YouHaveDownloaded เป็นเว็บไซต์ของรัสเซียที่นำหมายเลขไอพีของผู้ที่ดาวน์โหลดไฟล์ BitTorrent จาก public tracker มาค้นหากลับว่าไอพีเหล่านั้นมาจากที่ไหนบ้าง
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่เจ้าของลิขสิทธิ์อย่าง RIAA และ MPAA ในสหรัฐใช้ค้นหาตัวคนที่ดาวน์โหลดไฟล์ผิดกฎหมายเพื่อยื่นฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์
ปรากฏว่าสถิติของ YouHaveDownloaded (ซึ่งมีผู้ใช้กว่า 50 ล้านรายในฐานข้อมูล) เจอของดีมากมาย เพราะหนึ่งในผู้ดาวน์โหลดไฟล์ผิดกฎหมายบน BitTorrent มาจากไอพีของบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์เสียเอง เช่น Sony, Universal, Fox มิหนำซ้ำยังมีองค์กรรัฐอย่างทำเนียบประธานาธิบดีฝรั่งเศส และกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐ
BitTorrent ไม่ใช่แหล่งแชร์ไฟล์ที่ใหญ่ที่สุดอีกต่อไปแล้ว หลัง Torrentfreak ได้เผยสถิติ 10 อันดับเว็บแชร์ไฟล์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดย 5 อันดับแรกกลับเป็นเว็บฝากไฟล์ทั่วไปอย่าง 4shared หรือ megaupload ส่วนเว็บ BitTorrent ชื่อดังอย่าง The Pirate Bay นั้นอยู่เพียงอันดับที่ 6
หากเปรียบเทียบกับสถิติเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เว็บ BitTorrent มีจำนวนผู้ใช้งานมากจนติดอันดับ 100 เว็บแรกของโลก ข่าวดีคือจากการปราบปรามอย่างหนักทำให้ตัวเลขผู้ใช้เว็บ BitTorrent ลดลงเรื่อยๆ แต่กลับทำให้จำนวนผู้ใช้เว็บแชร์ไฟล์มากขึ้นมาแทนที่ น่าสนใจว่าการจะปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์นั้นอาจจะไม่ใช่เพียงการไล่ปิดเว็บ BitTorrent เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
ดูรายชื่อทั้ง 10 อันดับได้หลังเบรค
RIAA (สมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกา) และ MPAA (สมาคมผู้ประกอบกิจการภาพยนตร์ของสหรัฐฯ) ได้ประกาศความร่วมมือกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ในสหรัฐ ซึ่งได้แก่ AT&T, Verizon, Comcast, Time Warner และ Cablevision เพื่อสร้างระบบแจ้งเตือนผู้ใช้เมื่อผู้ใช้กำลังดาวน์โหลดเนื้อหาละเมิดลิขสิทธิ
เมื่อระบบพบการละเมิดลิขสิทธิจากผู้ใช้ ระบบจะส่งอีเมลแจ้งเตือนไปถึงผู้ใช้โดยอัตโนมัติ หลังจากนั้นผู้ให้บริการสามารถที่จะเลือกปรับลดความเร็วอินเทอร์เน็ต หรือ redirect หน้าเว็บไปยังเว็บอื่นจนกว่าผู้ใช้จะติดต่อกลับไปหาผู้ให้บริการ แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในยุโรปหลาย ๆ ประเทศก็คือผู้ให้บริการในสหรัฐจะไม่ตัดอินเทอร์เน็ตผู้ใช้
ข่าวนี้ต่อจาก CNET โดนฟ้องข้อหาเปิดให้ดาวน์โหลดโปรแกรม LimeWire สรุปสั้นๆ ว่าโจทก์ซึ่งเป็นนักดนตรีได้ถอนฟ้องคดีนี้ไปเองเงียบๆ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ตอนแรกคดีนี้เป็นข่าวใหญ่เพราะโจทก์ประโคมข่าวว่า CNET สนับสนุนการละเมิดลิขสิทธิ์ (ผ่านการแจก LimeWire) หลายกรณีมาก แต่สุดท้ายโจทก์ได้ยื่นฟ้องเพียง 6 กรณีเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ทนายของโจทก์ก็ขู่ไว้ว่าจะยื่นฟ้องคดีนี้ใหม่ โดยมีโจทก์เพิ่มขึ้นอีกหลายราย และเพิ่มกรณีการละเมิดลิขสิทธิ์อีกหลายพันกรณี
ที่มา - Wired
Alki David ผู้สร้างภาพยนตร์ และนักดนตรีอีกกลุ่มหนึ่ง ยื่นฟ้องบริษัท CBS เจ้าของเว็บไอทีชื่อดัง CNET ในข้อหา "ส่งเสริมการละเมิดลิขสิทธิ์ครั้งใหญ่" จากการเปิดให้ดาวน์โหลดโปรแกรมแชร์ไฟล์ LimeWire บนเว็บไซต์ของตัวเอง
ข้อมูลจากคำฟ้องระบุว่า CNET และเว็บไซต์ download.com ในเครือเปิดให้ดาวน์โหลด LimeWire ไปถึง 220 ล้านครั้งนับตั้งแต่ปี 2008 คิดเป็น 95% ของยอดการดาวน์โหลดโปรแกรม LimeWire ทั้งหมด
ตามกฎหมายแล้ว โปรแกรมตระกูล P2P ไม่ผิดแต่อย่างใด แต่ผู้ฟ้องคดีละเมิดลิขสิทธิ์ส่วนมากจะใช้เหตุผลว่าผู้แจกจ่ายโปรแกรมเหล่านี้ "ส่งเสริม" ให้ละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย ในกรณีของคดีนี้ Alki David เปรียบว่า CNET แจก "ปืน" และกระตุ้นให้คนไปก่ออาชญากรรม
ศาลประเทศออสเตรเลียตัดสินยกฟ้องบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต iiNet ในคดีที่กลุ่มเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ฟ้องร้องโทษฐานที่อนุญาตให้ผู้ใช้แชร์ไฟล์ละเมิดลิขสิทธิ์ได้
คดีดังกล่าวเป็นการอุทธรณ์จากคำตัดสินเมื่อปีที่แล้ว ที่ศาลชั้นต้นตัดสินว่าผู้ให้บริการไม่ต้องรับผิดชอบเช่นกัน
คุณ Florian Mueller นักวิเคราะห์ผู้เคยให้ความเห็นว่ากูเกิลอาจร่วมมือกับ Apache และ Myriad แยกกันโจมตีออราเคิลก็เป็นได้ ได้เปิดเผยผลการวิเคราะห์ที่อาจกลายเป็นตัวอย่างหลักฐานให้ออราเคิลในการฟ้องศาลได้ โดยเขาระบุว่ามีโค้ดอย่างน้อย 43 ไฟล์ที่ Android ก็อปปี้จาก Java ตรงๆ โดย 37 ไฟล์นั้นซันได้ระบุว่าเป็น "PROPRIETARY/CONFIDENTIAL" และ "DO NOT DISTRIBUTE!" และนอกจากนั้นอีกอย่างน้อย 6 ไฟล์ใน Android 2.2 (Froyo) กับ Android 2.3 (Gingerbread) ที่ดูเหมือนจะถูก decompile จาก Java 2 SE และถูกแจกจ่ายต่อภายใต้ไลเซนส์ Apache โอเพ่นซอร์สโดยไม่ได้รับอนุญาต
เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท M.I.C Gadget ได้ผลิตตุ๊กตาสตีฟ จ็อบส์ ใส่เสื้อคอเต่าสีดำ ยืนเปิดตัว iPhone ในราคาตัวละ 79.90 ดอลลาร์ (ดูภาพได้จาก Mashable หรือ Walyou) ซึ่งสร้างความฮือฮาได้พอสมควร
แต่ล่าสุดตุ๊กตาตัวนี้โดนสั่งเก็บแล้ว เพราะทาง M.I.C ได้รับการติดต่อจากฝ่ายกฎหมายของแอปเปิล บอกว่าละเมิดลิขสิทธิ์ของชื่อบุคคล และอาจผิดกฎหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียที่ห้ามนำชื่อ รูปภาพ หรือผลิตภัณฑ์ของคนอื่นไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
ไม่รู้ว่ามีใครสั่งทันหรือเปล่า ถ้ามีคงกลายเป็นของสะสมหายากไปเรียบร้อยแล้ว
ต่อจาก ออราเคิลแฉ Android ก็อปปี้โค้ดจาก Java ถึง 1 ใน 3 ในวงการก็เกิดความสงสัยว่าโค้ดส่วนที่ออราเคิลนำมาอ้างในคำฟ้อง มาจากกูเกิลหรือมาจาก Apache Harmony กันแน่
วันนี้ Apache Software Foundation ออกมาแถลงผ่านบล็อกสั้นๆ ว่าไฟล์ PolicyNodeImpl.java ไม่ใช่คลาสของโครงการ Apache Harmony ครับ ต่อไปก็เป็นเรื่องของกูเกิลกับออราเคิลเท่านั้นแล้ว Apache ไม่เกี่ยว (เฉพาะไฟล์นี้)
ที่มา - Apache Blog, OSNews
มหากาพย์ Android vs Oracle Java มีความคืบหน้าออกมาอีกแล้วครับ
เรื่องเริ่มจาก ออราเคิลฟ้องกูเกิลฐานละเมิดสิทธิบัตร Java 7 ชิ้น ซึ่งนอกจาก "สิทธิบัตร" ออราเคิลยังฟ้องเรื่อง "ลิขสิทธิ์" ของโค้ด Java อีกด้วย ฝั่งกูเกิลก็ออกมาโต้ออราเคิลด้วยสำนวนมาตรฐานว่า "ไม่ได้ละเมิด"
ล่าสุดออราเคิลได้ปรับปรุงคำฟ้องของตัวเอง โดยเพิ่มรายละเอียดในส่วนของ "ลิขสิทธิ์" โค้ดของ Java (ไม่เกี่ยวกับ "สิทธิบัตร") กล่าวคือ 1 ใน 3 ของโค้ด Android API นำมาจากโค้ด Java API ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของออราเคิล
คณะผู้ศึกษาจาก Internet Commerce Security Laboratory ของมหาวิทยาลัย Ballarat ในออสเตรเลีย ได้สุ่มไฟล์ torrent จำนวน 1,000 ไฟล์จาก tracker จำนวน 23 แห่ง และสามารถแยกแยะได้ดังนี้
หมวดหมู่ยอดนิยมคือ ภาพยนตร์ เพลง และรายการทีวี และ 10 อันดับแรกที่มีคน seed มากที่สุดคือภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดไปซะเก้า และอัลบั้มของ Lady Gaga อีกหนึ่ง
ผลการศึกษานี้สอดคล้องกับการศึกษาของมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ซึ่งบอกว่า 99% ของไฟล์ BitTorrent นั้นผิดกฎหมาย
ซีรี่ส์เรื่อง Lost นั้นเป็นซีรี่ส์หนึ่งที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศ (รวมทั้งประเทศไทยด้วย) และเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นซีรี่ส์เรื่องนี้ก็ได้จบลงไปพร้อมๆ กับการทำสถิติใหม่ในการถูกดาวน์โหลดผ่านทาง Torrent อย่างผิดกฎหมายมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาด้วยครับ
มีการประมาณการว่ามีผู้ดาวน์โหลดสองตอนสุดท้าย (ฉายควบต่อกันในวันเดียวในสหรัฐฯ) ที่ถูกเผยแพร่อย่างผิดกฎหมายทาง Bittorrent ไปถึง 900,000 ครั้งภายในเวลาเพียง 20 ชั่วโมง ซึ่งไม่เคยมี Torrent ใดทำได้อย่างนี้มาก่อน โดยส่วนใหญ่นั้นผู้ดาวน์โหลดเป็นผู้ที่อยู่นอกสหรัฐฯ ซึ่งสองตอนสุดท้ายนี้ยังไม่ได้ออกฉาย (15% มาจากออสเตรเลียที่จะฉายในวันพุธนี้แต่คงรอกันไม่ไหว)
ในการแถลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาของประธานนินเทนโด Satoru Iwata ได้กล่าวถึงแผนงานและทัศนะของบริษัทหลายเรื่อง ที่น่าสนใจสำหรับชาวสยามเรา เห็นจะไม่พ้นหัวข้อเกมเถื่อนบนเครื่องของนินเทนโดซึ่งตัว Satoru Iwata กล่าวว่าในปีที่ผ่านมา
บริษัทมีปัญหาอย่างมากจากการละเมิดลิขสิทธิ์ โดยเฉพาะกับตลับ R4 ดังนั้นในตัว 3DS ที่กำลังจะออกทางบริษัทได้ทำการป้องกันอย่างแน่นหนา เพื่อไม่ให้เกมเถื่อนปรากฏบนเครื่อง 3DS ให้จงได้ วาทะแสบสันต์ที่กล่าวในเรื่องนี้คงเป็นประโยคที่ว่า "เรากังวลว่าอีกหน่อยแนวคิดที่ว่า จ่ายเงินเพื่อเล่นเกมเป็นเรื่องโง่ๆ จะแพร่ขยายมากขึ้น"
มาไทยสิลุงแล้วจะหายกังวล
ศาลของออสเตรเลียตัดสินว่า ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือ ISP ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบกับการที่ผู้ใช้บริการดาวน์โหลดไฟล์ละเมิดลิขสิทธิ์
ในคดีนี้ iiNet ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่เป็นอันดับสามของออสเตรเลีย มีเหตุต้องขึ้นศาล เมื่อกลุ่มผู้ผลิตภาพยนตร์ 34 ราย ซึ่งรวมถึงสาขาในออสเตรเลียของ Universal Pictures, Warner Bros. และ 20th Century Fox ฟ้องว่า iiNet มีความผิด เนื่องจากไม่ยับยั้งการดาวน์โหลดภาพยนตร์ผิดกฎหมาย
กลุ่มผู้ผลิตภาพยนตร์ต้องการให้ iiNet เตือนผู้ใช้ที่กระทำความผิด และระงับการให้บริการ นอกจากนี้ยังต้องการให้บล็อคบางเว็บไซต์ด้วย แต่ผู้พิพากษาตัดสินว่า iiNet ไม่ต้องรับผิดชอบต่อพฤติกรรมออนไลน์ของลูกค้า
ใครๆ ก็รู้แก่ใจว่า BitTorrent นั้นส่วนใหญ่ใช้แบ่งปันไฟล์ที่ผิดกฎหมาย วันนี้มีงานวิจัยออกมายืนยันครับ
โดยคุณ Sauhard Sahi จากมหาวิทยาลัย Princeton ได้ทำการศึกษาไฟล์จำนวน 1021 ไฟล์แบบสุ่มที่อยู่ใน BitTorrent ที่ค้นพบโดย Mainline DHT ผลปรากฎว่าในจำนวนนี้นั้น
Business Software Alliance (BSA) ในสหราชอาณาจักรได้เปิดตัวโครงการรณรงค์การใช้ซอฟท์แวร์ลิขสิทธิ์ใหม่ซึ่งส่งเสริมลูกจ้างให้ฟ้องนายจ้างของตนใช้ซอฟท์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ โดยมีเงินรางวัลจูงใจเป็นจำนวนเงินสูงถึง 20,000 ปอนด์
วิธีการดังกล่าวซึ่งเรียกว่า "Nail your Boss" มีมานานแล้ว แต่สิ่งใหม่ก็คือ BSA ใช้โอกาสยามเศรษฐกิจไม่ดีเพิ่มเงินรางวัลเป็นสองเท่า กล่าวคือให้เงินรางวัลร้อยละ 10 ของมูลค่าซอฟท์แวร์ที่ถูกละเมิดลิขสิทธิ์โดยมีเพดานเงินรางวัลสูงสุดที่ 20,000 ปอนด์ ทั้งนี้ ตามการสำรวจความคิดเห็น ลูกจ้างกว่าร้อยละ 40 พร้อมที่จะโดนไล่ออกแลกกับเงินรางวัลที่มีจำนวนเงินน่าสนใจ
หลังจากที่ผู้ใช้อุปกรณ์ในแพลตฟอร์ม iPhone ได้ดาวน์โหลดโปรแกรมกว่าสองพันล้านครั้ง จากแคตาล็อกซึ่งเสนอโปรแกรมจำนวนกว่า 85,000 โปรแกรมนั้น App Store หรือร้านขายโปรแกรมออนไลน์ของ Apple ได้แสดงให้โลกเห็นว่าการประสบความสำเร็จด้านการขายโปรแกรมออนไลน์ต้องทำอย่างไร อย่างไรก็ดี ถึงแม้ Apple จะสร้างป้อมปราการไว้แข็งแกร่งเพียงใด ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์บนแพลตฟอร์ม iPhone ก็ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก
นาง Angela Merkel นายกรัฐมนตรีเยอรมนี วิจารณ์โครงการห้องสมุดเสมือนของ Google ว่า ละเมิดลิขสิทธิ์และทำการปลอมแปลง
โครงการดังกล่าวโดย Google ได้สแกนหนังสือแล้วกว่า 10 ล้านเล่มในโลก โดยในบางประเทศ อาทิ ในฝรั่งเศส สำนักพิมพ์บางแห่ง เช่น Seuil ก็อยู่ระหว่างฟ้องศาลให้ตัดสินว่า Google ปลอมแปลงและละเมิดลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญา
เพิ่งจะเป็นเรื่องที่ถูกวิจารณ์ใหม่หมู่มากไปไม่นานมานี้เอง สำหรับการบังคับให้ผู้ขายคอมฯในจีน ต้องติดตั้งโปรแกรม "Green Dam-Youth Escort" ที่จะทำหน้าที่กรองเว็บไซต์ (รายละเอียดอ่านได้ที่ข่าวเก่า)
ในขณะนี้ ทางบริษัทโซลิดโอ๊คซอฟต์แวร์ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐแคลิฟอเนีย ได้วางแผนที่จะขอคำสั่งศาลเพื่อฟ้องโปรแกรมกรองเว็บไซต์ของจีน โดยอ้างว่ามีบางส่วนของโปรแกรม Cybersitter ซึ่งเป็นโปรแกรมของบริษัทอยู่ในโปรแกรมกรองเว็บไซต์ของจีน
แต่ทว่า ทางบริษัทจินหัว ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโปรแกรมกรองเว็บไซต์นี้ก็ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหานั้นทันที
หลังจากที่ประเทศสวีเดนได้ทำการผ่านกฎหมายว่าด้วยอำนาจศาล ศาลสามารถสั่งให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ให้ข้อมูลที่บริษัทได้เก็บไว้เกี่ยวกับลูกค้า (User Log) กับรัฐได้ เพื่อที่จะลดการละเมิดลิขสิทธิออนไลน์ภายในประเทศ หลังจากการตัดสินคดีของ The Pirate Bay และการอนุมัติผ่านกฎหมายนี้ในสวีเดน ทำให้ปริมาณการใช้แบนด์วิธในประเทศสวีเดนนั้นตกลงถึง 50%
กฎหมายนี้ส่งผลให้สอง ISP รายใหญ่ที่สุดในประเทศตัดสินใจที่จะปกป้องสิทธิของลูกค้าของตนเอง โดยการไม่เก็บ Log ลูกค้าอีกต่อไป หากศาลสั่งให้ส่งข้อมูลลูกค้า จะไม่สามารถให้ข้อมูลกับศาลได้ เพราะว่าไม่มีข้อมูลจะให้ แม้ว่าการตัดสินใจของสอง ISP นี้เห็นได้ชัดว่าขัดกับกฎหมายใหม่นี้ก็ตาม แต่ ณ เวลานี้ถือว่ามาตราการของ ISP เหล่านี้ยังไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด
ทนายความของจำเลยในคดี The Pirate Bay ที่สวีเดน ออกมาเรียกร้องให้มีการพิจารณาคดีใหม่ โดยกล่าวว่า ผู้พิพากษาในคดีนี้มีผลประโยชน์ทับซ้อน
ผู้พิพากษา Tomas Norström เป็นสมาชิกของสมาคมลิขสิทธิ์สวีเดน (Swedish Copyright Association) และอยู่ในบอร์ดของของ Swedish Association for the Protection of Industrial Property
อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษาคนดังกล่าวได้บอกกับสถานีวิทยุของสวีเดนว่า ความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่ได้เป็นผลประโยชน์ทับซ้อน
จากรายงานของ PC World แม้ว่าฮอลลิวูดอาจจะชนะคดีในครั้งนี้ แต่แน่นอน สงครามการละเมิดลิขสิทธิไม่ได้หยุดง่าย ๆ อย่างแน่นอน การแชร์ไฟล์ยังคงมีอยู่ต่อไป แม้ว่าจะไม่มี The Pirate Bay แล้วก็ตาม เพราะว่ายังมีเว็บอื่น ๆ อยู่อีกมากมาย (ยังไม่นับวิธีอื่น ๆ นอกจาก P2P)
แน่นอนว่าชุมชนที่สนับสนุน The Pirate Bay เปรียบเสมือนกับหญ้า หากพยายามที่จะตัดหญ้าซักต้น มันก็จะออกมาแข็งแรงกว่าเดิมในภายหลัง
และสำหรับใครที่ยังไม่รู้ ตอนนี้ตัวเว็บ The Pirate Bay ยังอยู่เหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเซิร์ฟเวอร์เกือบทั้งหมดได้ถูกย้ายไปอยู่ในประเทศเนเธอร์แลนด์แล้ว แม้ว่า The Pirate Bay จะแพ้คดีก็ตาม
ที่มา - Slashdot
ศาลสวีเดนตัดสินว่าจำเลยสี่คนในคดี The Pirate Bay มีความผิดจริง โดยผู้ก่อตั้งทั้งสี่คน Peter Sunde, Gottfrid Svartholm Warg, Fredrik Neij และ Carl Lundström ถูกลงโทษจำคุกเป็นเวลาหนึ่งปี และชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินกว่า 30 ล้านโครนาสวีเดน
หลังจากคำตัดสินนี้ออกมา รอยเตอร์ได้รายงานคำกล่าวของ Per Samuelson ทนายความของ Lundström ว่า “นี่เป็นเรื่องที่รุนแรงมากในมุมมองของผม แน่นอนว่าเราต้องยื่นอุทธรณ์” และ “นี่เป็นเพียงคำแรกเท่านั้น ไม่ใช่คำสุดท้าย คำสุดท้ายจะต้องเป็นของพวกเรา (This is the first word, not the last. The last word will be ours.)”
John Kennedy ประธานของ International Federation of the Phonographic Industry ได้กล่าวกับ BBC ว่า คำตัดสินได้ส่งสารที่ชัดเจน
คดี The Pirate Bay ที่เริ่มต้นเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาถึงช่วงที่ทั้งสองฝ่ายต้องแถลงปิดคดี โดยฝ่ายโจทก์ได้ขอให้ศาลตัดสินลงโทษผู้ดูแลเว็บด้วยการจำคุกหนึ่งปี โดยระบุว่าผู้ดูแลไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นต่อการละเมิดลิขสิทธิ์ขนานใหญ่เช่นนี้
ฝ่ายโจทก์ย้ำในการกล่าวสรุปว่า The Pirate Bay นั้นสร้างขึ้นมาเพื่อการละเมิดลิขสิทธิ์ โดยตัวเว็บเองมีการควบคุมดูแลหลายประการไม่ว่าจะเป็นการลบภาพอนาจารเด็ก, การลบ torrent ที่ไม่มีการใช้งานแล้ว และการให้ข้อมูลผิดอื่นๆ แต่กลับไม่ควบคุมการละเมิดลิขสิทธิ์
ฟีเจอร์อ่านหนังสือออกเสียงใน Kindle 2 นั้นโดนสมาคมนักเขียนออกมาเตือนว่าผิดลิขสิทธิ์ เพราะถือว่ามันเป็นหนังสือเสียง (audiobook) ซึ่งขายลิขสิทธิ์แยกกับหนังสือปกติ (ข่าวเก่า)
ทาง Amazon ออกมาตอบกลับแล้ว โดยยืนยันว่าไม่ละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด เพราะเป็นการอ่านออกเสียงสด ไม่ได้มีการบันทึกข้อมูลไว้ และไม่ถือเป็นการแสดง ไม่ได้ดัดแปลงเนื้อหาอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม Amazon ได้ยอมถอยหนึ่งก้าว โดยให้สำนักพิมพ์ (ที่ขาย e-Book ผ่าน Kindle) สามารถเลือกปิดฟีเจอร์นี้ในตัวหนังสือ e-Book ที่ขายได้