กลยุทธ์กองทัพมดของกูเกิลนั้นได้ผลดีกับการต่อสู่กับยักษ์ใหญ่อย่างแอปเปิล ทางฟาก Amazon นั้นแม้ตลาดของเครื่อง Kindle ยังแข็งแกร่งแต่แนวโน้มและกระแสก็กำลังเป็นรองอย่างชัดเจน ทางเลือกที่ Kindle ทำคือรองรับทุกแพลตฟอร์มให้เร็วที่สุด และแพลตฟอร์มล่าสุดคือ Android
ข้อดีของ Kindle for Android คือมันสามารถใช้ซื้อหนังสือได้เหมือนเครื่อง Kindle ตามปรกติ และยังต้องการเพียง Android 1.6 ซึ่งใช้กันทั่วไป ข้อเสียคือเนื้อหาบางอย่างเช่น นิตยสาร, บล็อก และหนังสือพิมพ์จะไม่สามารถอ่านได้
น่าสนใจว่าอนาคตอาจจะมี Tablet ที่เป็น e-Ink และใช้ Android ออกมาจากจีนอีกจำนวนมาก ถึงตอนนั้นเราอาจจะใช้ Android อ่านหนังสือกันจริงจังมากกว่าตอนนี้
บริษัท Scottevest ผู้ผลิตเสื้อผ้าที่สามารถใส่ gadget ได้หลากหลายประเภท ได้ออกมาเปิดตัวเสื้อแจ็คเก็ตรุ่นใหม่ Travel Vest for Men ซึ่งรองรับการใส่ไอแพด, Kindle รวมถึงของอื่นๆ (ดูภาพท้ายข่าว) ได้ในตัว
นอกจากจะใส่ gadget ต่างๆ ได้แล้ว เนื้อผ้ายังทำจากเทฟลอน กันน้ำและคราบสิ่งสกปรกได้ รวมถึงรองรับการทำ PAN (Personal Area Network) ในตัว เนื่องจากในเสื้อมีท่อให้ต่อสายเชื่อมอุปกรณ์ต่างๆ ที่ยังคงใส่อยู่ในเสื้อได้!
สนนราคาอยู่ที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3,300 บาท) สามารถสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ได้แล้ว ยกเว้นขนาด XXXL เท่านั้น
ข่าวสั้นครับ เมื่อวานนี้อเมซอนได้ปล่อย Kindle เวอรชั่น 2.0 โปรแกรมอ่านอีบุ๊กสำหรับไอโฟน ไอพอดทัช และล่าสุดกับไอแพดแล้ว โดยฟีเจอร์เฉพาะไอแพดก็มีทั้งแอนิเมชั่นขณะพลิกหน้าหนังสือ รวมถึงรองรับการ scroll และการซูม และสามารถปรับความสว่างหน้าจอได้ด้วย
ใครสนใจก็เชิญดาวน์โหลดได้ฟรีผ่าน App Store
ทันเวลาพอดีก่อนที่ iPad จะเริ่มถึงมือลูกค้าทั่วไปจะได้ iPad มาเล่นกับมือจริง ๆ โปรแกรม Amazon Kindle นั้นได้ผ่านการตรวจสอบของแอปเปิลและได้วางขายบน App Store สำหรับ iPad แล้ว
โดยคราวนี้ Amazon Kindle ได้กลายเป็น "Universal App" คือเป็น App ตัวเดียวที่สามารถทำงานได้บนอุปกรณ์ที่ใช้ iPhone OS ทั้งหมด ตั้งแต่ iPad, iPhone และ iPod touch
iPad จะเริ่มวางขายในร้าน Apple Store ทุกสาขาในสหรัฐ ณ เวลา 9 โมงเช้าของวันนี้ตามเวลาท้องถิ่นในสหรัฐ
ที่มา - MacRumors
เว็บไซต์ App Advice ได้เปิดเผยภาพหน้าจอของ iBooks Store ร้านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์บน iPad ซึ่งแสดงราคาของหนังสือที่อยู่ใน Top 10 ไว้ที่ 9.99 ดอลลาร์ นอกจากนี้ยังมีบางเล่มตั้งราคาไว้ที่ 12.99 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาสูงสุดเท่าที่มีข้อมูล
ก่อนหน้านี้เราเคยได้ยินข่าวว่า iBooks Store มีนโยบายให้สำนักพิมพ์ตั้งราคาได้อิสระ ต่างจาก Kindle Store ของ Amazon ที่ตั้งราคา 9.99 ดอลลาร์ทุกเล่ม ส่งผลให้เกิดวิวาทะระหว่าง Amazon กับสำนักพิมพ์ Macmilan, Amzon ยอม Macmilan และสำนักพิมพ์อื่นเริมทำตาม Macmilan
หลังจากเปิดตัว Kindle for Windows ไปเมื่อปีกลาย ตอนนี้ถึงเวลาของ Kindle for Mac แล้ว
ในแง่การใช้งานคงไม่ต่างกันมาก หน้าที่ของมันคือเอาไว้ซื้อหนังสือจาก Kindle Store, จัดการหนังสือที่มีทั้งหมด, ย้ายหนังสือลงไปใน Kindle (รวมถึง iPhone/BlackBerry และ iPad ในเร็วๆ นี้) และสามารถอ่านหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์เลยก็ได้
ตัวอย่างภาพหน้าจอดูได้ด้านใน และ Ars Technica มีรีวิวสั้นๆ ให้อ่านครับ
ผมชอบอ่านหนังสือ จำได้ว่าเมื่อตอนวัยรุ่นสมัยเรียนมัธยมผมจะพกหนังสือติดตัวตลอดและอ่านทุกครั้งที่มีเวลาว่าง (ซึ่งมีเหลือเฟือเมื่อเทียบกับตอนนี้) แต่นั่นเป็นความประทับใจในอดีต เพราะปัจจุบันหาเวลาอ่านหนังสือได้ยากเต็มที นอกจากนั้นยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้อ่านหนังสือไม่ได้ เช่น หนังสือที่ชอบอ่านไม่สามารถพกพาไปได้สะดวก อย่างนิยายเล่มล่าสุดของ Stephen King อย่าง Under The Dome ที่หนากว่า 1,000 หน้า ต้องหาเวลานั่งอ่านเป็นเรื่องเป็นราว ทำให้อ่านไม่ถึงไหน
หลังจากที่ Amazon ยอมให้สำนักพิมพ์ Macmilan ตั้งราคาขายอีบุ๊กสูงกว่า 9.99 ดอลลาร์ ทาง Amazon ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า "จะให้ผู้บริโภคเป็นคนตัดสินเองว่า ราคาของ Macmilan นั้นสมเหตุสมผลหรือไม่ และหวังว่าสำนักพิมพ์อื่นๆ จะไม่ดำเนินรอยตาม Macmilan"
แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเป็นไปในทางตรงข้าม เพราะสำนักพิมพ์ใหญ่อีก 2 แห่งคือ HarperCollins กับ Hachette ได้ประกาศขึ้นราคาแล้ว โดย Hachette ประกาศว่าราคาหนังสือจะอยู่ระหว่าง 5.99-14.99 ดอลลาร์ และถ้าเป็นหนังสือใหม่จะอยู่ที่ 12.99-14.99 ดอลลาร์
แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากโครงสร้างราคาของ iBookstore แปลว่า iPad ยังไม่ออก แต่แอปเปิลก็เอาชนะ Amazon ไปได้ก่อนแล้วหนึ่งยก
คุณ Mike Nash รองประธานฝ่าย Windows Platform Strategy เตรียมลาออกจากไมโครซอฟท์ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ แล้วไปทำงานในส่วน Kindle ของอะเมซอนแทน
คุณ Nash ทำงานกับไมโครซอฟท์มา 19 ปี ปัจจุบันดูแลกลยุทธ์ของวินโดวส์ในภาคธุรกิจ เขายังเคยเป็นผู้จัดการโครงการคนแรกของทีมการตลาดของวินโดวส์ NT และเคยเป็นรองประธานฝ่าย Security Technology
หนังสือพิมพ์ New York Times รายงานว่า Amazon ได้ซื้อกิจการบริษัท Touchco ซึ่งเป็นบริษัทหน้าใหม่ที่พัฒนาจอสัมผัสโดยเฉพาะ
เดิมที Touchco เป็นโครงการวิจัยของมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เทคโนโลยีเด่นของบริษัทนี้คือใช้วัสดุที่เรียกว่า interpolating force-sensitive resistance สร้างจอสัมผัสแบบใส มองทะลุได้ จับการเคลื่อนไหวได้ไม่จำกัดจุด และมีราคาเพียงแค่จอละ 10 ดอลลาร์เท่านั้น ซึ่งเทียบกับจอของ iPad/iPhone แล้วเหนือกว่ามากทั้งในแง่ฟีเจอร์และราคา
Amazon จะรวม Touchco เข้ากับฝ่ายฮาร์ดแวร์ของ Kindle เราอาจได้เห็น Kindle รุ่นจอสีมัลติทัชได้ในอีกไม่นานเกินรอ ภาพของจอแบบใสดูได้ตามลิงก์
ความขัดแย้งระหว่าง Amazon กับสำนักพิมพ์ Macmilan (เปิด สงคราม e-Book: Amazon หยุดจำหน่าย e-Book ของสำนักพิมพ์ Macmillan) จบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อ Amazon ออกมาประกาศว่ายอมขายหนังสือของ Macmilan แล้ว
ในแถลงการณ์ของ Amazon บอกว่าบริษัทยัง "ไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง" กับการตั้งราคา 12.99-14.99 ดอลลาร์ต่อเล่มของ Macmilan แต่ไม่มีทางเลือก เพราะว่า Macmilan นั้น "ผูกขาด" การขายหนังสือยอดนิยมอยู่เป็นจำนวนมาก ทาง Amazon จึงยอมให้ Macmilan ตั้งราคาหนังสือได้ตามต้องการ และกลับมาขายหนังสือของ Macmilan ดังเดิม
Kindle นับเป็นเรือธงที่ Amazon ทำได้ โดยตอนนี้ประมาณการกันว่า Kindle ครองตลาดอยู่เกือบครึ่งหนึ่ง ของปริมาณรวมประมาณ 1,000,000 เครื่องทั่วสหรัฐฯ (จาก cleantech) โดยตัว SDK จะรองรับทั้ง Kindle และ Kindle DX มีให้ดาวน์โหลดทั้ง Windows, Mac และ Linux (สงสัยว่าจะเป็น Eclipse)
ในตอนนี้ยังไม่มีการเปิดให้ดาวน์โหลดตัว SDK แต่มีการประกาศอัตราส่วนแบ่งรายได้ออกมาเรียบร้อย เป็น 70% เข้านักพัฒนา 30% เข้า Amazon โดย Amazon จะคิดค่าส่งข้อมูลไปยัง Kindle อีก 0.15 ดอลลาร์ต่อเมกกะไบต์ ยกเว้นแต่ซอฟต์แวร์ฟรีจะไม่มีค่าใช้จ่ายการส่งข้อมูล
อีกหนึ่งความพ่ายแพ้ของการจำกัดสิทธิในการใช้งานด้วยเทคโนโลยี DRM เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อแฮกเกอร์จากอิสราเอลและสหรัฐฯ สามารถแกะเอาไฟล์ของ Kindle แล้วแปลงให้เป็นไฟล์ .mobi แบบไม่มีข้อจำกัดใดๆ ทำให้สามารถนำไฟล์ไปใช้งานกับเครื่องอื่นๆ ที่รองรับฟอร์มแมตเดียวกันนี้ได้
แฮกเกอร์อาศัยการ reverse engineer ซอฟต์แวร์ของ Kindle บนพีซีโดยเจาะจงไปที่การทำงานของซอฟต์แวร์ขณะที่กำลังถามรหัสผ่านจากผู้ใช้ แล้วขโมยรหัสผ่าน PC1 ที่ใช้ในการถอดรหัสไฟล์ออกมา
จากข่าวเก่า Amazon เตรียมปล่อย Kindle สำหรับ Windows วันนี้รุ่นเบต้ามาแล้วครับ
ชื่ออย่างเป็นทางการของมันคือ Kindle for PC ทำงานได้บน Windows XP, Vista และ 7 (ถ้าใช้กับ Windows 7 จะสามารถใช้มัลติทัชได้ด้วย) โปรแกรมนี้ช่วยให้เราซื้อหนังสือจาก Kindle Store ได้โดยไม่ต้องมี Kindle แต่ก็สามารถใช้งานควบคู่กันได้ด้วย เช่น ถ้าอ่านหนังสือผ่านพีซีด้วย Kindle for PC แล้วย้ายไปเปิดหนังสือเล่มเดียวกันบนเครื่อง Kindle มันจะเปิดหน้าที่เราอ่านค้างไว้ให้บนพีซี (เพราะข้อมูลจะถูกเก็บบนเซิร์ฟเวอร์ของ Amazon)
ห้องสมุดหลาย ๆ แห่งในสหราชอาณาจักรได้เริ่มให้บริการยืมหนังสือที่แตกต่างไปจากเดิมนัก โดยเริ่มแจกให้สมาชิกหรือผู้มีสิทธิใช้ห้องสมุดในท้องที่นั้นดาวน์โหลด eBook ไปใช้แทน
ที่เจ๋งคือผู้ใช้ไม่ต้องที่จะไปห้องสมุดอีกต่อไป ส่วนเรื่องลิขสิทธิก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะว่าตัวหนังสือเองจะทำการลบตัวเองภายใน 14 วัน โดยหนังสือ eBook เหล่านี้สามารถนำไปใช้งานได้บนหลายแพลตฟอร์ม ตั้งแต่ Sony Reader ไปจนถึง Nook ของ Barnes and Noble ที่เพิ่งเปิดตัวไปนี้
ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ผู้ใช้ Kindle ก็คงต้องเศร้าต่อไป เมื่อทราบว่าจะไม่มีส่วนร่วมในครั้งนี้ เนื่องจาก Kindle เป็นระบบปิด
หลังจากที่ผลิต Kindle สำหรับไอโฟนและไอพอดทัชแล้ว (ข่าวเก่า) วันนี้ที่งานเปิดตัว Windows 7 ของไมโครซอฟท์ ก็ได้มีการประกาศว่า Amazon นั้นจะทำโปรแกรมสำหรับอ่านหนังสือที่ขายใน Kindle Store บน Windows แล้วครับ
สัปดาห์นี้ Amazon เพิ่งเริ่มวางขาย Kindle หรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ของตนในยุโรป ในขณะเดียวกัน บริษัทอื่นๆ ต่างก็พยายามที่จะแข่งกัน Amazon เพื่อเป็นผู้นำด้านการเผยแพร่หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ โดยในตลาดนี้ การเป็นผู้นำไม่ได้ขึ้นอยู่กับการจำหน่ายอุปกรณ์อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยการพัฒนารูปแบบการเผยแพร่สินค้า ซึ่งเป็นหัวสำคัญของการครองตลาด ดังที่สินค้าด้านวัฒนธรรมอื่นๆ อาทิ เพลง รายการทีวี หรือวีดิทัศน์ ได้แสดงให้เห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แล้วใครจะเป็นผู้นำตลาดด้านนี้ในอนาคต ?
หลาย ๆ คนอาจจะไม่นึกว่ามันจะมาเร็วขนาดนี้! วันนี้อเมซอนเปิดตัว Kindle ที่สามารถใช้ได้ทั่วโลก โดยทุกอย่างเหมือนกับ Kindle เวอร์ชั่นปัจจุบันนี้หมด โดยวางขายที่ราคา 279 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 9,300 บาท ส่วน Kindle รุ่นปกติที่ใช้ได้เฉพาะภายในสหรัฐและคู่กับเครือข่าย Sprint ลดราคาลงมาจาก 299 ดอลลาร์เหลือ 239 ดอลลาร์
คาดว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้หมายความว่าอเมซอนได้เปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยี GSM แทนที่ CDMA ของ Sprint แล้ว โดย Engadget ได้บอกว่าผู้ใช้เมื่อท่องเที่ยวไปต่างประเทศสามารถที่จะดาวน์โหลดหนังสือผ่าน Kindle Store ได้แต่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น 1.99 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
อยู่ดี ๆ Kindle ก็น่าสอยทันที :D
หลังจากที่ได้มีการเริ่มทดลองให้นักศึกษาและครูบางคนที่มหาวิทยาลัย Princeton ได้ลองใช้ Kindle DX ในการเรียนการสอนเป็นเวลาสองสัปดาห์ในห้องเรียนสามห้องพบว่าหลาย ๆ คนไม่พอใจเท่าที่ควร
ในหนังสือพิมพ์ the Daily Princetonian ของมหาวิทยาลัย มีรายงานว่าการใช้ Kindle DX ในการเรียนการสอนนั้น ไม่น่าพอใจและไม่สะดวก โดยมีนักศึกษารายหนึ่งให้ความเห็นว่าการใช้ e-reader ในการเรียนการสอนเป็นข้อแก้ตัวที่แย่สำหรับการเพิ่มเครื่องมือที่ช่วยในการเรียนการสอน
สำหรับคนที่จำได้กรณีที่อเมซอนได้ทำการลบหนังสือเรื่อง Nineteen Eighty-Four จากเครื่อง Kindle ทุกเครื่องแล้วบริษัทได้ออกมาขอโทษอย่างเป็นทางการแล้วก็ตาม แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นอเมซอนนั้นได้ตกอยู่ในที่นั่งลำบากหลังจากมีกรณีฟ้องร้องโดยนักศึกษาที่ไม่สามารถทำการบ้านได้หลังจากหนังสือที่ตัวเองเป็นเจ้าของ (โดยการซื้อจาก Kindle Store) ถูกลบออกไป
หลังจากที่เป็นข่าวครึกโครมไปเมื่อไม่นานมานี้ สำหรับกรณีที่อเมซอนถอดถอนหนังสือหลายๆ เล่มที่ผิดลิขสิทธิ์ออกจากร้านขายออนไลน์รวมไปจนถึง Kindle ของผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต (ถึงจะโอนเงินคืนเต็มจำนวนเข้าแอคเคานท์ของผู้ซื้อแล้วก็ตาม) ทำให้หลายๆ คนไม่พอใจเกี่ยวกับสิทธิของตนเอง วันนี้คุณ Jeff Bezos ซึ่งเป็น CEO ของอเมซอน ได้ออกมาขอโทษเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวแล้วครับ
"ขอโทษสำหรับวิธีที่เราจัดการเรื่องอีบุ๊กผิดลิขสิทธิ์ที่ผ่านมา ผมยอมรับว่า "การแก้ปัญหา" แบบนั้นมันโง่เง่า, ไร้ความคิด และล้ำเส้นไปจากหลักปฏิบัติของเรามาก และที่โดนตำหนิติเตียนนั้นก็สมควรแล้ว เราสัญญาว่าความเจ็บปวดจากการผิดพลาดครั้งนี้ จะทำให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นในอนาคต"
Barnes & Noble เครือร้านหนังสือใหญ่ของสหรัฐและคู่แข่งสำคัญของ Amazon เตรียมออกเครื่องอ่าน e-Book มาแข่งกับ Kindle ในปีหน้า
Barnes & Noble จะจับมือกับบริษัท Plastic Logic ซึ่งเป็นบริษัทผลิตจอภาพที่ทำด้วยพลาสติกและเครื่องอ่าน e-Book ที่จะเปิดตัวปลายปี เครื่องอ่านหนังสือของ Plastic Logic จะเทียบเท่ากับเครื่อง Kindle ส่วน Barnes & Noble จะเปิดร้านขาย e-Book ออนไลน์ ซึ่งผู้ใช้ iPhone, iPod touch, Windows Mobile, BlackBerry รวมถึงพีซีธรรมดาสามารถซื้อได้ แน่นอนว่าร้านออนไลน์ของ Barnes & Noble จะเป็นร้าน exclusive ร้านเดียวสำหรับเครื่องของ Plastic Logic
ความเข้าใจที่ว่า "เราเป็นเจ้าของสิ่งที่เราซื้อ" คงจะไม่จริงเสมอไปสำหรับลูกค้า Kindle หลังจากที่ทางอเมซอนได้ทำการถอดถอนหนังสือของ George Orwell เรื่อง Animal Farm กับ Nineteen Eighty-Four ออกจากร้านขายหนังสือของ Kindle และเครื่อง Kindle ทุกเครื่อง โดยได้ทำการคืนเงินให้กับลูกค้าทุก ๆ คนที่ได้ทำการซื้อหนังสือเล่มดังกล่าวไปแล้ว
ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาในการเปิดตัว Kindle นอกสหรัฐในประเทศเยอรมนีแล้ว เนื่องจากการที่อเมซอนยังตกลงกับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือในประเทศไม่ได้
แต่ดูเหมือนว่าปัญหาหลักของ Kindle จะเป็นบริการติดต่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ตเพื่อใช้เช็คอีเมลหรือซื้อหนังสือเพิ่มภายใต้ชื่อ "Whispernet" ของอเมซอน โดยขณะนี้ทั้ง Vodafone และ T-Mobile ผู้ให้บริการมือถือของประเทศเยอรมนีต่างยังไม่ยอมรับข้อตกลงจากอเมซอน แต่ดูเหมือนว่าอเมซอนคงต้องจ่ายเงินมากพอสมควรเพื่อที่จะให้บริการ Whispernet ได้
Engadget ยังได้รายงานอีกว่าสาเหตุส่วนหนึ่งที่ T-Mobile ไม่ค่อยอยากจะทำธุรกิจกับอเมซอนเนื่องจากบริษัทแม่ Deutsche Telekom นั้นกำลังจะทำเครื่อง eBook เป็นของตัวเอง
หลังจากที่มีการถกเถียงกันและได้ใจความส่วนหนึ่งมาว่าเครื่องอ่านหนังสืออิเล็กโทรนิกส์ควรมีหน้าจอสี แต่ทว่า Jeff Bezos ซีอีโอของอเมซอนได้ออกมากล่าวว่า
"Kindle รุ่นหน้าจอสีจะไม่มีการดำเนินการในเร็วๆ นี้ คงต้องใช้เวลาอีกหลายปี แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลายปีนี่คือกี่ปี"
แต่ถึงแม้ว่าจะมีการออกมาพูดแบบนี้ แต่อาจจะมีอะไรให้ประหลาดใจอีกก็ได้ ดีไม่ดี ปีหน้าอเมซอนอาจจะออกรุ่นหน้าจอสีก็ได้ ว่าแต่ จำเป็นไหมที่จะต้องมีการแสดงผลนอกเหนือจากสีขาวดำ?
เพิ่มเติม : หน้าจอแบบ E-Ink ที่แสดงผลเป็นสีได้มีการผลิตแล้วโดย Phillips