ปีที่แล้ว Vimeo กระโดดเข้าสู่แพลตฟอร์มไลฟ์สตรีม โดยเปิดตัวฟีเจอร์ Vimeo Live ล่าสุดเพิ่มฟีเจอร์ขึ้นมาสองตัวที่ทำให้ Vimeo อาจกลายเป็นศูนย์กลางจัดการวิดีโอของผู้สร้างได้ โดยเปิดตัวฟีเจอร์ Simulcast ให้คนไลฟ์ สตรีมวิดีโอสดจาก Vimeo ไปยัง แพลตฟอร์มอื่น เช่น Facebook, YouTube, Twich โดยใช้โปรโตคอล RTMP (real-time messaging protocol) และอีกฟีเจอร์คือ Publish to Social อัพโหลดวิดีโอตัวเองไปยังโซเชียลอื่นภายในคลิกเดียว
Facebook ถูกตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเบอร์โทรศัพท์มือถือที่ผู้ใช้ผูกไว้เพื่อรับรหัสผ่านจากวิธีการยืนยันตัวตนสองปัจจัยหรือ two-factor authentication ว่าทางบริษัทได้นำเบอร์โทรศัพท์เหล่านี้มาเพื่อส่ง SMS เกี่ยวกับโพสต์ของเพื่อน (เพื่อเชิญชวนให้ไปเล่น Facebook) รวมถึงถ้าเกิดตอบข้อความผ่าน SMS แล้ว ข้อความนั้น ๆ จะถูกโพสต์ลงไปบน Facebook ส่วนตัวอีกด้วย
ปี 2017 ที่ผ่านมา Unilever ผู้ผลิตของใช้ที่เรารู้จักกันดีอย่าง ชาลิปตัน, สบู่โดฟ, สเปรย์น้ำหอมยี่ห้อ Axe มีงบตลาดเป็นเงิน 9.5 พันล้านดอลลาร์ และประมาณ 2.4 พันล้านดอลลาร์เป็นงบโฆษณาลงดิจิทัล ซึ่งแพลตฟอร์มดิจิทัลรายใหญ่จริงๆ มีแค่ Facebook และ Google โดยทั้งสองเจ้ากินส่วนแบ่งโฆษณาดิจิทัล 84%
แต่ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ Unilever อาจทำให้ Facebook และ Google สูญเสียเม็ดเงินโฆษณาดังกล่าวไป เมื่อ Keith Weed ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด หรือ CMO ของ Unilever ประกาศเรียกร้องให้บริษัทโซเชียลมีเดียในซิลิคอนวัลเล่ย์จัดการปัญหาเนื้อหาที่ค้างคา ไม่ว่าจะเป็นข่าวปลอม เนื้อหาร้ายแรงต่อเด็ก hate speech โฆษณาชวนเชื่อก่อการร้าย
"ข่าวปลอม, การเหยียดผิว, สนับสนุนก่อการร้าย, hate speech, เนื้อหาเป็นพิษเจาะจงเด็กๆ เหล่านี้คือสิ่งที่เรากำลังประสบพบเจอ ซึ่งต่างจากที่สิ่งที่เราคิดว่าอินเทอร์เน็ตควรจะเป็นตั้งแต่แรก สื่ออุตสาหกรรมดิจิทัลควรให้ความสนใจและดำเนินการต่อเรื่องนี้" Weed กล่าว
Weed บอกด้วยว่า ทางบริษัทให้คำมั่นสัญญาจะเพิ่มเนื้อหาที่รับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น เช่น โฆษณาที่มีเนื้อหาต่อต้านการแบ่งแยก โดยจะร่วมมือกับพันธมิตรทางดิจิทัล ที่ให้คำมั่นว่าจะปรับปรุงโฆษณาเพื่อประสบการณ์ที่ดีของผู้บริโภค โดย Weed บอกเพิ่มเติมว่าได้เริ่มพูดคุยกับ Facebook , Google, Twitter, Amazon และ Snapchat ไปบ้างแล้ว
อาจมีผู้ใช้ Facebook หลายรายสังเกตเห็นมาก่อนหน้านี้ว่า Facebook มีฟีเจอร์ใหม่ โพสต์สเตตัสเป็น to do list หรือเป้าหมายที่จะทำในเรื่องต่างๆ ได้ เช่น ปีใหม่จะเป็นคนใหม่และจะทำในสิ่งต่อไปนี้ หรือ สถานที่ที่ต้องไปให้ได้ในปีนี้ เป็นต้น โดยผู้ใช้สามารถโพสต์ลิสต์ พร้อมด้วยพื้นหลังสีสดใสและตกแต่งด้วยอีโมจิ
ฟีเจอร์ Lists เปิดให้ใช้มาตั้งแต่เดือนมกราคมแล้ว แต่ยังไม่ครอบคลุมทั่วโลก แต่ล่าสุดเข้าใจว่าใช้กันได้อย่างแพร่หลายแล้ว โดยเริ่มวันนี้ (14 ก.พ.) วันแรก
องค์กรสิทธิผู้บริโภคในเยอรมันเผยว่า ศาลเยอรมันตัดสิน Facebook ละเมิดกฎการป้องกันข้อมูลส่วนตัว ด้วยการตั้งค่าให้ผู้ใช้ระบุชื่อนามสกุลจริงเป็นค่าเริ่มต้น
กฎหมายการป้องกันข้อมูลของเยอรมันระบุว่าข้อมูลส่วนบุคคลนั้น บริษัทสามารถบันทึกและนำไปใช้ภายใต้ข้อตกลงที่ชัดเจนจากแต่ละบุคคล แต่ศาลตัดสินว่า การให้ผู้ใช้ต้องให้ชื่อจริงเป็นค่าเริ่มต้นนั้นเป็นความล้มเหลว เพราะไม่ได้เสนอทางเลือกให้ผู้ใช้ได้รู้เลยว่าข้อมูลจะถูกนำไปใช้อย่างไร
ผู้พิพากษาตัดสินว่า Facebook มีการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวที่ละเมิดกฎ เช่น การแชร์ข้อมูลตำแหน่งกับคู่สนทนา หรือการสร้างโปรไฟล์ให้ search engine ภายนอกสามารถค้นหาได้ ข้อกำหนดการใช้งานจำนวน 8 ย่อหน้าของ Facebook ก็ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะประเด็นการเรียกร้องให้ผู้ใช้ใช้ชื่อจริง ศาลระบุอีกว่า สโลแกน "Facebook นั้นให้ผู้ใช้เข้าถึงได้ฟรี และมันจะเป็นเช่นนั้น" (Facebook is free and always will be) ก็เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด เพราะสิ่งที่ผู้ใช้ต้องจ่ายคือข้อมูล ไม่ใช่เงิน
Facebook อาจต้องเสียค่าปรับถึง 250,000 ยูโร หรือ 306,000 ดอลลาร์ แต่ Facebook ระบุว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อไป
eMarketer บริษัทวิเคราะห์การตลาดออกมาคาดการณ์ว่า ผู้ใช้งาน Facebook ที่มีอายุน้อย กำลังลดจำนวนลงเรื่อยๆ และลดเร็วกว่าที่คาดไว้ และในขณะที่ Facebook มี Instagram ที่ยังสามารถดึงดูดผู้ใช้อายุน้อยได้ แต่ Snapchat ก็กำลังเป็นที่น่าจับตามองเช่นกัน
สิ่งที่ eMarketer คาดการณ์คือ ปี 2018 นี้ อาจเป็นครั้งแรกที่จำนวนผู้ใช้งาน Facebook อายุ 12-17 ปี ในสหรัฐฯ มีจำนวนน้อยกว่าครึ่ง เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั้งหมดในกลุ่มอายุเดียวกัน แต่จำนวนจะไปเพิ่มที่กลุ่มผู้ใช้อายุมากแทน eMarketer คาดว่าจำนวนผู้ใช้ Facebook ในสหรัฐฯจะมี 169.5 ล้านรายในปี 2018 ซึ่งมากกว่าปีที่แล้วแค่ 1% เท่านั้น
ด้านจำนวนผู้ใช้งานอายุ 11 ปี และน้อยกว่านั้น จะลดลง 9.3% ส่วนผู้ใช้อายุ 12-17 ปี ลดลง 5.6% และอายุ 18- 24 ปี ลดลง 5.8% เท่ากับว่า Facebook จะสูญเสียผู้ใช้งานที่อายุต่ำกว่า 24 ปี เป็นจำนวน 2 ล้านราย
ส่วน Instagram ทาง eMarketer คาดการณ์ว่าจะมีผู้ใช้อายุน้อยกว่า 24 ปีเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านราย แต่ Snapchat จะมีผู้ใช้กลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้นมากกว่า Instagram คือ 1.9 ล้านราย แต่ Instagram ก็ยังคงครองสัดส่วนมากกว่าอยู่ดี
เมื่อ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook เจอปัญหารุมเร้าอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตั้งแต่ก่อตั้ง Facebook มา ใครจะคาดคิดว่าโซเชียลมีเดียที่ผู้คนใช้แชร์เรื่องราวไลฟ์สไตล์ อาหารน่ากิน อ่านบทความและดูวิดีโอที่น่าสนใจ จะกลายเป็นเครื่องมือแทรกแซงทางการเมืองที่อาจเปลี่ยนผลการเลือกตั้งได้ หรือแม้แต่สามารถเป็นช่องทางแพร่ข้อมูลปลอมของชาวโรฮิงญาในพม่า จนนำไปสู่เรื่องเศร้ามากมาย
Folha de S. Paulo หนังสือพิมพ์รายใหญ่ในบราซิลหยุดเผยแพร่ข่าวลง Facebook หลัง Facebook ประกาศให้ความสำคัญกับโพสต์จากบุคคลมากขึ้น โดยทางหนังสือพิมพ์ระบุผ่านแถลงการณ์ว่า การเปลี่ยนแปลงของ Facebook จะเป็นการส่งเสริมการแพร่กระจายของข่าวปลอมมากขึ้น และลดความสำคัญของข่าวจากแหล่งข่าวจริงลงไป และข้อมูลปลอมที่ยังคงอยู่จะถูกพบเห็นชัดกว่าเดิม
หนังสือพิมพ์ Folha de S. Paulo ยังระบุด้วยว่าสัดส่วนของผู้อ่านที่เข้าถึงเนื้อหาผ่านทาง Facebook ลดลงเหลือ 24% ในเดือนธันวาคม จากที่ต้นปี 2017 มี 39%
Folha de S. Paulo เป็นหนังสือพิมพ์รายใหญ่ของประเทศบราซิล ก่อตั้งขึ้นในปี 1921 มีผู้ติดตามผ่าน Facebook 5.95 ล้านคน และประเทศบราซิลก็เป็นประเทศที่มีผู้ใช้ Facebook มากถึง 100 ล้านคน ติดอันดับ 5 ประเทศที่ผู้ใช้ Facebook มีการแอคทีฟมากที่สุด
สม รังสี อดีตผู้นำพรรคฝ่ายค้านของกัมพูชาฟ้องศาลสหรัฐฯ ให้ Facebook เปิดเผยข้อมูลว่า สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซื้อยอดไลค์ใน Facebook หรือไม่ โดยตั้งข้อสังเกตว่ายอดไลค์มากจนผิดปกติ
เพจ Facebook ของ สมเด็จฮุน เซน มียอดไลค์ประมาณ 9 ล้าน ซึ่งถือว่ามากทีเดียวสำหรับการเพิ่งจะเข้าร่วม Facebook ในเดือนกรกฎาคม ปี 2016 คิดเป็นยอดไลค์เพิ่มขึ้น 3 ล้านภายในเวลาไม่กี่เดือน โดย Facebook ของ สมเด็จฮุน เซน มียอดกดไลค์มากเป็นอันดับสามเมื่อเทียบกับบรรดาผู้นำการเมืองระดับโลก
มีการวิเคราะห์ที่ The Guardian ระบุบอกว่า 80% ของบัญชี Facebook ที่กดไลค์เพจของสมเด็จฮุนเซน เป็นบัญชีที่มาจากประเทศ อินเดีย ฟิลิปปินส์ เม็กซิโก ซึ่งเป็นประเทศที่มีบริษัททำกิจการขายยอดไลค์และขายความนิยมในโซเชียลมีเดียให้มีตัวเลขเยอะๆ ตั้งอยู่
Facebook ประกาศปรับปรุงวิธีวัดค่า Organic Reach ของเพจ มีผลตั้งแต่วันจันทร์นี้ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อให้ตัวเลขที่ออกมาสะท้อนความจริง มีความแม่นยำและใช้อ้างอิงได้ดีมากขึ้น โดยเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการปรับลดหรือเพิ่มการแสดง Reach ใดๆ
การวัด Organic Reach นั้น เดิมนับเมื่อโพสต์ที่ถูกโหลดเข้ามาบน News Feed ของผู้ใช้งาน ขณะที่ Paid Reach ที่ต้องเสียเงินจะนับเมื่อโพสต์ถูกมองเห็นในหน้าของผู้ใช้งาน ซึ่ง Facebook บอกว่าวิธีการวัดที่ไม่เหมือนกันนี้ ทำให้การตีความตัวเลขคลาดเคลื่อนได้ จึงปรับให้ Organic Reach ถูกนับเมื่อโพสต์ถูกมองเห็นเช่นเดียวกับ Paid Reach
ฟีเจอร์สำคัญของเฟซบุ๊กที่อยู่คู่กับเว็บมานานคือปุ่ม Like ที่เพิ่งเพิ่มความรู้สึกอื่นๆ เช่น เศร้าหรือโกรธ แต่สิ่งที่คนถามหาอยู่เสมอๆ คือในเมื่อมี Like จึงไม่มี Dislike บ้าง ล่าสุดเฟซบุ๊กก็เริ่มทดลองปุ่ม Downvote ให้แสดงออกว่าคอมเมนต์ไม่มีคุณภาพแล้ว
ปุ่ม Downvote ตอนนี้จะจำกัดเฉพาะหน้าเพจบางหน้าเท่านั้น และเมื่อกดไปจะคล้ายกับการรายงานคอมเมนต์ไม่เหมาะสม โดยผู้ใช้จะสามารถระบุได้ว่าทำไมจึงไม่ชอบคอมเมนต์นี้ มีให้เลือกสามเหตุผล คือ ก้าวร้าว (offensive), ชี้นำผิด (misleading), และนอกเรื่อง (off topic)
Jim Carrey นักแสดงชื่อดังของฮอลลีวูด หลายคนอาจคุ้นเคยบทบาทของเขาใน Yes Man และ Lemony Snicket's A Series of Unfortunate Events ซึ่ง Carrey โพสต์ทวิตเตอร์ว่าเขาจะขายหุ้น Facebook ทิ้ง พร้อมจะลบบัญชีแฟนเพจที่มีคนติดตามกว่า 5 ล้านคน เขายังโพสต์ภาพวาด มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ที่คาดว่าเป็นฝีมือของเขาเองลงทวิตเตอร์ด้วย อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ระบุว่าจะขายเท่าไร
Jim Carrey ระบุในทวิตเตอร์ว่า เขากำลังจะเทขายหุ้น Facebook ที่เขาถืออยู่ทิ้ง และจะลบหน้าแฟนเพจด้วย เขาระบุเหตุผลว่า Facebook ได้รับประโยชน์จากการแทรกแซงของรัสเซียในการเลือกตั้ง เขายังแนะนำให้นักลงทุนรายอื่นทำแบบเดียวกับเขาด้วย ในโพสต์ของเขานอกจากจะมีภาพวาดแล้วยังติดแฮชแท็ก #unfriendfacebook
เว็บไซต์ Marvel Studios News รายงานว่า Facebook แบนกลุ่ม Down With Disney’s Treatment of Franchises and its Fanboys ที่วางแผนจะรีวิวหนังเรื่อง Black Panther ของค่าย Marvel ในแง่ลบและหยาบคายใน Rotten Tomatoes อย่างไรก็ตามยังไม่รู้แรงจูงใจที่ชัดเจนว่ากลุ่มนี้ทำไปเพื่ออะไร
The Verge รายงานว่ากลุ่ม Down With Disney’s Treatment of Franchises and its Fanboys เป็นกลุ่มสนับสนุนค่ายหนัง DC ซึ่งเป็นคู่แข่งชัดเจนของ Marvel กลุ่มดังกล่าวยังอ้างว่าคะแนนรีวิวต่ำของหนังเรื่อง Star Wars:The Last Jedi เป็นผลงานของตน โดยให้เหตุผลที่ให้คะแนนต่ำว่าไม่ควรให้ผู้หญิงมาเป็นตัวละครหลัก นักข่าวได้สอบถามไปยัง Facebook ถึงเหตุผลที่แบนกลุ่มนี้ แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ
ด้านตัวแทน Rotten Tomatoes ออกมาบอกว่า ทางเว็บไซต์เคารพความคิดเห็นหลากหลายของแฟนๆ แต่ก็ไม่อนุญาตให้ข้อความหยาบคาย ซึ่งทีมงานจะจับตาดูคอมเมนท์และจะถูกลบออกและบล็อกทันทีหากผู้ใช้เขียนรีวิวหยาบคาย
การลด reach ของเฟซบุ๊ก เริ่มมีผลกระทบต่อสื่อออนไลน์ต่างๆ แต่รายงานล่าสุดจากบริษัทวิเคราะห์สื่อออนไลน์ SocialFlow แสดงให้เห็นว่าทวิตเตอร์อาจจะเป็นความหวังของสื่อออนไลน์ในการดึงทราฟิกคนเข้ามายังเว็บ
SocialFlow ติดตามสื่อรายใหญ่กว่า 300 รายรวม 10.1 ล้านโพส และ 2,800 ล้านคลิกพบว่าเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จำนวนคลิกต่อโพสบนเฟซบุ๊กเฉลี่ยสูงถึง 470 คลิกต่อโพส ขณะที่ทวิตเตอร์นั้นมีประสิทธิภาพเพียง 100 คลิกต่อโพสเท่านั้น แต่แนวโน้มโดยรวมของทั้งสองแพลตฟอร์มกลับสวนทางกัน ช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ประสิทธิภาพของเฟซบุ๊กกลับเหลือประมาณ 400 คลิกต่อโพส ขณะที่ทวิตเตอร์มีประสิทธิภาพดีขึ้นเรื่อยๆ จนไปถึง 170 คลิกต่อโพสในเดือนมกราคม
ในรายงานผลประกอบการ Facebook ไตรมาสที่ผ่านมา แม้ภาพรวมตัวเลขจะออกมาเติบโตทุกอย่าง ทั้งผู้ใช้งานรวมแบบ DAUs, MAUs ตลอดจนตัวเลขทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นรายได้และกำไร แต่ก็มีจุดเล็กๆ ที่น่าสนใจ นั่นคือจำนวนผู้ใช้งานแบบเป็นประจำทุกวัน (DAUs - Daily Active Users) เฉพาะภูมิภาคอเมริกาและแคนาดา ที่มีจำนวนลดลงจาก 185 ล้านคน เป็น 184 ล้านคน และถือเป็นครั้งของ Facebook ที่มีตัวเลขผู้ใช้ลดลงแบบนี้ (ปกติเพิ่มขึ้นทุกภูมิภาคในทุกไตรมาส)
นอกจากนี้ถ้าดูการเพิ่มขึ้นของ DAUs จะพบว่าไตรมาส 4/2017 มีตัวเลขเพิ่มขึ้น 33 ล้านคน จากไตรมาส 3/2017 เป็นจำนวนที่น้อยที่สุดในรอบ 2 ปี อีกด้วย
Facebook รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ของปี 2017 มีรายได้รวม 12,779 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 49% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 4,268 ล้านดอลลาร์ โดยตัวเลขนี้รวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างภาษีสหรัฐที่ทำให้ต้องบันทึกค่าใช้จ่าย 2,270 ล้านดอลลาร์ แล้ว
เฟซบุ๊กประกาศปรับนโยบายโฆษณาล่าสุด เพิ่มกฎห้ามโฆษณา binary option, ICO, และเงินคริปโตทั้งหมดแล้ว โดยจัดหมวดเป็น สินค้าทางการเงินที่มักมีการโฆษณาที่ชี้นำผิด (misleading) และหลอกลวงบ่อยครั้ง
Rob Leathern ผู้จัดการฝ่ายการจัดการโฆษณาระบุว่า เฟซบุ๊กไม่ยอมรับการโฆษณาแบบชี้นำผิดไม่ว่าจะเป็นสินค้าหมวดไหน และจะพยายามบังคับใช้กฎให้ทั่วถึงทั้งเครือข่ายเฟซบุ๊กเองและอินสตาแกรม ส่วนบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ binary option, ICO, และเงินคริปโตนั้นหลายครั้งไม่ได้โฆษณาอย่างตรงไปตรงมา
อย่างไรก็ดีเฟซบุ๊กระบุว่าอาจจะมีโฆษณาหลุดรอดไปได้บ้าง และหากใครพบก็ช่วยกันรีพอร์ตได้
Mark Zuckerberg ซีอีโอ Facebook ออกมาอัพเดตแผนการปรับปรุง Facebook ให้ดีขึ้นตามเป้าหมายของเขาในปีนี้ โดยครั้งนี้เขาบอกว่าหน้า News Feed ของ Facebook จะเพิ่มน้ำหนักการแสดงข่าวสารในท้องถิ่นหรือเมืองที่ผู้ใช้งานอาศัยอยู่มากขึ้น ถ้าผู้ใช้ติดตามเพจข่าวท้องถิ่นอยู่แล้ว ก็จะถูกแสดงมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงนี้มีจะเริ่มที่อเมริกาเป็นแห่งแรก แล้วค่อยขยายสู่ประเทศอื่นๆ ในอนาคต
ถึงแม้โครงการแชทบ็อต M ของ Facebook จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ Facebook เองก็ยังไม่ลดความพยายามในการพัฒนาแชทบ็อตขึ้นใหม่ให้ดียิ่งขึ้น โดยอย่างน้อยก็มีเป้าหมายหนึ่งคือการหาวิธีทำให้แชทบ็อตมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น
ทีมวิจัยของแล็บ FAIR ของ Facebook ได้เผยแพร่เปเปอร์ ถึงการพัฒนาแชทบ็อต โดยเริ่มต้นอธิบายปัญหาว่าบ็อตเองนั้น ไม่มีลักษณะตัวตนที่ชัดเจน ทำให้เนื้อหาการสนทนายึดติดกับการหาคำตอบตลอดเวลา แถมยังไม่จดจำเนื้อหาการสนทนาในอดีต และสุดท้ายหากถูกถามในสิ่งที่ไม่เข้าใจ ก็จะตอบซ้ำในรูปแบบเดิมว่าไม่ทราบ
เพราะกระแสการผลิตคอนเทนต์และไลฟ์สตรีมมิ่งเกมกำลังมาแรงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด Facebook ได้เปิดตัว Gaming Creator Pilot Program โปรแกรมนำร่องสนับสนุนผู้ผลิตคอนเทนต์จากวิดีโอเกม เน้นที่การร่วมมือกับผู้ผลิตคอนเทนต์เพื่อพัฒนา Facebook ให้รองรับการใช้งานของพวกเขามากที่สุด
โดย Facebook ได้ให้ข้อมูลว่า พวกเขาจะโฟกัสไปที่หัวข้อต่อไปนี้
ในงาน World Economic Forum 2018 ที่เมือง Davos นอกจากที่ George Soros ให้สัมภาษณ์พูดถึง Facebook และ Google เป็นภัยคุกคามต่อความเป็นอิสระ ซึ่งก็ไม่ใช่มีแต่ Soros เท่านั้น แต่ซีอีโอบริษัทไอทีรายใหญ่อีกแห่งก็คิดเหมือนกัน
โดย Marc Benioff ซีอีโอ Salesforce ให้สัมภาษณ์ในงานนี้เช่นเดียวกัน บอกว่าหน่วยงานรัฐควรดูแล Facebook ในลักษณะเดียวกับที่กำกับดูแลบริษัทบุหรี่ กล่าวคือมันทำให้เกิดการเสพติด คนรู้ว่ามากไปไม่ดี ฉะนั้นจึงควรมีการควบคุมดูแล
นอกจากนี้เขายังบอกทิ้งท้ายว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเองควรได้รับการกำกับดูแลจากรัฐ ในลักษณะเดียวกับที่ดูแลอุตสาหกรรมอื่นอย่าง สุขภาพ หรือการเงิน ซึ่งเขามองว่าที่รัฐควบคุมตอนนี้ยังไม่มากพอ
George Soros เศรษฐีนักลงทุน เจ้าของ Open Society Institute (สถาบันสังคมเปิด) และ Soros Foundation เข้าร่วมการประชุม World Economic Forum ในสวิตเซอร์แลนด์
ในงานประชุม Soros พูดวิจารณ์ Facebook และ Google อย่างจัดหนักจัดเต็ม โดยระบุว่าทั้งคู่เป็นบริษัทที่ผูกขาดความสนใจของคน สร้างความเสพติด ทำร้ายสังคมตลอดจนทำร้ายประชาธิปไตย
เริ่มที่ประเด็นผูกขาด Soros บอกว่าบริษัท Facebook และ Google ควบคุมความสนใจของผู้ใช้ และใช้ข้อมูลนั้นมาสร้างรายได้ให้บริษัท และยังบอกด้วยว่ามีความคล้ายคลึงกันระหว่างบริษัทโซเชียลมีเดียกับบริษัทการพนัน โดยคาสิโนจะดึงดูดผู้ใช้เข้ามาเล่นพนัน เอาเงินของพวกเขามาวางเดิมพัน
Sheryl Sandberg ซีโอโอ Facebook ระบุว่า Facebook จะเปิดช่องทางให้ผู้ใช้จัดการข้อมูลของตนง่ายขึ้น รวบให้สามารถจัดการได้ในช่องทางเดียว เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายความเป็นส่วนตัวของข้อมูลใหม่ในยุโรปที่จะบังคับใช้ในเดือนพฤษภาคม 2018
มาตรฐานความเป็นส่วนตัวของข้อมูลหรือ General Data Protection Regulation (GDPR) ที่ถือเป็นการยกเครื่องการคุ้มครองข้อมูลทั้งหมด เป้าหมายใหญ่คือให้ประชากรสหภาพยุโรปมีสิทธิ์ในการจัดการข้อมูลตัวเองรวมทั้งวิธีที่บริษัทนำข้อมูลของตนไปใช้ โดย GDPR ได้รับอนุมัติผ่านสภายุโรปไปในเดือนเมษายน 2016 และจะบังคับใช้ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2018 ผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรฐานใหม่คือบรรดาบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลาย บริษัทประกันภัย ธนาคาร
Facebook มีการเก็บข้อมูลผู้ใช้งาน ติดตามกิจกรรมบนออนไลน์ ก็กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบจากหน่วยงานด้านการป้องกันข้อมูลของสหภาพยุโรป
Sheryl Sandberg ยังระบุด้วยว่า Facebook ยังไม่ได้ทำงานมากพอในการหยุดยั้งการใช้งาน Facebook ในทางที่ผิด และจะเพิ่มบุคลากรทำงานด้านความปลอดภัยเป็น 20,000 คน
Facebook ประกาศเข้าซื้อ Confirm.io สตาร์ทอัพพัฒนาระบบยืนยันตัวตนพร้อมเปิด API ให้บริษัทต่าง ๆ นำไปใช้งานกับระบบภายในของบริษัทเองได้โดยไม่ต้องทำระบบยืนยันตัวตนของตัวเองขึ้นมาใหม่
เทคโนโลยีของ Confirm นี้จะเป็นการระบุบัตรที่ใช้ยืนยันตัวตนที่ออกโดยรัฐบาล ซึ่งเทคโนโลยีของ Confirm นี้สามารถนำไปใช้ได้ง่าย โดยมีบริการที่นำเทคโนโลยียืนยันตัวตนไปใช้แล้ว ได้แก่ Notarize ใช้ยืนยันตัวตนลูกค้าที่จะส่งเอกสาร, Doordash ใช้ยืนยันตัวตนคนขับรถส่งสินค้า ซึ่ง Confirm ได้ระดมทุนในปี 2015 และได้พัฒนาฟีเจอร์ดึงข้อมูลจากบัตรประจำตัว รวมถึงระบบไบโอเมตริกบนอุปกรณ์พกพาและการใช้การจำแนกหน้าตาเพื่อยืนยันตัวตนผู้ใช้
หน่วยวิจัยของเฟซบุ๊กเปิดตัว Detectron ซอฟต์แวร์จับวัตถุในภาพ (object detection) ที่อิมพลีเมนต์งานวิจัยยอดนิยมเช่น Faster R-CNN, RPN หรืองานวิจัยใหม่ๆ อย่าง Mask R-CNN และ RetinaNet ที่เพิ่งตีพิมพ์ในปี 2017 ที่ผ่านมา
ตัวซอฟต์แวร์พัฒนาบน Caffe2 โดยมี operator เฉพาะของ Detectron เอง ทำให้ใครที่ติดตั้ง Caffe2 อยู่แล้วอาจะต้องอัพเดตใหม่เพื่อให้รองรับ operator ใหม่ๆ เหล่านี้ด้วย และต้องการเครื่องที่มีชิปกราฟิกเท่านั้นไม่สามารถรันบนซีพียูได้
ตัวสัญญาอนุญาตเป็น Apache License 2.0 และเฟซบุ๊กระบุว่าสถาปัตยกรรมน่าจะง่ายต่อการเพิ่มเติมโมเดลในอนาคต ถ้าใครสนใจส่งแพตช์ทางเฟซบุ๊กก็ยินดี