จากการระบาดของ COVID-19 ในอินเดียรอบที่สองนี้ ทำให้มีคนวิจารณ์รัฐบาลอินเดียในโซเชียลมีเดียว่าไม่เตรียมรับมือการระบาด และมีบางส่วนเรียกร้องให้ Narendra Modi นายกรัฐมนตรีอินเดียลาออก
ล่าสุดมีข้อมูลจาก Lumen Database ซึ่งเผยแพร่คำขอให้ลบออกตามกฎหมายว่า รัฐบาลส่งคำขอไปยัง Twitter ให้ลบโพสต์วิจารณ์รัฐบาล จำนวน 52 โพสต์ รัฐบาลอินเดียออกมายืนยันแล้วด้วยว่าได้สั่งให้ Facebook และ Instagram และ Twitter ลบโพสต์ที่เห็นว่าอาจก่อให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชน และขัดขวางกระบวนการรับมือโรคระบาด รวมๆ แล้วกว่าร้อยโพสต์
PayPal ประกาศปิดให้บริการรับ-จ่ายเงิน สำหรับลูกค้าและร้านค้าในประเทศอินเดีย มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2021 โดยระบุว่า PayPal จะยังคงให้บริการสำหรับการจ่ายเงินออนไลน์ข้ามประเทศต่อไป รวมทั้งพนักงานในอินเดียจะย้ายไปดูแลส่วนธุรกิจอื่นแทน
บริการรับ-จ่ายเงินของ PayPal ในอินเดีย มีร้านค้าที่เป็นพาร์ทเนอร์มากกว่า 360,000 ราย รวมทั้งบริการออนไลน์อย่าง BookMyShow, MakeMyTrip และแอปสั่งอาหาร Swiggy มีการจ่ายเงินผ่านแพลตฟอร์มในปีที่ผ่านมามากกว่า 1,400 ล้านดอลลาร์
Twitter ปิดกั้นการเข้าถึงบัญชีบุคคลที่มีชื่อเสียงในอินเดีย ทั้งนักแสดง สื่อ นักการเมือง นักเคลื่อนไหว โดยอ้างว่าทำตามคำขอทางกฎหมาย สร้างความสับสนในกลุ่มผู้ใช้ว่าคนเหล่านี้ทำผิดกฎหมายใด
ในกลุ่มคนที่ถูกปิดกั้นการเข้าถึงมี Caravan สื่อเชิงสืบสวนและวิจารณ์การเมือง, Sanjukta Basu นักวิจารณ์การเมือง, Sanjukta Basu นักเคลื่อนไหว, Hansraj Meena นักแสดง, Sushant Singh และ Shashi Shekhar Vempati ผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงานถ่ายทอดสด Prasar Bharti, นักการเมืองจากพรรค Aam Aadmi คือ Preeti Sharma Menon และ Jarnail Singh นอกจากนี้ยังมีสองบัญชีผู้ใช้งานที่ถูกปิดกั้นคือ Kisan Ekta Morcha และ Tractor2Twitr ที่เกี่ยวข้องกับการประท้วงในกลุ่มเกษตรกร
เว็บไซต์ของสภาผู้แทนราษฎรเปิดเผยเอกสารวาระการประชุม ที่มีรายละเอียดส่วนหนึ่งพูดถึงข้อเสนอเรื่องการแบนการครอบครองและใช้เหรียญสกุลคริปโตภายในประเทศ อย่างไรก็ตามเอกสารก็พูดถึงการยกเว้นให้สามารถโปรโมทเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งหมายถึงบล็อคเชนได้อยู่
นอกจากนี้รัฐบาลอินเดียก็มีแผนจะจะสร้างและผลักดันสกุลเงินคริปโตแห่งชาติขึ้นมาด้วย โดยธนาคารกลางของอินเดีย (RBI - Reserve Bank of India) จะเป็นผู้รับผิดชอบและออกเหรียญ
ท่าทีไม่เห็นด้วยกับเงินดิจิทัลนี้ไม่ใช่เพิ่งมี แต่รัฐบาลอินเดียแสดงความไม่เห็นด้วย อย่างน้อย ๆ ก็ตั้งแต่ปี 2018 แล้ว
ที่มา - TechCrunch
ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok ยืนยันข่าวการปลดพนักงานเกือบทั้งหมดในอินเดียแล้ว หลังรัฐบาลอินเดียตัดสินใจแบน TikTok และแอพจีนอีก 58 ตัวเป็นการถาวร
ByteDance มีพนักงานในอินเดียประมาณ 2,000 คน แจ้งข่าวการแบนถาวรต่อพนักงาน และบอกว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปลดคน โดยจะเหลือเฉพาะตำแหน่งที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น (ไม่ระบุจำนวนแน่ชัด แต่ TechCrunch ประเมินว่าปลดออกราว 2/3)
อินเดียถือเป็นตลาดใหญ่อันดับสองของ TikTok รองจากจีน โดยมีผู้ใช้งานต่อเดือนสูงถึง 200 ล้านคน
ที่มา - TechCrunch, ภาพจาก ByteDance
รัฐบาลอินเดียสั่งแบนแอปจีนมาแล้วทั้งหมด 4 รอบ โดยครั้งแรกสุดเมื่อเดือนมิถุนาปีที่แล้ว มี 59 แอป ซึ่งรัฐบาลอินเดียก็ให้โอกาสแอปกลุ่มนี้ในการอธิบายหรือปฏิบัติตามข้อกำหนดเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
ล่าสุดรัฐบาลอินเดียประกาศแบนแอปกลุ่มแรกทั้ง 59 แอปเป็นการ "ถาวร" แล้ว โดยให้เหตุผลว่ารัฐบาลไม่พอใจคำตอบหรือคำอธิบายของบริษัทที่ให้บริการแอปเหล่านี้ ขณะที่เหตุผลแรกเริ่มของการแบนเมื่อปีที่แล้วคือ แอปเหล่านี้ส่งผลต่อความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อย
กระทรวงด้านไอทีของอินเดียได้ส่งจดหมายถึง Will Cathcart หัวหน้าฝ่าย WhatsApp โดยระบุว่านโยบายแชร์ข้อมูลใหม่ของ WhatsApp สร้างความกังวลอย่างร้ายแรงต่อทางเลือกและความเป็นอิสระของชาวอินเดีย และต้องการหยุดการเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้
อินเดียถือเป็นตลาดใหญ่ของ WhatsApp ดังนั้นทางกระทรวงต้องการทราบความชัดเจนของ WhatsApp ในข้อตกลงแชร์ข้อมูลกับ Facebook และบริษัทอื่น ๆ รวมถึงตั้งคำถามด้วยว่าทำไมจึงมีข้อยกเว้นสำหรับผู้ใช้งานในอียูว่าไม่ต้องทำตามนโยบายใหม่ แต่ผู้ใช้ในอินเดียไม่มีทางเลือกใด ๆ การเลือกปฏิบัติแบบนี้เป็นผลเสียต่อผู้ใช้ชาวอินเดียซึ่งรัฐบาลอินเดียกังวลมาก
ในงาน Startup India International Summit งานประชุมสตาร์ทอัพ Narendra Modi นายกรัฐมนตรีอินเดีย ได้ประกาศว่ารัฐบาลจะมอบเงิน 10,000 ล้านรูปี หรือ 136.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นกองทุนให้ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนระบบนิเวศน์สตาร์ทอัพภายในประเทศ
เว็บไซต์ TechCrunch อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องเผยว่า ShareChat โซเชียลเน็ตเวิร์กของอินเดีย กำลังเจรจาเพื่อรับเงินทุนรอบใหม่ซีรี่ส์ E กว่า 200 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีกูเกิลและ Snap (เจ้าของ Snapchat) ร่วมลงทุนด้วยในรอบนี้ รายงานบอกว่าเฉพาะกูเกิลอาจลงทุนมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์
ShareChat เป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กที่มีจุดเด่นคือให้บริการในภาษาท้องถิ่นถึง 15 ภาษา ทำให้เจาะตลาดคนอินเดียได้เข้าถึงมากกว่าแพลตฟอร์มอื่น เมื่อปีที่แล้ว Twitter ก็ได้ร่วมลงทุนในบริษัทนี้รอบซีรี่ส์ D
นอกจากนี้ ShareChat ยังเป็นเจ้าของแอปวิดีโอสั้น Moj ซึ่งตอนนี้มีผู้ใช้งานมากกว่า 80 ล้านคนต่อเดือนอีกด้วย
มีรายงานว่า กูเกิลและไมโครซอฟท์ ได้เข้าร่วมลงทุนในบริษัท VerSe Innovation สตาร์ทอัพผู้พัฒนาแอปจากอินเดีย โดยเป็นรอบการลงทุนที่มีมูลค่ารวมกว่า 100 ล้านดอลลาร์ นำโดย AlphaWave และผู้ลงทุนรายเดิม ทำให้มูลค่ากิจการของ VerSe Innovation มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์
ที่น่าสนใจเพราะ VerSe Innovation เป็นผู้พัฒนาแอป Josh แอปวิดีโอขนาดสั้นแบบ TikTok ซึ่งอินเดียประกาศแบน โดยตอนนั้นมีแอปวิดีโอสั้นแบบ Made in India หลายตัวได้รับความสนใจในแง่ทดแทน ขณะที่ Josh มีผู้ใช้งานเพิ่มเป็น 77 ล้านคนต่อเดือน มีวิดีโอที่ถูกเล่นมากกว่า 1,500 ล้านครั้งต่อวัน นอกจากนี้ VerSe Innovation ยังเป็นเจ้าของแอปอ่านข่าว Dailyhunt ด้วย
อินเดียประกาศแนวทางในการกำกับดูแลแอปเรียกรถโดยสารแบบ ride-hailing ซึ่งในอินเดียมีผู้ให้บริการรายใหญ่คือ Ola และ Uber ซึ่งข้อกำหนดที่ออกมามีทั้งส่วนการควบคุมค่าโดยสาร และเพิ่มการดูแลสภาพแวดล้อมทำงาน
ข้อกำหนดระบุว่าผู้ให้บริการแอปประเภทดังกล่าวทุกรายไม่จำกัดแค่ Ola หรือ Uber สามารถหักเงินค่าธรรมเนียมจากค่าโดยสารสูงสุด 20% เท่ากับว่าคนขับรถจะได้เงินอย่างน้อย 80% ในกรณีความต้องการรถโดยสารมีสูง สามารถกำหนดค่าโดยเพิ่ม (surge price) ได้ไม่เกิน 1.5 เท่า ของราคาปกติ ในทางกลับกันการลดราคาค่าโดยสารก็ทำได้ต่ำที่สุด 50% ของราคาปกติ และค่าปรับกรณียกเลิกการเดินทางสูงสุด 10% ของค่าโดยสาร แต่ไม่เกิน 100 รูปี
อินเดียออกกฎควบคุมบริการเรียกรถผ่านแอป โดยข้อกำหนดใหม่นี้ครอบคลุมบริการเรียกรถในหลายมิติ ตั้งแต่การคิดค่าคอมมิชชั่น, การคิดค่าโดยสารแบบ surge pricing และการจำกัดการทำงานต่อวัน
เนื้อความของข้อกำหนดใหม่นี้เริ่มตั้งแต่การคิดค่าคอมมิชชั่น กฎใหม่กำหนดให้บริษัทหักค่าคอมมิชชั่นจากผู้ขับรถได้สูงสุดเพียง 20% ของค่าโดยสารเท่านั้น (เท่ากับคนขับจะต้องได้รับขั้นต่ำ 80%) และกำหนดว่าบริษัทจะต้องจัดหาประกันให้ครอบคลุมรวมถึงต้องจำกัดการทำงานไม่ให้คนขับขับรถเกิน 12 ชั่วโมงต่อวันด้วย ส่วนการคิดค่าบริการในช่วงคนใช้บริการจำนวนมากหรือ surcharge กำหนดให้คิดได้สูงสุด 1.5 เท่าของค่าโดยสารปกติเท่านั้น
จากประเด็นอินเดียแบนแอปจีนระลอกใหม่ 43 แอป ด้วยเหตุผลที่ว่า ตัวแอปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการคุกคามความมั่นคงแห่งชาติอินเดีย รัฐบาลจีนจึงออกมาวิจารณ์อินเดียว่ามีท่าทีละเมิดกฎขององค์การการค้าโลก
Ji Rong โฆษกสถานทูตจีนประจำอินเดีย ระบุว่า เราคัดค้านอย่างหนัก ที่ฝ่ายอินเดียใช้ ‘ความมั่นคงแห่งชาติ’ เป็นข้ออ้างในการแบนแอปจีน เราหวังว่าอินเดียจะเตรียมพร้อมเพื่อการทำธุรกิจที่เป็นธรรม เป็นกลาง ไม่เลือกปฏิบัติ ท่ามกลางคู่ค้าในหลายๆ ประเทศรวมถึงประเทศจีน รวมถึงหวังว่าอินเดียจะแก้ไขทุกอย่างให้ถูกต้อง ไม่ละเมิดกฎของ WTO หรือกฎขององค์การการค้าโลก พร้อมระบุด้วยว่า ทั้งจีนและอินเดีย เป็นโอกาสของการพัฒนาซึ่งกันและกันมากกว่าจะเป็นการคุกคาม
รัฐบาลอินเดียสั่งแบนแอพจากประเทศจีนมาแล้ว 3 รอบ ล่าสุดหลังจากเว้นไปพักใหญ่ๆ ก็ประกาศแบนแอพจีนรอบ 4 จำนวน 43 ตัว
แอพที่เด่นๆ ในรอบนี้คือ AliExpress, WeTV, Lalamove India (Lalamove เป็นบริษัทฮ่องกง), DingTalk, Taoboa Live ส่วนที่เหลือเน้นไปที่แอพสายนัดเดทและเกม
ที่มา - PIB.gov.in, xda, ภาพจาก Facebook AliExpress
วันนี้ คณะกรรมการด้านการแข่งขันของอินเดียหรือ CCI ประกาศเปิดการสอบสวนพฤติกรรมผูกขาดของบริษัท Google เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนว่าทางบริษัทมีพฤติกรรมผูกขาดหลายอย่าง โดยเฉพาะในเรื่องระบบชำระเงิน
ผู้ร้องเรียนที่ไม่เปิดเผยตัวตนยกตัวอย่างในเรื่องการผูกขาดของ Google ไม่ว่าจะเป็น Editor’s Choice Apps, User Choice Apps หรือ Top Free apps ที่จัดอันดับค่อนข้างลำเอียง โดยให้คะแนนแอปของ Google มากกว่าแอปอื่น, ปรับอัลกอริทึมในการค้นหาให้อันดับแอปที่ใช้ Google Pay ดีกว่า รวมถึงติดตั้ง Google Pay บน Android มาเป็นค่าเริ่มต้น
ฝั่ง Google ระบุว่า Android เองนั้นยังไม่ได้มีอำนาจครอบครองตลาดในอินเดีย และยังคงมีการแข่งขันจากระบบปฏิบัติการฟีเจอร์โฟนจำนวนมาก
หลังการทดสอบใช้งานกับผู้ใช้กว่า 1 ล้านรายเป็นเวลา 2 ปี ก็ได้เวลาเปิดใช้งาน โดย WhatsApp ร่วมกับหน่วยงาน National Payments Corporation of India (NPCI) ในอินเดีย เปิดใช้งานฟีเจอร์โอนเงินให้กันผ่านแอปพลิเคชั่น ผ่านตัวกลางคือ Unified Payment Interface (UPI) หรือระบบการชำระเงินแบบเรียลไทม์ของอินเดีย
Reliance Jio Platforms บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ของอินเดียประกาศผลประกอบการไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งทางบริษัทเปิดเผยว่าในไตรมาสนี้มีผู้ใช้บริการ 405.6 ล้านคน ถือเป็นบริษัทโทรคมนาคมแห่งแรกนอกจีนที่มีผู้ใช้บริการมากเกิน 400 ล้านคนในประเทศเดียว
ในการประกาศผลประกอบการประจำไตรมาสของ Netflix เริ่มมองเห็นการชะลอตัวของผู้ใช้งานรายใหม่ ซึ่งในการประกาศได้เผยกลยุทธ์เพิ่มเติมที่จะทำให้ Netflix เข้าถึงกลุ่มคนมากขึ้น เตรียมทดสอบให้เข้าใช้งาน Netflix ฟรีในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยจะเริ่มที่อินเดียก่อน
Greg Peters ซีโอโอ ระบุว่า การให้ทุกคนในประเทศอินเดียได้เข้าถึง Netflix ฟรีในช่วงสุดสัปดาห์ อาจเป็นวิธีที่ดีในการเปิดโอกาสให้คนที่ยังไม่เคยใช้งาน Netflix ได้ทดลองใช้ และหวังว่าจะช่วยกระตุ้นการลงทะเบียนใช้งานได้มากขึ้น
นอกจาก OnePlus 8T ที่เปิดตัวไปเมื่อวันก่อนแล้ว ในประเทศอินเดีย OnePlus ยังนำหูฟัง in-ear ไร้สาย Bullet Wireless Z (แบบมีสายพาดคอ) ที่วางจำหน่ายตั้งแต่ปี 2018 มาปรับแต่งใหม่ เป็น Bullets Wireless Z Bass Edition หรือรุ่นเน้นเสียงเบส โดยสเปกส่วนใหญ่เหมือนเดิมคือมี environmental noise cancellation ที่ไม่ใช่ ANC แต่เป็นการใช้จุกยางกันเสียง ใช้ไดรเวอร์ขนาด 9.2 มิลลิเมตร กันน้ำกันฝุ่น IP55 รองรับ Bluetooth 5.0
นอกจากการเน้นเสียงเบสตามชื่อแล้ว มีข้อแตกต่างอื่นอีกเล็กน้อย คือลดความหน่วงจาก 110ms ในรุ่นธรรมดาเหลือ 100ms รองรับ WarpCharge ชาร์จ 10 นาที ใช้งานได้ 10 ชั่วโมง แต่แบตเตอรี่ลดลงจาก 20 ชั่วโมงในรุ่นปกติ เหลือ 17 ชั่วโมง เตรียมวางขายในอินเดีย 15 ตุลาคมนี้บนเว็บไซต์ OnePlus ก่อนลงเว็บไซต์ Amazon และ Flipkart วันที่ 16 ตุลาคม และวางขายทั่วไปวันที่ 2 พฤศจิกายน ในราคา 1,999 รูปี (ราว 860 บาท)
หลัง Nokia เปิดตัว Android TV บนเว็บไซต์ Flipkart ของอินเดียไปเมื่อปลายปีที่แล้ว วันนี้ Nokia เปิดตัว Android TV รุ่นใหม่อีก 6 รุ่น หน้าจอแบบ MaxBrite ความสว่างสูงสุด 450 nits เริ่มวางจำหน่าย 15 ตุลาคม มีรายละเอียดดังนี้
Xiaomi เปิดตัวมือถือ POCO C3 ชื่อรุ่นเหมือนกันกับ Realme C3 (ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Oppo) เป็นมือถือแบรนด์ POCO ราคาถูกที่สุดเท่าที่เคยเปิดตัวมา มีสเปกภายในดังนี้
แม้ว่า PS5 จะประกาศราคาและเริ่มเปิดพรีออเดอร์ในหลายประเทศไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับอินเดียที่โซนี่ยังไม่แม้แต่ประกาศราคา ซึ่งปัญหาก็มาจากการที่โซนี่ไม่ได้เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า PS5 ในอินเดีย
เว็บไซต์ The Mako Reactor รายงานว่าเครื่องหมายการค้า PS5 ถูกบริษัทที่ชื่อว่า Hitesh Aswani of Delhi ยื่นจดในวันที่ 29 ตุลาคม 2019 ก่อนที่โซนี่จะยื่นในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2020 ขณะที่สถานะของเครื่องหมายการค้า PS5 ในอินเดียตอนนี้อยู่ที่ 'Opposed' หรือถูกคัดค้าน ซึ่งแม้จะไม่มีรายละเอียดใด ๆ ตอนนี้แต่ก็คาดว่าน่าจะอยู่ในกระบวนการทางกฎหมายแล้ว
TechCrunch รายงานว่าช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา (18 ก.ย.) Play Store ในอินเดีย ถอดแอป Paytm บริการการเงินคู่แข่งของ Google Pay ที่ได้รับความนิยมในอินเดียออก เนื่องจากแอปละเมิดกฎของแพลตฟอร์มว่าด้วยเรื่องการพนัน แต่ในอีก 8 ชั่วโมงต่อมา แอป Paytm ก็กลับเข้ามาอยู่ใน Play Store ตามเดิม เรื่องนี้ทำให้เกิดความกังวลเรื่องการผูกขาดและกีดกันแอปพลิเคชั่นอื่น เหมือนกรณี Apple และ Epic
Paytm เขียนบล็อกพูดถึงเบื้องหลังการที่ Google ถอดแอปออกจาก Play Store ว่า ตอนเย็นของวันที่ 11 กันยายน Paytm เปิดตัวแคมเปญที่ผู้ใช้สามารถสะสมสติกเกอร์เกมกีฬาคริกเก็ต และการ์ดขูดจากการทำธุรกรรมตามปกติ เพื่อรับ UPI cashback หรือเงินคืนเข้ามาที่วอลเล็ตของ Paytm
YouTube เปิดตัว YouTube Shorts ฟีเจอร์สร้างคลิปสั้น 15 วินาที พร้อมเครื่องมือตัดต่อภาพ, ใส่เสียงเพลง, ระบบตั้งเวลา, นับถอยหลัง, เร่งความเร็ว , multi-segment camera หรือการเพิ่มมุมกล้องหลายๆ มุมเข้าไปในคลิป ซึ่งสามารถทำได้เหมือน TikTok เลยออกมาให้ใช้งาน
รัฐบาลอินเดียประกาศแข่งขันออกแบบระบบคอมพิวเตอร์ฝังตัวเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมไอทีในประเทศ แต่จุดน่าสนใจคือการแข่งขันครั้งนี้บังคับว่าต้องใช้ซีพียู RISC-V ในการแข่งขันเท่านั้น โดยใช้ซีพียูได้สองตระกูลได้แก่ Shakti และ Vega ที่เป็นซีพียูโอเพนซอร์สทั้งคู่สามารถอิมพลีเมนต์บนชิป FPGA ได้