านสิ่งแวดล้อมของตนเอง ล่าสุดทางกรีนพีซได้ออกมาชื่นชมแอปเปิลที่สามารถกำจัดสารอันตรายในระดับสูงออกไปจากสายผลิตภัณฑ์ของทั้งบริษัทได้เป็นผลสำเร็จ
จากเดิมที่แอปเปิลประกาศลาออกจากหอการค้าสหรัฐฯ เนื่องจากไม่พอใจที่หอการค้าฯ วิจารณ์ถึงแนวทางด้านสิ่งแวดล้อมของ EPA (ดูข่าวเก่า) ล่าสุดทางประธานหอการค้าสหรัฐฯ Thomas Donohue ส่งจดหมายกลับหาแอปเปิลว่าทางแอปเปิลไม่ใช้เวลาพิจารณาเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วน และจะส่งผลร้ายต่อโลกนี้มากกว่าดี
ใจความสำคัญของจดหมายของทางหอการค้าสหรัฐฯ ระบุว่าข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมของ EPA จะทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากต้องตกงาน และกำลังการผลิตเดิมจะถูกโอนออกไปยังประเทศอื่นๆ ซึ่งไม่พ้นต้องสร้างก๊าซเรือนกระจกขึ้นมาอยู่ดี
คงต้องรอดูกันต่อไปว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร
กูเกิลร่วมมือกับ Intergovernmental Panel on Climate Change นำข้อมูลการคาดการณ์ของ IPCC ว่าโลกในปี 2100 หลังจากเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) มาใส่ลงใน Google Earth ให้เห็นภาพ
ความร่วมมือครั้งนี้เพื่อเตรียมรับการประชุม United Nations Climate Change Conference Copenhagen 2009 (COP15) ที่เดนมาร์กในเดือนธันวาคมนี้
ใครมี Google Earth ก็ไปดาวน์โหลดแผนที่มาดูเล่นกันได้ที่ Google COP15 ถ้าขี้เกียจเปิด Google Earth แต่ใช้ Windows/Mac ก็ดูผ่าน Google Earth Browser Plugin ได้เช่นกัน ถ้าขี้เกียจทุกอย่างหรือใช้ลินุกซ์ มีวิดีโอหนังตัวอย่าง พากย์โดยอัล กอร์ ให้ดูด้านใน
ที่มา - smh.com.au
ไมโครซอฟท์ได้เปิดตัวเว็บไซต์ Hohm รุ่นเบต้าเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยเป็นเว็บแอพพลิเคชั่นที่ใช้แสดงข้อมูลวิธีการประหยัดพลังงานไฟฟ้าและแก็ส โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในงาน Edison Electric Institute Annual Convention / Expo โดยคุณ Craig Mundie ซึ่งเป็น Chief Research and Strategy
รัฐวาติกันจะทำการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปแล้ว ด้วยงบประมาน 660 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โรงไฟฟ้าพลังงานของรัฐจะทำการผลิตไฟฟ้าได้ 110 เมกะวัตต์ เพียงพอที่จะสามารถเลี้ยงความต้องการพลังงานใช้ไฟฟ้าให้กับ 40,000 กว่าครอบครัว โดยโครงการนี้เริ่มต้นได้เนื่องจากเป็นความต้องการของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกท์ที่ 16
ที่มา - Slashdot
ผมพาดหัวให้เวอร์ๆ นะครับ แต่จริงๆ เนื้อหาของข่าวคือมีผลวิจัยใหม่จาก Harvard ออกมาว่า การค้นหาผ่านกูเกิล 2 ครั้ง จะก่อให้เกิดสารคาร์บอนไดออกไซด์เท่ากับการต้มน้ำร้อนสำหรับชา 1 ถ้วยในกาน้ำ
การต้มน้ำหนึ่งครั้งจะเกิดคาร์บอนไดออกไซด์ 15 กรัม ส่วนการค้นเว็บจะใช้ 7 กรัม ซึ่งตัวเลขนี้คำนวณมาจากปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ศูนย์ข้อมูลของกูเกิลปล่อยออกมา ซึ่งถ้าเอาตัวเลขการค้นหาวันละประมาณ 200 ล้านครั้งมาคูณ ก็จะมีผลต่อสิ่งแวดล้อมมากทีเดียว
นอกจากกูเกิลแล้ว นักวิจัยทีมเดิมยังได้วิเคราะห์ว่าการประมวลผลเว็บเพจง่ายๆ 1 หน้าจะผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาด้วยอัตรา 0.02 กรัมต่อวินาที แต่ถ้าเว็บหน้านั้นมีภาพเคลื่อนไหวหรือวิดีโอที่ซับซ้อน ตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้น 10 เท่ามาเป็น 0.2 กรัมต่อวินาที
กูเกิลได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอันดับต้นในวงการไอที [ข่าวเก่า] หรือเรียกกันว่าเป็นผู้นำด้าน "กรีนไอที" ข่าวล่าสุดจากคู่กัดของกูเกิลอย่างไมโครซอฟท์ ได้ออกมาเปิดเผยให้ชาวโลกทราบว่า ไมโครซอฟท์ก็ไม่ยิ่งหย่อนในเรื่องกรีนไอทีเช่นกัน
บริษัทแห่งหนึ่งในประเทศเนเธอร์แลนด์ได้นำฟอนต์ Sans Serif แบบโอเพนซอสแล้วเพิ่มรูเข้าไปในตัวฟอนต์ ด้วยความพยายามที่จะลดการใช้หมึกจากปริ้นเตอร์
Ecofont รายงานว่าวิธีนี้นั้นสามารถลดค่าใช้จ่ายหมึกพิมพ์ได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ วิธีนี้ได้ผลดีแต่จำเป็นที่จะต้องคำนวนหาจำนวนรูที่เหมาะสม โดยจำนวนรูเหล่านี้ต้องไม่ทำให้การอ่านตัวหนังสือนั้นยากขึ้นแต่อย่างใด
ที่มา - Slashdot
รายงานวิจัยของ ABI research ระบุว่า ในขณะที่บรรดาผู้ขายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่วนใหญ่กำลังได้รับกระแสกดดันจากสังคมให้หันมาให้ความสนใจต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้นนั้น พบว่ามีผู้ผลิตเพียงไม่กี่รายที่ให้ความสนใจพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “Green Phones”
บริษัทการ์ตเนอร์ (Gartner) จัดอันดับเทคโนโลยีทั้งหมด 10 อันดับที่จะมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการวางแผนกลยุทธ์เทคโนโลยีสำหรับปีหน้า (พ.ศ. 2552 หรือ ค.ศ. 2009) โดยนักวิเคราะห์จากการ์ตเนอร์เชื่อว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะมีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจในอีก 3 ปีข้างหน้า และการ์ตเนอร์แนะนำบริษัทต่างๆว่าควรให้ความสนใจกับเทคโนโลยีเหล่านี้ว่าจะนำมาเพิ่มศักยภาพสำหรับการดำเนินธุรกิจในส่วนไหนของบริษัทได้บ้าง มาดูกันครับว่า เทคโนโลยีทั้ง 10 อันดับนี้มีอะไรบ้าง
กูเกิล (Google) ประกาศความเป็นผู้นำด้านศูนย์ข้อมูลอนุรักษ์ธรรมชาติ จากการที่กูเกิลใส่ใจกับการประหยัดพลังงานไฟฟ้าที่ถูกใช้โดยศูนย์ข้อมูล และการใช้ทรัพยากรน้ำให้เกิดประสิทธิภาพ ตลอดจนการนำเซิร์ฟเวอร์เก่ากลับมาใช้งานใหม่และนำชิ้นส่วนของเซิร์ฟเวอร์เหล่านั้นไปรีไซเคิล
ในยุคนี้ ปัญหาโลกร้อนเป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันรณรงค์ สำหรับวงการไอทีเองก็มีหลายบริษัทต่างพากันชูผลิตภัณฑ์รักษ์โลกสีเขียวและเรียกติดปากกันว่า Green IT * ไม่เว้นแม้แต่วงการซูเปอร์คอมพิวเตอร์ซึ่งแต่เดิมต่างเน้นพลังในการประมวลผลที่กินไฟอย่างไม่เกรงใจธรรมชาติ มีอยู่รุ่นหนึ่งกินไฟมากจนทำให้ไฟตกกันทั้งประเทศได้เลย และการใช้ไฟฟ้าอย่างมหาศาลนี้ย่อมหมายถึงการปล่อย CO2 ต้นตอแห่งปัญหาโลกร้อนตามมาด้วย แต่ข้อมูลล่าสุดจาก Green500 ได้ชี้ให้เห็นว่านักออกแบบและพัฒนาซูเปอร์คอมพิวเตอร์บางรายให้ความสำคัญกับพลังประมวลผลที่คำนึงควบคู่ไปพร้อมกับการประหยัดพลังงานไฟฟ้า
อินเทลเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Xeon แบบ Quad-Core รุ่นใหม่ที่ไม่ใช้สารฮาโลเจน (halogen) ในกระบวนการผลิตชิป ทั้งนี้ อินเทลปล่อย Xeon ชุดใหม่ออกมาพร้อมกัน 4 รุ่นด้วยกันคือ L5430, X5470, X5492, และ X5270 โดยมีความเร็วสัญญาณนาฬิกาตั้งแต่ 2.66 GHz จนถึง 3.5 GHz สำหรับชิปรุ่นแรกของอินเทลที่ปลอดสารฮาโลเจนคือชิป Atom ที่เพิ่งออกสู่ตลาดเมื่อต้นปีนี้เอง และอินเทลยังเคยตั้งเป้าไว้ว่าจะไม่ใช้สารฮาโลเจนสำหรับการผลิตชิปทุกรุ่นภายในปีนี้ให้ได้
รถยนต์แบบไฮบริดในวันนี้คงไม่มีใครเกินหน้า Toyota Prius ที่ยอดขายเกินล้านคันไปได้ และเนื่องจาก Prius รุ่นที่สองนั้นวางตลาดมาใกล้ครบห้าปีแล้ว (รุ่นแรกในปี 1997 รุ่นสองในปี 2003) เลยคาดกันว่ารุ่นที่สามนั้นน่าจะวางตลาดภายในปีหน้า และความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือการติดแผงโซลาร์เซลล์ไปบนตัวรถ
ข่าวนี้ยังไม่มียืนยันจากทางโตโยต้าแต่อย่างใด แต่ในตัวข่าวก็ระบุว่าตัวแผงโซลาเซลล์นั้นจะผลิตโดยบริษัทเคียวซีร่า และพลังงานที่ได้จะถูกนำมาใช้ในระบบปรับอากาศ
ไม่รู้ว่าบ้านเรานโยบายเรื่อง Eco-car ไปถึงไหนกันแล้ว
ที่มา - Reuters
ปรกติแล้วในบ้านเราภาษีรถยนต์จะคิดตามขนาดกระบอกลูกสูบและจำนวนที่นั่งเป็นหลัก แต่ออสเตรียกำลังเริ่มนำร่องการช่วยปัญหาโลกร้อนด้วยการลดภาษีให้กับรถยนต์ที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่า 120 กรัมต่อระยะทางหนึ่งกิโลเมตร และไนโตรเจนออกไซด์น้อยกว่า 60 มิลลิกรัมต่อกิโลเมตร ส่วนรถยนต์ที่ปล่อยคาร์บอนมากกว่า 180 กรัมต่อกิโลเมตรนั้นจะถูกปรับเป็นเงิน 25 ยูโรต่อคาร์บอนไดออกไซด์หนึ่งกรัมที่ปล่อยเกินมาตรฐาน
นอกจากนี้แล้วเทศบาลเมืองเวียนนายังมีนโยบายสนับสนุนการใช้ก๊าซธรรมชาติด้วยการจ่ายเงินช่วยเหลือให้กับรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเงิน 1,000 ยูโรต่อคันอีกด้วย
ที่มา - PhysOrg
เมอร์เซเดส-เบนซ์ประกาศไม่พึ่งพิงน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงภายในปี 2015 โดยให้เหตุผลสามข้อ คือ ต้นทุน, สิ่งแวดล้อม และลดความเสี่ยงจากภาวะน้ำมันหมดโลกในอนาคต
เมอร์เซเดส-เบนซ์ลงทุนไปแล้วกว่า 2 ล้านปอนด์ในแผนระยะยาวชื่อ Sustainable Mobility และเตรียมจ่ายอีก 7 พันล้านปอนด์ระหว่างช่วงนี้ถึงปี 2014 โดยจะวิจัยเพิ่มความสะอาดของเครื่องยนต์ การเพิ่มอัตราส่วนของเครื่องไฮบริด รวมถึงพลังงานอื่นๆ อย่างเช่นไฮโดรเจนด้วย
รถรุ่น A-Class และ B-Class ที่เตรียมขายเดือนตุลาคมนี้จะมีเทคโนโลยี Start/Stop ซึ่งเมื่อรถจอดติดไฟแดงจะหยุดเครื่องยนต์โดยอัตโนมัติ และติดเครื่องใหม่ให้อีกรอบ เมื่อคนขับปล่อยเท้าออกจากเบรกตอนไฟเขียว ส่วน Blue Efficiency A-Class 160 และ C-Class ที่ออกปลายปีจะประหยัดน้ำมันขึ้น 12%
ภาวะโลกร้อนกำลังส่งผลอย่างต่อเนื่องมาเรื่อยๆ และในปีนี้นักวิทยาศาสตร์คาดกันว่ามีโอกาสครึ่งครึ่งที่เราจะพบว่าที่จุดขั้วโลกเหนือจะมีช่วงเวลาที่กลายเป็นทะเลเปิดโดยไม่มีน้ำแข็งปกคลุมคามปรกติ
น้ำแข็งชั้วโลกมีการละลายอยู่เป็นเรื่องปรกติ แต่การละลายในช่วงหลายปีที่ผ่านมากำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในปีที่แล้วทะเลเปิดนั้นห่างออกไปจากจุดขั้วโลกเหนือเพียง 700 ไมล์เท่านั้น และในปีนี้หากสภาพอากาศและลมเป็นใจแล้ว เราก็อาจจะมีโอกาสได้เห็นทะเลเปิดเข้าไปถึงจุดขั้วโลก
ในเว็บที่มาที่ข้อมูลแสดงพื้นที่น้ำแข็งที่เก็บจากดาวเทียมมาให้ดูกันว่าภาพที่น้ำแข็งกำลังลดลงนั้นเป็นอย่างไรด้วยครับ
ปลาวาฬเพชฌฆาตดำสามสิบตัวขึ้นมาเกยตื้นที่หาดบนเกาะราชา จังหวัดภูเก็ต แต่ได้รับการช่วยเหลือจากชาวบ้านและเจ้าหน้าที่รีสอร์ทบริเวณใกล้เคียงจนสามารถกลับลงทะเลได้ 29 ตัวและช๊อกจนเสียชีวิตไปหนึ่งตัว
ปลาวาฬเพชฌฆาตดำกลุ่มนี้มความยาวลำตัวตั้งแต่ 2.6 ถึง 4 เมตร สำหรับสาเหตุการเกยตื้นนั้นยังไม่สามารถยืนยันได้ แต่คาดว่าน่าจะเป็นเพราะคลื่นลมแรงทำให้ฝูงปลาวาฬถูกคลื่นซัด หรือคลื่นโซนาร์ที่ปลาวาฬใช้ในการนำทางนั้นผิดพลาด
ปลาวาฬเพชฌฆาตดำเป็นสัตว์จำพวกเดียวกันปลาโลมา และไม่ดุร้ายเหมือนปลาวาฬเพชฌฆาตแต่อย่างใด
เป็นที่ทราบกันว่า ปริมาณน้ำแข็งที่ขั้วโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลนั้น มีความหนาลดลงทุกปี ตามอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มขึ้น
นักวิจัยจาก National Snow and Ice Data Center มหาวิทยาลัย Colorado ได้แสดงความเป็นห่วงว่า ฤดูร้อนในปีนี้มีโอกาสเป็นไปได้ที่น้ำแข็งบนขั้วโลกเหนือจะละลายจนหมด เนื่องจากชั้นน้ำแข็งที่เคลือบผิวหน้าทะเลเอาไว้บางลงมากเป็นประวัติการณ์ โดยเป็นผลเนื่องมาจากปรากฏการณ์ Arctic Oscillation ทำให้อัตราการไหลของน้ำแข็งขั้วโลกลงสู่ทะเลเร็วขึ้น เหลือเพียงชั้นน้ำแข็งบาง ๆ อายุ 1 ปีเท่านั้น