ต่อจากข่าวรัฐบาลอินเดียแบนแอพจีนระลอกแรก 59 ตัว และระลอกสอง 47 ตัว วันนี้อินเดียประกาศแบนแอพระลอกสาม ชุดใหญ่ 118 ตัว
ในจำนวนนี้มีแอพดังๆ อย่าง PUBG Mobile, Baidu, Alipay, VOOV, Youku, Taobao, Arena of Valor (AoV) และแอพตระกูล APUS รวมถึงแอพสายเบราว์เซอร์ ฟังเพลง แกลเลอรี และเกมจีนอีกจำนวนมาก (รายชื่อทั้งหมดอ่านได้จากที่มา)
การแบนแอพจีน 3 ระลอก มีแอพโดนแบนไปแล้ว 224 ตัว โดยใช้อำนาจตามมาตรา 69 ของกฎหมาย Information Technology Act ของอินเดีย
Reuters รายงานอ้างอิงคนที่เกี่ยวข้อง 2 รายว่า Alibaba Group ได้ชะลอแผนการลงทุนในอินเดียออกไปก่อนแล้ว หลังเกิดการปะทะกันของทหารทั้งจีนและอินเดียบริเวณชายแดนประเทศ ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา
การลงทุนของ Alibaba ในอินเดียรวมถึงการให้เงินสนับสนุนหรือลงทุนในสตาร์ทอัพด้วย ซึ่งก็ทำให้สตาร์ทอัพอินเดียหลายรายไม่ได้เม็ดเงินจาก Alibaba ไปอย่างน้อย 6 เดือน (ไม่ระบุว่าเริ่มนับจากเดือนไหน) จนกว่าความตึงเครียดจะลดลง แต่แหล่งข่าวของ Reuters ก็ยืนยันว่า Alibaba ไม่มีแผนจะถอนการลงทุนแน่นอน
ที่มา - Reuters
Nokia C3 เพิ่งเปิดตัวไปในประเทศจีนเมื่อช่วงต้นเดือน และเปิดตัวในอินเดียแล้ววันนี้ โดยเป็นมือถือรุ่นเล็ก หน้าจอ IPS LCD ขนาด 5.99 นิ้ว ใช้ชิป Unisoc SC9863A พร้อมแรม 3GB มีกล้องเดี่ยว 8 MP ด้านหลัง และกล้องหน้า 5MP มีรุ่นความจุ 16 GB และ 32 GB สแกนลายนิ้วมือด้านหลัง มีปุ่ม Google Assistant รันแอนดรอยด์ 10 แบตเตอรี่ 3,040 mAh ถอดได้ ชาร์จผ่าน micro USB รองรับ Bluetooth แค่ 4.2 และไม่รองรับ 5G หรือ WiFi-6 เช่นเดียวกัน มีสองสีคือน้ำเงิน Cyan และสีทราย Sand เริ่มจองได้ในวันที่ 10 กันยายน และวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในอินเดีย 17 กันยายนนี้
หลังเปิดตัว Nokia 5.3 เวอร์ชั่น global ไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา วันนี้ Nokia เปิดตัว Nokia 5.3 ในอินเดียแล้ว
Nokia 5.3 เป็นมือถือหน้าจอขนาด 6.55 นิ้ว ชนิด IPS LCD ความละเอียด 720 x 1600 พิกเซล อัตราส่วน 20:1 ใช้ชิป Snapdragon 665 พร้อมแรม LPDDR4x มีรุ่นแรม 4GB และ 6GB มี 4 กล้องหลัก คือกล้องหลัก 13MP กล้องอัลตร้าไวด์ 5MP, depth sensor 2 MP กล้องมาโคร 2MP และกล้องหน้า 5 MP
เป็นเวลาร่วมสองเดือนแล้วที่อินเดียแบนแอป TikTok ซึ่งได้รับความนิยมทั่วโลกและคนอินเดียก็ใช้งานกันเยอะมากถึง 200 ล้านราย มีอินฟลูเอนเซอร์กว่า 2 แสนราย ถือเป็นตลาดใหญ่มากทีเดียวสำหรับ TikTok
ผู้ใช้งาน, อินฟลูเอนเซอร์แยกย้ายกันไปใช้แพลตฟอร์มโซเลียลอื่นอย่าง YouTube, Instagram ในอินเดียเองก็มีการพัฒนาแอปโซเชียลแนววิดีโอสั้นมากมาย เช่น Chingari, Mitron, Roposo และ Bolo Indya แต่ไม่มีแอปใดที่ประสบความสำเร็จมัดใจวัยรุ่นอินเดียได้เท่า TikTok บริษัทวิจัยตลาดและการวิเคราะห์ข้อมูล YouGov เผยผลสำรวจว่าชาวอินเดียกว่า 60% ยังคงมีความหวังว่าการแบน TikTok จะสิ้นสุดลง
South China Morning Post รายงานอ้างอิงข้อมูลที่ยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า รัฐบาลอินเดียเตรียมจะสั่งห้ามไม่ให้ผู้ให้บริการเครือข่ายในประเทศสั่งชิ้นส่วนอุปกรณ์ 5G จาก Huawei และ ZTE โดยเรื่องนี้จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการหลังนายกรัฐมนตรีลงนามในคำสั่งนี้
อินเดียกับจีนอาจกระทบกระทั่งกันบ้างตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ความสัมพันธ์ของสองประเทศนี้อยู่ในช่วงวิกฤติหลังการปะทะกันของทหารบริเวณพรมแดนประเทศในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน โดยก่อนหน้านี้บริษัทเทคของจีนก็ได้รับผลกระทบไปแล้วจากการแบนแอป 2 ระลอกรวมกันกว่า 100 แอป
เปิดมิติใหม่ของการหาคนทำงาน กูเกิลแสดงการ์ดประวัติการทำงานของผู้ใช้งานแบบย่อหรือที่เรียกว่า people card สามารถหาเจอได้บน Google Search ฟีเจอร์นี้ยังเปิดใช้งานเฉพาะอินเดียและรองรับเฉพาะภาษาอังกฤษ เหมาะกับคนทำงาน, ฟรีแลนซ์, อินฟลูเอนเซอร์ที่อยากให้คนรู้จักเรามากขึ้น และหาเราเจอได้ง่ายขึ้น
อินเดียมีท่าทีแข็งกร้าวต่อบริษัทเทคโนโลยีต่างชาติโดยเฉพาะจีน แบนแอปพลิเคชั่นไปแล้ว 2 ระลอกร่วมกว่าร้อยแอป แอปดังๆ ที่โดนแบนคือ Tik Tok, Bigo Live, WeChat, Meitu, UC Browser และระลอกสามอาจมี PUBG Mobile ของ Tencent, AliExpress
ล่าสุดรัฐบาลอินเดียจัดการแข่งขัน App Innovation Challenge ให้สตาร์ทอัพอินเดียร่วมสร้างแอปพลิเคชั่นที่เป็นทางเลือกนอกเหนือจากซอฟต์แวร์ของไมโครซอฟท์และกูเกิล เพื่อให้คนอินเดียใช้ รวมถึงเป็นโอกาสการแข่งขันในตลาดเทคโนโลยีโลก
ก่อนหน้านี้กูเกิลประกาศลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในอินเดียก้อนใหญ่ร่วม 10,000 ล้านดอลลาร์ และหนึ่งในการลงทุนนั้นเน้นให้ความสำคัญเรื่องการศึกษาด้วย ล่าสุด กูเกิลจับมือกับภาครัฐอินเดีย ทำแพลตฟอร์มสอนและเรียนออนไลน์ในเมืองใหญ่ Maharashtra ซึ่งนักเรียนและครูราว 23 ล้านคนจะได้ใช้งานฟรี
กูเกิลบอกว่า ครูมากกว่า 150,000 คนสมัครเข้าร่วมโปรแกรมภายในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง การสำรวจจากรัฐบาลยังบอกด้วยว่า ครูในรัฐ Maharashtra มีความสนใจการสอนทางเลือกในรูปแบบออนไลน์
เมื่อปลายเดือนที่แล้ว เราเห็นข่าวรัฐบาลอินเดียสั่งแบนแอพสัญชาติจีน 59 ตัว ซึ่งรวมถึงแอพยอดนิยมอย่าง Tik Tok, Bigo Live, WeChat, Meitu, UC Browser และแอพบางตัวของ Xiaomi
วันนี้ รัฐบาลอินเดียประกาศแบนระลอกสองเพิ่มอีก 47 ตัว ตัวอย่างแอพกลุ่มนี้คือ Tik Tok Lite, Bigo Lite เป็นต้น
แต่เท่านี้ยังไม่หมด เพราะมีข่าวว่ารัฐบาลอินเดียกำลังจับตาจะแบนแอพระลอกสาม โดยแอพในรายชื่อมีทั้งหมด 275 ตัว แอพเด่นคือ PUBG Mobile ของ Tencent, AliExpress และแอพอื่นจาก Meitu, Sina, Netease, Xiaomi รวมไปถึงเกมของค่าย Supercell จากฟินแลนด์ ที่ปัจจุบัน Tencent เป็นเจ้าของอีกด้วย
WhatsApp ถือเป็นแอปแชทที่เข้าถึงคนอินเดียมหาศาล มีฐานผู้ใช้งานร่วม 400 ล้านราย ล่าสุดได้จับมือกับธนาคาร ICICI, Kotak Mahindra และ HDFC เพื่อมองหาช่องทางให้คนอินเดียเข้าถึงบริการการเงิน โดยเฉพาะคนชนบท และรายได้น้อย
Abhijit Bose ประธาน WhatsApp ในอินเดียกล่าวในการแถลงออนไลน์ว่าได้ร่วมมือกับธนาคารดังกล่าวตั้งแต่ปีที่แล้ว พบว่าธนาคารสามารถใช้ประโยชน์จาก WhatsApp ในการเข้าถึงประชากรเพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้ WhatsApp กำลังร่วมมือกับพันธมิตรรายอื่นเพิ่มเติมเพื่อเตรียมเปิดตัวบริการการเงิน, สินเชื่อให้กับผู้มีรายได้น้อยภายใน 1 ปีครึ่ง
เว็บไซต์ Android Pure ไปเจอว่า Netflix กำลังทดสอบแพ็กเกจใหม่ในอินเดียหรือ Mobile+ ราคา 349 รูปี เทียบกับราคาไทยประมาณ 148 บาทต่อเดือน สามารถดูได้ทั้งบนมือถือ, แท็บเล็ต, คอมพิวเตอร์ และดูแบบ HD ได้ด้วย แต่ไม่รวมทีวี และดูได้ครั้งละ 1 อุปกรณ์
ปัจจุบันแพ็กเกจราคาถูกสุดในอินเดียอยู่ที่ 199 รูปี (85 บาท) แต่ดูได้ที่ความละเอียดแบบ SD เท่านั้น แพ็กเกจใหม่ที่ Netflix กำลังทดสอบถือว่าราคาถูกลงมาอีกเมื่อเทียบกับแพ็กเกจเดิมที่มีอยู่แล้วคือ Basic Plan 499 รูปี (211 บาท) ดูได้ทุกอุปกรณ์แต่จำกัดความละเอียดที่ SD, Premium Plan 799 รูปี (338 บาท) ดูได้พร้อมกัน 4 อุปกรณ์ ความละเอียด 4K
กูเกิลเป็นบริษัทล่าสุดที่เข้าลงทุนใน Jio Platforms บริษัทโทรคมนาคมของอินเดีย (ถัดจาก Facebook, Intel และกองทุนอีกหลายกอง เช่น Silver Lake, General Atlantic, KKR) โดยจ่ายเงิน 4.5 พันล้านดอลลาร์ แลกกับหุ้น 7.73% ใน Jio (น้อยกว่า Facebook ที่จ่าย 5.7 พันล้านดอลลาร์ ได้หุ้น 9.99%)
นอกจากกูเกิลจะประกาศลงทุนใหญ่ในอินเดียแล้ว ยังประกาศร่วมมือกับหน่วยงานดูแลโรงเรียนเอกชนและรัฐบาลในอินเดียหรือ Central Board of Secondary Education (CBSE) ที่ดูแลโรงเรียน 22,000 แห่ง ในการสนับสนุนให้โรงเรียนในอินเดียได้ใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อการศึกษา
ในการร่วมมือนี้ กูเกิลจะช่วยฝึกอบรมครูในการใช้งานโซลูชั่นต่างๆ เช่น G Suite for Education, Google Classroom และ YouTube เพื่อช่วยสร้างประสบการณ์การศึกษาในโรงเรียนให้มีความเป็นดิจิทัลมากขึ้น
ในงาน Google for India มีประกาศสำคัญในงานคือ กูเกิลลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลก้อนใหญ่ 10,000 ล้านดอลลาร์ เป็นการลงทุนระยะยาวกินเวลา 5-7 ปีผ่าน India Digitization Fund
การลงทุนครอบคลุมงาน 4 ด้านคือ
Reuters รายงานว่า Foxconn มีแผนลงทุนในการขยายโรงงานในอินเดียเป็นมูลค่ากว่า 1 พันล้านเหรียญ ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากที่สุดที่ Foxconn เคยลงทุนมา
แหล่งข่าวของ Reuters บอกด้วยว่าการลงทุนครั้งนี้ของ Foxconn เป็นส่วนหนึ่งของการทำตามคำขอของแอปเปิล ที่อยากให้ย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ซึ่งแอปเปิลต้องการย้ายออกแบบเงียบ ๆ และค่อยเป็นค่อยไป เพื่อหนีสงครามการค้า
โรงงานของ Foxconn ที่จะมีการขยายเพิ่มเติมอยู่ในเมือง Sriperumbudur ตอนใต้ของรัฐทมิฬนาฑู ซึ่งเป็นโรงงานที่เคยใช้ผลิต iPhone XR การขยายโรงงานคาดว่าจะใช้เวลาราว 3 ปี สร้างงานเพิ่มขึ้นราว 6,000 ตำแหน่ง
หลังจากรัฐบาลอินเดียประกาศแบนแอปพลิเคชั่นจากจีน 59 แอป (ซึ่งรวมถึง Tiktok) ได้เพียงสองวัน Roposo แอปพลิเคชั่นวิดีโอสัญชาติอินเดียก็มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 22 ล้านคนทันที โดยปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดอยู่ที่ 80 ล้านครั้งเฉพาะใน Play Store (ก่อนประกาศแบนอยู่ที่ 50 ล้านครั้ง) และคาดว่าจะมียอดดาวน์โหลดมากถึง 100 ล้านครั้งในเร็วๆนี้
Roposo เปิดตัวในอินเดียเมื่อปี 2014 เป็นแพลตฟอร์มที่ให้ผู้ใช้สามารถโพสต์วิดีโอสั้นๆ มีฟีเจอร์ใส่เอฟเฟค เพิ่มสติกเกอร์ และตัดต่อคลิปคล้ายกับ Tiktok นอกจากนี้ยังมีระบบ Coins ให้ผู้ใช้สร้างรายได้จากวิดีโออีกด้วย
ทันทีที่อินเดียแบนแอป TikTok ทาง Instagram ก็ทดสอบฟีเจอร์ใหม่เจาะตลาดวัยรุ่นในอินเดียทันที
เว็บไซต์ Business Insider India รายงานว่า ฟีเจอร์ใหม่ที่ Instagram กำลังทดสอบ คือ Reels ผู้ใช้งานสามารถโพสต์คลิปสั้น 15 วินาที พร้อมเพลง,ฟิลเตอร์ และมาพร้อมเครื่องมือ edit วิดีโออย่างตัวนับถอยหลัง, ตัวเร่งความเร็ววิดีโอ ซึ่งเหมือนกับ TikTok เลย
Bloomberg รายงานว่าอินเดียกำลังร่างกฎหมายอีคอมเมิร์ซ ที่น่าจะกระทบรายใหญ่อย่าง Amazon, Google โดยเนื้อหาสำคัญคือ รัฐบาลจะแต่งตั้งผู้ควบคุมอีคอมเมิร์ซเพื่อให้แน่ใจว่าอุตสาหกรรมสามารถแข่งขันได้ และมอบอำนาจให้รัฐบาลเข้าถึงรหัส source codes และอัลกอริธึมของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ที่จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าไม่เกิด “อคติที่เกิดจากดิจิทัล” โดยคู่แข่งทางการค้า รวมถึงวิธีการใช้ AI บนแพลตฟอร์มด้วย
Facebook ร่วมมือกับหน่วยงานดูแลโรงเริียนเอกชนและรัฐบาลในอินเดียหรือ Central Board of Secondary Education (CBSE) เปิดตัวหลักสูตรดิจิทัล ว่าด้วยความปลอดภัยบนโลกดิจิทัล, digital wellbeing และ augmented reality
Jio Platforms ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือเบอร์หนึ่งของอินเดีย ยังเป็นบริษัทร้อนแรงต่อเนื่อง โดยล่าสุดอินเทลประกาศเข้าลงทุนเป็นเงิน 250 ล้านดอลลาร์ แลกกับหุ้น 0.39% ผ่านกองทุน Intel Capital โดยเป็นการซื้อหุ้นของ Jio ที่มูลค่ากิจการ 65,000 ล้านดอลลาร์
Wendell Brooks ประธาน Intel Capital กล่าวว่า Jio Platforms มีจุดเด่นคือการโฟกัสไปที่ด้านวิศวกรรม เพื่อทำให้บริการดิจิทัลมีต้นทุนต่ำและเข้าถึงคนจำนวนมาก สอดคล้องกับแนวทางของอินเทล ที่ต้องการสร้างเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้คน
รํฐบาลอินเดียประกาศแบนแอปจีนจำนวน 59 รายการ โดยระบุว่ามีผลต่อความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อย หลังจากปัญหาพรมแดนระหว่างสองชาติสร้างความไม่พอใจระหว่างกันอย่างหนัก
แอปที่ถูกแบนอาจจะจัดเป็นกลุ่มจากผู้ผลิตจีนหลักๆ เช่น Bytedance (TikTok), Baidu (DU Browser, DU Cleaner, DU News, DU Privacy, Baidu Translate, Baidu Map), Alibaba (UC Browser, UC NEws), Xiaomi (Mi Community, Mi Video Call), Tencent (WeChat, WeSync) แอปวิดีโอยอดนิยมเช่น TikTok หรือ Bigo Live ตลอดจนแอปแต่งหน้าอย่าง Meitu หรือ SelfieCity ก็อยู่ในรายการเช่นกัน
เจ้าหน้าที่ตำรวจในเมือง Meerut ของอินเดีย ค้นพบว่ามีโทรศัพท์ 13,500 เครื่องใช้เลข IMEI ซ้ำกัน หลังมีตำรวจรายหนึ่งนำมือถือไปซ่อม และพบว่าได้เลข IMEI ใหม่หลังซ่อมเสร็จ จึงแจ้งหน่วยงานด้านการสอบสวนไซเบอร์ให้ขยายผล
มือถือของตำรวจที่นำไปซ่อมเป็นยี่ห้อ Vivo และพบว่ามือถือที่เลข IMEI ซ้ำกันเป็นยี่ห้อ Vivo ทั้งหมด การใช้มือถือเลข IMEI ซ้ำกันเป็นความผิดตามกฎหมายอินเดีย และเจ้าหน้าที่ได้สอบถามไปยัง Vivo India ให้ชี้แจงเรื่องนี้แล้ว
กรณีนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่อินเดียพบปัญหา IMEI ปลอม เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2019 ตำรวจอินเดียพบว่าผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถืออย่างน้อย 50,000 รายใช้โทรศัพท์เลข IMEI ซ้ำกัน และตัวเลขจริงๆ อาจสูงถึงหลัก 100,000 ราย
สำนักข่าว Reuters อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง เผยว่า Amazon อยู่ในขั้นต้นของการเจรจาเพื่อซื้อหุ้นใน Bharti Airtel ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือรายใหญ่อันดับ 3 ของอินเดีย โดยมูลค่าหุ้นที่จะซื้อนั้นสูงถึงกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นราว 5%
อินเดียกลายเป็นตลาดที่มาแรงจนบริษัทจากอเมริกาหลายแห่งเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะในหมวดผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ช่วงที่ผ่านมาเราเห็นการประกาศลงทุนใน Jio ผู้ให้บริการเครือข่ายรายใหญ่ที่สุดของอินเดีย นำโดย Facebook และตามด้วยกองทุนอีกหลายแห่ง ก่อนหน้านี้ก็มีรายงานว่ากูเกิล ก็สนใจลงทุนใน Vodafone Idea ผู้ให้บริการเครือข่ายรายใหญ่อันดับ 2 ของอินเดียเช่นกัน
เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีนักพัฒนาชาวอินเดียจาก OneTouch AppLabs ปล่อยแอปที่ชื่อว่า Remove China Apps บน Google Play โดยจุดประสงค์ของแอปนี้ก็ตามชื่อ คือลบแอปจีนออกจากมือถือ Android
แอปนี้เกิดขึ้นมาในช่วงนี้เนื่องจากชายแดนจีน-อินเดียในแถบหิมาลัยกำลังอยู่ในช่วงความตึงเครียด ทำให้แอปนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เมื่อช่วงปลายเดือนที่ผ่านมาก็มียอดดาวน์โหลดถึง 5 ล้านครั้งแล้ว โดยข้อมูลจาก App Annie ระบุว่าแอปนี้มียอดติดตั้งสูงสุดในอินเดีย แต่แอปนี้ก็ได้รับความสนใจในออสเตรเลียด้วยเช่นกัน