ไมโครซอฟท์ร่วมมือกับ OpenAI เปิดให้องค์กรธุรกิจใช้งาน GPT-4o mini ใหม่ใน Azure AI แล้ว

GPT-4o mini เป็นโมเดลขนาดเล็กรุ่นใหม่ที่ชาญฉลาด เร็วขึ้น และราคาไม่แพง ซึ่ง OpenAI เพิ่งประกาศเปิดตัววันนี้ โดยผสานรวมความสามารถด้านข้อความและการมองเห็น (เสียงและวิดีโอจะตามมาในภายหลัง)

OpenAI เปิดตัว GPT-4o mini โมเดลปัญญาประดิษฐ์ขนาดเล็กสำหรับนักพัฒนาที่ระบุว่า มีประสิทธิภาพเทียบกับต้นทุน (Cost-Efficient) คุ้มค่าที่สุดของ OpenAI ซึ่งน่าจะทำให้ต้นทุนสำหรับแอพพลิเคชัน AI ต่าง ๆ สามารถเข้าถึงได้มากขึ้น โดยยังได้ประสิทธิภาพที่สูง

GPT-4o mini คิดค่าบริการที่ 15 เซนต์ต่อ 1 ล้านอินพุทโทเค็น และ 60 เซนต์ต่อ 1 ล้านเอาท์พุทโทเค็น ถูกกว่า GPT-3.5 Turbo 60% ในตอนนี้รองรับ API ส่วน text และ vision โดยจะรองรับข้อมูลรวมตั้งแต่ text, image, video และ audio ในอนาคต เอาท์พุทรองรับสูงสุด 16k โทเค็นต่อรีเควส ข้อมูลปรับปรุงถึงตุลาคม 2023

OpenAI เผยแพร่งานวิจัยในการพัฒนาอัลกอริทึม เพื่อทำให้โมเดล AI ภาษาขนาดใหญ่หรือ LLM พัฒนาความสามารถในการอธิบายสิ่งต่าง ๆ ให้คนอื่นเข้าใจได้ดีขึ้น เรียกวิธีการนี้ว่า Prover-Verifier Games

การทำงานนั้นผู้วิจัยใช้โมเดล AI สองโมเดล โมเดลหนึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเป็น Prover หรือคนอธิบายคำตอบ และโมเดลที่ประสิทธิภาพน้อยกว่าเป็น Verifier ทำหน้าตรวจสอบความถูกต้องของคำตอบที่ได้รับ หน้าที่ของ Prover คือให้คำตอบที่ทำให้อีกฝ่ายเชื่อว่าถูกต้องที่สุด ส่วน Verifier ต้องตอบว่าคำตอบที่ได้นั้นถูกต้องหรือไม่ ซึ่งหลายกรณีเป็นคำตอบที่มั่ว แต่ Prover ใช้คำอธิบายทำให้ไขว้เขว

สำนักข่าว Reuters อ้างข้อมูลเอกสารที่ได้ตรวจสอบ พบว่า OpenAI มีโครงการพัฒนา AI ตัวหนึ่ง ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการดำเนินงานโดยเรียกชื่อโครงการว่า "Strawberry"

โครงการ Strawberry นี้เดิมชื่อ Q* เป็นการพัฒนา AI ที่มีความสามารถด้านการคำนวณคณิตศาสตร์-วิทยาศาสตร์ ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นจุดบกพร่องของ Generative AI ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งที่บางครั้งเราพบว่า AI ไม่สามารถคิดเลขพื้นฐานได้ ซึ่ง OpenAI หวังว่า Strawberry จะมีความสามารถมาช่วยงานวิจัยเชิงลึกอีกด้วย

Bloomberg รายงานข้อมูลจากการประชุมพนักงานภายใน OpenAI ว่าทีมบริหารของบริษัทแบ่งระดับความก้าวหน้าของ AI เป็น 5 ระดับ (Level 1-5) ลักษณะคล้ายๆ กับการวัดระดับความสามารถของรถยนต์ไร้คนขับ ที่จัดกลุ่มโดย Society of Automotive Engineers (SAE)

การแบ่งระดับ AI ของ OpenAI มีดังนี้

OpenAI ประกาศร่วมมือกับ Los Alamos National Laboratory หรือ LANL หนึ่งในห้องปฏิบัติการสำคัญของสหรัฐอเมริกา เพื่อทำการศึกษาว่าปัญญาประดิษฐ์หรือ AI สามารถนำมาประยุกต์กับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Bioscience) ขั้นสูงอย่างไรได้บ้าง

OpenAI เชื่อว่า AI สามารถเพิ่มศักยภาพและความเร็วในงานวิจัยวิทยาศาสตร์ได้ ตัวอย่างเช่น Moderna ก็นำเทคโนโลยีของ OpenAI มาช่วยในขั้นตอนวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่, Color Health พัฒนาแชทบอตช่วยในการตัดสินใจประเด็นการรักษาโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตามนั่นคือด้านดีของการใช้เทคโนโลยี ซึ่งก็มาพร้อมความเสี่ยงหากถูกนำไปใช้งานในอีกด้าน จึงเป็นที่มาของความร่วมมือกับ LANL นี้

ก่อนหน้านี้ OpenAI ได้ประกาศปรับโครงสร้างบอร์ดบริษัท เพิ่มตำแหน่งบอร์ดผู้สังเกตการณ์ ซึ่งเกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ที่บอร์ดตัดสินใจไล่ออกซีอีโอ Sam Altman โดยที่ไมโครซอฟท์ซึ่งเป็นผู้ลงทุนรายสำคัญ ไม่ทราบข้อมูลนี้มาก่อน และตำแหน่งนี้ก็มีโควต้าให้ไมโครซอฟท์ 1 ที่นั่ง ปัจจุบันเป็น Dee Templeton

OpenAI Startup Fund หน่วยงานการลงทุนของ OpenAI ประกาศความร่วมมือกับ Thrive Global กองทุนที่มีเป้าหมายการลงทุนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของ Arianna Huffington ผู้ก่อตั้ง Huffington Post ตั้งบริษัทใหม่ Thrive AI Health มีเป้าหมายสร้าง AI ให้คำแนะนำด้านสุขภาพโดยเฉพาะ

Sam Altman ซีอีโอ OpenAI และ Arianna Huffington กล่าวว่าปัจจุบันมีการพูดถึง AI จะเข้ามาช่วยลดเวลางานของผู้คน เพิ่มประสิทธิภาพด้านต่าง ๆ จึงนำมาสู่แนวคิดพื้นฐานคือนำ AI มาปรับปรุงด้านสุขภาพและทำให้คนมีอายุยืนมากขึ้น สิ่งที่บริษัทเปรียบเหมือนการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพ ที่ทำงานอยู่บน AI

มีรายงานจากนักพัฒนาชื่อ Pedro Vieito โพสต์เนื้อหาใน Threads พบว่าแอป ChatGPT บน macOS ไม่ได้ใช้ sandbox มาตรฐานของ macOS ในการเก็บข้อมูล ข้อมูลการสนทนาถูกเก็บเป็นแคชภายในแอปในรูปแบบ plain text ทำให้การเข้าถึงข้อมูลนี้โดยผู้ใช้งานคนอื่นสามารถทำได้ง่าย

9to5Mac ยืนยันการทดสอบปัญหานี้ โดยทดลองเข้าถึงไฟล์นี้โดยตรง และพบว่าสามารถเปิดอ่านได้โดยไม่มีการขอสิทธิเข้าถึงเพิ่มเติมแบบการเก็บข้อมูลอื่น

อย่างไรก็ตาม OpenAI ได้ออกอัปเดต ChatGPT บน macOS เวอร์ชันใหม่ ซึ่งได้แก้ไขการจัดเก็บข้อมูลการสนทนานี้ไปเรียบร้อยแล้ว ผู้ใช้งานควรอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดทันที

ข้อมูลนี้มาจาก Mark Gurman แห่ง Bloomberg เขาอ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง บอกว่าแอปเปิลได้โควต้าตำแหน่งบอร์ดสังเกตการณ์ใน OpenAI หนึ่งตำแหน่ง โดยจะให้ Phil Schiller อดีตหัวหน้าฝ่ายการตลาดของแอปเปิล ที่ตอนนี้มีตำแหน่งหลักเป็น Apple Fellow และยังดูแล App Store กับ Apple Events ไปนั่งตำแหน่งนี้

โควต้าบอร์ดใน OpenAI ที่แอปเปิลได้นี้ เป็นผลจากการทำข้อตกลงเพื่อนำบริการ ChatGPT ของ OpenAI มาใช้กับระบบปฏิบัติการหลักทั้ง iOS 18, iPadOS 18 และ macOS Sequoia

OpenAI ประกาศทำข้อตกลงความร่วมมือเป็นระยะเวลาหลายปี (multi-year) กับ TIME นิตยสารข่าวของสหรัฐอเมริกา โดยบอกว่าเป็นการนำคอนเทนต์ข่าวที่น่าเชื่อถือ มาเสริมกับผลิตภัณฑ์ของ OpenAI รวมทั้ง ChatGPT

ภายใต้ข้อตกลงนี้ OpenAI จะสามารถเข้าถึงคอนเทนต์ทั้งหมดของ TIME ตั้งแต่ก่อตั้งนิตยสารเป็นเวลา 101 ปี รวมทั้งแทรกลิงก์กลับไปยังเนื้อต้นทางที่ Time.com ส่วนทาง TIME จะได้สิทธิเข้าถึงเทคโนโลยีของ OpenAI เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับลูกค้า

OpenAI เผยแพร่รายงานการพัฒนาโมเดล AI CriticGPT ซึ่งมีพื้นฐานบน GPT-4 สำหรับใช้ตรวจจับความผิดพลาดในผลลัพธ์ของ ChatGPT ที่เป็นโค้ดโปรแกรม จากที่ผ่านมาวิธีการปรับปรุง AI ให้ทำงานถูกต้องนั้นใช้คนที่ทำหน้าที่ AI Trainer ให้ฟีดแบ็กผลลัพธ์ เพื่อให้ AI เรียนรู้และปรับปรุง (RLHF - Reinforcement Learning from Human Feedback)

อย่างไรก็ตามเมื่อ ChatGPT ทำงานเก่งขึ้น ตอบคำถามที่ซับซ้อนได้มากขึ้น การใช้คนตรวจสอบผลลัพธ์โดยเฉพาะโค้ด ก็ยิ่งจับความผิดพลาดได้ยากมากขึ้น CriticGPT จึงออกแบบมาเพื่อช่วยแนะนำว่าคนควรตรวจสอบจุดไหน ที่น่าจะเป็นจุดที่ผิดพลาด ทำให้การฟีดแบ็กแม่นยำ ถูกต้องมากยิ่งขึ้น

OpenAI ประกาศว่าแอป ChatGPT สำหรับผู้ใช้งาน Mac เปิดให้ใช้งานสำหรับทุกคนแล้ววันนี้ หลังจากเปิดให้เฉพาะผู้ใช้งาน ChatGPT Plus มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม

จุดเด่นของ ChatGPT เวอร์ชันสำหรับ macOS สามารถถามได้ทั้งข้อมูลอีเมล, ภาพหน้าจอ หรืออื่น ๆ ที่ปรากฏบนหน้าจอ และสามารถเรียกใช้งานด้วยปุ่มทางลัด Option+Space

ดาวน์โหลดและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

ที่มา: MacRumors

OpenAI ประกาศปรับแผนการปล่อยแอป ChatGPT เวอร์ชั่นใหม่ที่รองรับ Advanced Voice Mode พูดคุยกับ ChatGPT ได้โดยตรง จากเดิมคาดว่าจะเริ่มให้ผู้ใช้บางส่วนเข้าถึงได้ในเดือนนี้ เลื่อนไปอีกหนึ่งเดือนเพื่อเตรียมความพร้อม ทั้งการเพิ่มมาตรการความปลอดภัยไม่ให้ ChatGPT ตอบข้อมูลไม่เหมาะสม และขยายโครงสร้างรองรับการใช้งาน

Advanced Voice Mode เปิดให้ผู้ใช้สามารถพูดแทรกกับ ChatGPT ไปมาโดย OpenAI สาธิตไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รวมถึงสามารถเข้าใจอารมณ์ของเสียง รวมถึงการตอบสนองที่ใช้เวลาสั้นลง

คาดว่าผู้ใช้ ChatGPT Plus ทุกคนจะได้ฟีเจอร์ใหม่นี้อย่างช้าภายในปลายปีนี้

ที่มา - X.com/OpenAI

OpenAI ประกาศซื้อกิจการ Multi (ชื่อเดิม Remotion) สตาร์ทอัปแพลตฟอร์มทำงานร่วมกัน (collaboration) ที่โฟกัสวิดีโอเป็นหลัก และเน้นลูกค้าองค์กร

รายงานบอกว่าดีลดังกล่าว OpenAI ไม่ได้ต้องการซื้อแพลตฟอร์มหรือเครื่องมือของ Multi แต่ต้องการซื้อตัวทีมงานพัฒนา ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 5 คน มาร่วมงานกับ OpenAI ซึ่งทำให้ Multi จะปิดให้บริการตั้งแต่ 24 กรกฎาคม เป็นต้นไป

Multi ก่อตั้งโดย Alexander Embiricos อดีตผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ที่ Dropbox โดยตอนนี้เป็นซีอีโอ และ Charley Ho อดีตวิศวกรซอฟต์แวร์ที่กูเกิล ซอฟต์แวร์ Multi มีจุดเด่นเช่น การแชร์หน้าจอพร้อมกันสูงสุด 10 คน ในระหว่างการประชุม รวมถึงการแชร์เอกสารข้อมูลต่าง ๆ

OpenAI ประกาศดีลซื้อกิจการบริษัทอื่นเป็นครั้งแรก โดยจะซื้อกิจการ Rockset สตาร์ทอัปผู้พัฒนาฐานข้อมูล ที่มีจุดขายคือสามารถทำ Index ได้แบบเรียลไทม์ในสเกลระดับบนคลาวด์ รองรับการค้นหาวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ได้

OpenAI บอกว่าเทคโนโลยีการจัดการข้อมูลของ Rockset จะนำมาเสริมกับโครงสร้างพื้นฐานของทุกผลิตภัณฑ์ใน OpenAI โดยพนักงานส่วนหนึ่งของ Rockset จะเข้ามาร่วมทีมกับ OpenAI

ดีลดังกล่าวไม่มีการเปิดเผยมูลค่า โดยที่ผ่านมา Rockset ได้รับเงินจากนักลงทุนไปแล้วรวม 105 ล้านดอลลาร์

Mira Murati ซีทีโอ OpenAI ได้เข้าร่วมงานสัมมนาด้าน AI ซึ่งจัดโดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ของ Darmouth University ซึ่งพูดถึงผลกระทบของ AI ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกในด้านต่าง ๆ

เรื่องนี้มาเป็นประเด็นเมื่อเนื้อหาช่วงหนึ่ง เป็นการพูดคุยถึงผลกระทบต่องานความคิดสร้างสรรค์ ที่ AI ทั้งเข้ามาเสริมการใช้งานให้กับคนทำงาน แต่ขณะเดียวกัน AI ก็สามารถเข้าแทนที่ตำแหน่งงานของคนได้ด้วย ประเด็นนี้ Murati ได้บอกว่า

งานสร้างสรรค์บางอย่างอาจจะหายไปเลย ซึ่งบางทีงานเหล่านี้ไม่ควรมีอยู่แต่แรกแล้ว ถ้าคอนเทนต์ที่ผลิตออกมาไม่ได้มีคุณภาพสูงมากนัก แต่ตนเชื่อว่าการใช้เครื่องมือนี้สำหรับการเรียนรู้ ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการต่าง ๆ จะช่วยเพิ่มปัญญาให้พวกเราได้

ภาษาอังกฤษกล่าวแบบนี้

มีรายงานว่า Sam Altman ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ได้หารือกับผู้ถือหุ้นบางราย บอกว่าบริษัทกำลังพิจารณาเปลี่ยนโครงสร้างส่วนธุรกิจแสวงหากำไร (For-Profit) ให้เป็นบริษัทเต็มรูปแบบ ไม่มีบอร์ดจากส่วนไม่แสวงหากำไร (Non-Profit) มากำกับดูแลอีกทีหนึ่ง

ถึงแม้พันธมิตร OpenAI กับไมโครซอฟท์ กลายเป็นกรณีศึกษาที่ช่วยให้ทั้งสองบริษัทประสบความสำเร็จในวงการ AI แต่พันธมิตรคู่นี้อาจไม่ได้อยู่ยั้งยืนยงยาวนาน

Wall Street Journal มีบทความวิเคราะห์ว่า Satya Nadella ซีอีโอไมโครซอฟท์ พยายามกระจายความเสี่ยงออกจากการพึ่งพา OpenAI เพียงรายเดียว ตัวอย่างมีทั้ง การลงทุนในบริษัท G42 ของอาบูดาบี มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ และดีลที่สำคัญคือ การตั้งทีม Microsoft AI โดยดึง Mustafa Suleyman ผู้ร่วมก่อตั้ง DeepMind มาเป็นซีอีโอ

OpenAI ประกาศแต่งอดีตนายพล Paul M. Nakasone เป็นหนึ่งในบอร์ดของบริษัท โดยชูประสบการณ์เรื่องความมั่นคงไซเบอร์ของ Nakasone ว่าจะเข้ามาช่วยแนะนำแนวทางด้านความปลอดภัยของ AI

Paul Miki Nakasone เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น ปัจจุบันเขาเกษียณอายุแล้ว จุดที่น่าสนใจคือเขาเป็นอดีตผู้อำนวยการหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Agency - NSA) พร้อมควบตำแหน่งผู้อำนวยการกองกำลังไซเบอร์ของสหรัฐ (United States Cyber Command) ระหว่างปี 2018-2024 และเพิ่งลงจากตำแหน่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

The Information มีรายงานข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการของรายได้ OpenAI โดยระบุว่า Sam Altman ได้บอกกับพนักงาน ว่ารายได้ในช่วง 12 เดือนย้อนหลังที่ผ่านมา อยู่ที่ประมาณ 3.4 พันล้านดอลลาร์

หากเป็นตัวเลขนี้จริง ถือเป็นรายได้ที่เพิ่มสูงมาก เพราะเมื่อ 1 ปีที่แล้ว OpenAI ประเมินรายได้บริษัทไว้ที่ระดับ 1 พันล้านดอลลาร์ ส่วนเมื่อต้นปีประเมินเพิ่มขึ้นว่าจะไปถึง 2 พันล้านดอลลาร์ และอาจเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ต่อเนื่องจากการเปิดตัว Apple Intelligence ที่มีความร่วมมือกับ OpenAI มาเสริม โดย Apple ระบุเพียงว่า Apple Intelligence ในภาพรวม (ซึ่งน่าจะเหมายถึงเฉพาะ Apple Foundation Model) ประมวลผลบนเครื่องและ Private Compute Cloud ของตัวเอง

ล่าสุด The Information รายงานว่า ส่วนประมวลผลของ OpenAI ที่มาเสริม Apple Intelligence ถูกประมวลผลอยู่บนคลาวด์ Azure โดยเฉพาะ (ต้นทางใช้คำว่า exclusively) ซึ่งถึงแม้ Apple จะยืนยันเรื่องการไม่ส่งข้อมูลส่วนตัว (เช่น IP Address) ของผู้ใช้งานให้กับ OpenAI แต่ข้อมูลนี้ก็อาจทำให้ Apple ถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นส่วนตัวที่ตัวเองชูมาตลอด

จากการประกาศความร่วมมือระหว่างแอปเปิลและ OpenAI เพื่อให้บริการ Apple Intelligence ใน iOS 18 ที่เชื่อมต่อการทำงานบางส่วนกับ ChatGPT แต่ความร่วมมือนี้ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเรื่องผลประโยชน์ในด้านตัวเงิน

เรื่องนี้อาจเทียบเคียงได้กับกรณีแอปเปิลและกูเกิล ที่กูเกิลต้องจ่ายเงินให้กับแอปเปิลเป็นจำนวนมากทุกปี แลกกับการเป็นเสิร์ชเอ็นจินค่าเริ่มต้นในระบบปฏิบัติการ ตัวเลขปี 2022 สูงถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่เมื่อดูกรณีแอปเปิลกับ OpenAI ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใครต้องเป็นฝ่ายจ่ายเงินให้ใคร

รัฐบาลของบราซิลได้ทำข้อตกลงจ้าง OpenAI เพื่อพัฒนาเครื่องมือสำหรับวิเคราะห์เอกสารคดีฟ้องร้องของรัฐบาล ที่มีจำนวนหลายพันคดีด้วย AI เพื่อหวังลดค่าใช้จ่ายในกรณีที่คดีนั้นฟ้องร้องและรัฐบาลเป็นฝ่ายแพ้ ซึ่งทำให้เกิดค่าใช้จ่ายและค่าเสียเวลาตามมา รัฐบาลจึงต้องการโฟกัสเฉพาะคดีที่มีโอกาสชนะเท่านั้น

เครื่องมือ AI ดังกล่าวจะวิเคราะห์รายละเอียดคดี และประเมินคัดให้เหลือเฉพาะคดีที่รัฐบาลมีโอกาสเป็นฝ่ายชนะ โดยอาศัยแนวโน้มต่าง ๆ ที่เรียนรู้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการต่อไป

ท่ามกลางบรรยากาศที่หันหน้าไปทางไหนก็เจอแต่คำว่า AI มาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทที่จุดพลุให้คำๆ นี้กลายเป็น buzzword คือ OpenAI จากการเปิดตัวเป็นแชทบ็อต ChatGPT (GPT 3.5) เมื่อปลายปี 2022

นอกจาก OpenAI บริษัทที่ถือว่าตีคู่ขึ้นมาได้ ทั้งแง่ความสามารถของโมเดล และผลิตภัณฑ์ที่ให้บริการกับผู้บริโภคก็หนีไม่พ้น Google (แม้ในแง่การโปรโมท หรือการออกสู่ตลาดอาจจะทำได้แย่กว่า) จนทำให้จุดสูงสุดของอุตสาหกรรมนี้ ณ ตอนนี้ อาจบอกได้ว่ามีอยู่แค่ 2 บริษัทนี้