Samsung เพิ่งจะเพิ่ม iPhone 5 ลงในคำฟ้องคดีสิทธิบัตรต่อ Apple ไปหยกๆ ก็เตรียมยัดผลิตภัณฑ์ล่าสุดของ Apple อีก 3 รายการลงในคำฟ้องด้วย ทั้ง iPad (4th Gen), iPad mini และ iPod touch
ในขณะที่ยังไม่มีข่าวคืบหน้าใดๆ ในการอุทธรณ์คดีของ Samsung ภายหลังคำตัดสินของศาล California ให้ Samsung แพ้คดีฐานละเมิดสิทธิบัตรการออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้งาน และการออกแบบตัวเครื่อง กลับเห็นได้อย่างชัดเจนว่า Samsung พยายามตอบโต้ Apple ทุกช่องทางด้วยการฟ้องร้องเรื่องการละเมิดสิทธิบัตรด้านอื่นๆ และล่าสุด สินค้าใหม่ทุกรายการของ Apple ที่เปิดตัวในปี 2012 นี้ ก็อยู่ในข่ายเพ่งเล็งของ Samsung
Shin Jong-kyun หรือ JK Shin ผู้บริหารสูงสุดของซัมซุงฝ่ายมือถือออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้ง โดยให้ความเห็นเรื่องสงครามสิทธิบัตรระหว่างซัมซุงกับแอปเปิลว่า "ความจริงก็คือความจริง นั่นคือถ้าไม่มีสิทธิบัตรของซัมซุงแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่แอปเปิลจะผลิตโทรศัพท์มือถือขึ้นมาได้ เพราะอย่างที่พวกคุณทราบกันว่าซัมซุงมีรายการสิทธิบัตรด้านการสื่อสารไร้สายในมือที่แข็งแกร่งมาก"
หลังจากที่มีข่าวว่า HTC และแอปเปิลตกลงยุติสงครามสิทธิบัตร โดยตกลงเป็นสัญญาใช้สิทธิบัตรร่วมกันยาวถึง 10 ปี หลังจากนั้นก็มีการวิเคราะห์โดยสื่อว่า HTC จะจ่ายค่าสิทธิบัตรให้กับแอปเปิลมูลค่า 6-8 ดอลล่าร์ต่อการขายอุปกรณ์ที่รันแอนดรอยด์หนึ่งเครื่อง
เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา LG Displayได้ยื่นฟ้อง Samsung ฐานละเมิดสิทธิบัตรหน้าจอ OLED ทว่าล่าสุด Samsung ได้ฟ้องกลับให้สิทธิบัตรดังกล่าวเป็นโมฆะโดยอ้างเหตุผลว่าขาดความเป็นนวัตกรรม
Samsung ได้ยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาเพื่อต่อสู้ในคดีที่ถูกฟ้องว่าผลิตภัณฑ์ 5 รุ่น อันได้แก่สมาร์ทโฟนในตระกูล Galaxy S และกลุ่มผลิตภัณฑ์แท็บเล็ต Galaxy Tab ละเมิดสิทธิบัตรหน้าจอ OLED ของ LG Display จำนวน 7 รายการ
ทั้งนี้หน้าจอ OLED ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นทั้งในการผลิตสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต และทีวี เนื่องจากการเลือกใช้ OLED ทำให้สามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ให้บางลงเมื่อเทียบกับการใช้หน้าจอ LCD ที่ต้องอาศัย backlight ช่วยในการทำงาน
แอพแชร์วิดีโอ (เมื่อก่อนรูปภาพ) Color ที่เปิดตัวอย่างอลังการด้วยเงินทุนตั้งต้น 41 ล้านดอลลาร์ ได้ประกาศปิดให้บริการในวันที่ 31 ธันวาคมของปีนี้ ซึ่งก็เป็นไปตามรายงานข่าวก่อนหน้านี้ที่ว่าบริษัท Color Labs เจ้าของแอพนี้ได้ขายกิจการให้กับแอปเปิลไป เรื่องนี้ก็น่าจะจบลงแค่นี้ จนกระทั่งวันนี้ Adam Witherspoon อดีตพนักงานของบริษัทได้ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัทและซีอีโอผู้ก่อตั้ง Bill Nguyen โดยระบุว่าเขาถูกเลือกปฏิบัติ กีดกันอย่างไม่เป็นธรรม รวมถึงได้รับความสะเทือนทางจิตใจด้วย
ก่อนหน้านี้เรารู้กันว่าเอชทีซีบรรลุข้อตกลงบางประการกับแอปเปิล และฝ่ายซัมซุงก็ไม่คิดจะเจรจากับแอปเปิลเลยแม้แต่น้อย ความคืบหน้าล่าสุดก็คือ ฝ่ายซัมซุงได้ร้องขอให้ศาลสั่งให้แอปเปิลเปิดเผยสัญญาที่ทำไว้กับเอชทีซีแล้วครับ
หลังจากทั้งสองบริษัทแสดงท่าทีฮึ่มๆ กันมาสักระยะว่าจะเพิ่มมือถือรุ่นล่าสุดของคู่แข่งลงในคำฟ้อง วันนี้ศาลสหรัฐก็อนุมัติคำร้องของทั้งคู่แล้ว
ฝั่งซัมซุงจะได้เพิ่ม iPhone 5 เข้ามาในคำฟ้องเดิม ส่วนแอปเปิลเพิ่ม Galaxy Note, Galaxy S III และระบบปฏิบัติการ Jelly Bean
ผู้พิพากษาเตือนแอปเปิลว่าควรไตร่ตรองเรื่องการเพิ่มสินค้าล่าสุดของคู่แข่ง เพราะซัมซุงก็มีสิทธิ์เพิ่ม iPad mini และ iPad 4 เข้ามาในคำฟ้องได้อีก
คดีนี้เป็นคนละคดีกับที่คณะลูกขุนตัดสินให้แอปเปิลชนะ และมีกำหนดเริ่มไต่สวนในปี 2014
ที่มา - Bloomberg
บลูมเบิร์กรายงานว่าคำร้องที่แอปเปิลและโมโตโรล่า (ซึ่งมีกูเกิลเป็นเจ้าของ) ได้ยื่นต่อศาลครั้งล่าสุด มีเนื้อความระบุว่าทั้งสองบริษัทมีความสนใจที่จะหาทางออกทางอื่นกรณีฟ้องร้องกันเรื่องเกี่ยวกับสิทธิบัตร โดยทั้งสองบริษัทบอกว่าอย่างน้อย ทั้งสองต้องการที่จะตกลงกันเกี่ยวกับสิทธิบัตรที่ถือว่าเป็นสิทธิบัตรที่จำเป็นต่อการทำธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ต้องการตกลงเรื่องสิทธิบัตรทั้งหมดไปเลยทีเดียว
จากในรายงาน ทั้งสองบริษัทใช้วิธีเสนอข้อตกลงต่าง ๆ หากันเรื่อย ๆ เพื่อหาทางออกร่วมกัน และจะใช้บุคคลที่สามเป็นพยานในการตรวจสอบหลักฐานทั้งหมด และตัดสินว่าทั้งสองบริษัทจะมีภาระผูกพันกันทางกฎหมายแทนการให้ศาลเป็นผู้ตัดสินแทน
จากกรณี Surface ใช้เนื้อที่ 13GB สำหรับเก็บไฟล์ของระบบ ไมโครซอฟท์โดนฟ้องเข้าซะแล้วครับ
ผู้ฟ้องคือ Andrew Sokolowski มีอาชีพเป็นทนายความในลอสแอนเจลิส เขาบอกว่าซื้อ Surface ขนาด 32GB เมื่อสัปดาห์ก่อน แต่พบปัญหาเนื้อที่ใช้งานไม่เพียงพอหลังโหลดไฟล์เอกสารและไฟล์เพลงลงในเครื่อง จากนั้นเขาค้นพบว่าเนื้อที่ให้ใช้งานจริงๆ มีเพียง 16GB เท่านั้น
เขาจึงยื่นฟ้องไมโครซอฟท์ในข้อหาโฆษณาเกินจริง และมีการทำธุรกิจไม่เป็นธรรมต่อศาลเขตลอสแอนเจลิส และกำลังมองหาผู้ร่วมฟ้องคนอื่นๆ เข้ามายื่นฟ้องคดีแบบกลุ่ม (class action lawsuit) เป้าหมายคือต้องการค่าเสียหาย และให้ไมโครซอฟท์ปรับแก้โฆษณาของตัวเอง
และแล้ว โนเกียก็ทำตามที่เคยประกาศไว้ ว่าจะเข้ายื่นฟ้องเอชทีซีในหลายๆ ประเทศ โดยยกประเด็นที่ว่าเอชทีซีลอกเลียนงานออกแบบของโนเกียมาเป็นหัวข้อหลัก ข่าวนี้คือจุดเริ่มต้นของคู่สงครามคู่ใหม่ครับ
โดยโนเกียได้ยื่นเข้าฟ้องต่อศาลในประเทศเยอรมนี ว่าเอชทีซีได้ละเมิดสิทธิบัตรการออกแบบตัวเครื่องกว่า 32 รายการ ซึ่งประกอบไปด้วยระบบการลดพลังงานของตัวชาร์จแบตเตอร์รี่, การซิงค์ข้อมูลของตัวเครื่องด้วย Data range, การทำ Tethering และระบบวิธีการเปลี่ยนภาพต่างๆ เป็นต้น
โดยศาลได้นัดเปิดพิจารณาคดีในวันที่ 21 พฤศจิกายนนี้ และจะพยายามให้จบภายในวันที่ 14 ธันวาคมนี้ครับ
ข่าว เอชทีซีและแอปเปิลตกลงหยุดสงครามสิทธิบัตร ทำให้หลายฝ่ายจับตามองไปยังซัมซุงว่าจะมีท่าทีกับเรื่องนี้อย่างไร
Shin Jong-kyun หรือที่เรามักรู้จักเขาในชื่อ JK Shin ผู้บริหารสูงสุดของซัมซุงฝ่ายมือถือ ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวเกาหลีใต้ว่าถึงแม้ HTC อาจจ่ายเงิน 3 แสนล้านวอน (276 ล้านดอลลาร์) เพื่อยุติศึกกฎหมายกับแอปเปิลจริง แต่ซัมซุงไม่สนใจจะเจรจากับแอปเปิลแม้แต่น้อย
we don't intend to (negotiate) at all.
Shin ยังมั่นใจว่ายอดขายมือถือของซัมซุงในไตรมาสที่สี่จะยังแข็งแกร่ง เฉกเช่นเดียวกับไตรมาสที่สามที่ผ่านมา
มหากาพย์เรื่อง "แอปเปิลลงประกาศขอโทษซัมซุงบนเว็บไซต์" (ที่ไม่ควรจะยาวขนาดนี้) มีภาคต่ออีกแล้วครับ
ก่อนเข้าเรื่องก็ย้อนความภาคก่อนๆ อันแสนยาวนานสักหน่อยนะครับ
ต่อจากข่าว Apple แพ้คดีสิทธิบัตร FaceTime ถูกปรับมากกว่า 300 ล้านดอลลาร์ ทางบริษัท VirnetX ที่ฟ้องชนะคดีแอปเปิลก็ยังเดินหน้าต่อไป โดยยื่นฟ้องคดีใหม่ เพิ่มสินค้าใหม่ๆ ของแอปเปิลอย่าง iPhone 5, iPad mini, iPad 4 และแมคอินทอชที่เพิ่งเปิดตัว
VirnetX ให้เหตุผลว่าสินค้ารุ่นใหม่ๆ ของแอปเปิลก็ใช้เทคโนโลยี FaceTime ที่ละเมิดสิทธิบัตรของตัวเองเช่นกัน ก่อนหน้านี้ VirnetX เคยชนะคดีไมโครซอฟท์มาแล้วในปี 2010 ได้เงินจากไมโครซอฟท์ไปแล้ว 200 ล้านดอลลาร์ และนอกจากนี้ก็ฟ้อง Cisco, Avaya, Siemens ด้วยสิทธิบัตรชิ้นเดียวกัน คดีของสามบริษัทนี้จะเริ่มไต่สวนในเดือนมีนาคม 2013
IBM ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายหลายล้านดอลลาร์ โดยข้อกล่าวหาระบุว่าผลิตภัณฑ์ของ IBM ไม่สามารถใช้การได้จริง จนทำให้ลูกค้าต้องเสียเงินและเวลา รวมทั้งเกิดปัญหาต่อการดำเนินธุรกิจ
ผู้ฟ้องรายนี้คือบริษัทผู้ผลิตสารเคมีที่ชื่อว่า Avantor ซึ่งเมื่อปี 2010 ได้ตัดสินใจพัฒนาระบบวางแผนการจัดการทรัพยากรสำหรับองค์กร (Enterprise Resource Planning: ERP) มาใช้ซอฟต์แวร์ของ SAP
ในเวลานั้น IBM ได้นำเสนอ "Express Life Sciences Solution" ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ทำงานบนระบบ SAP ให้แก่ Avantor พร้อมระบุว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเหมาะสมและตรงต่อความต้องการของ Avantor มากที่สุด
คดีนี้เป็นคนละคดีกับที่คณะลูกขุนตัดสินให้ซัมซุงแพ้นะครับ แต่เป็นคดีที่แอปเปิลยื่นฟ้องซัมซุงในสหรัฐและอยู่ในศาลเดียวกันด้วย
ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ของคดีนี้คือ ซัมซุงเพิ่ม iPhone 5 ลงในคำฟ้องสิทธิบัตร เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา และล่าสุดแอปเปิลก็เตรียมยื่นเอกสารต่อศาล ขอเพิ่ม Galaxy Note 10.1 และ Galaxy Nexus รุ่นที่ใช้ Jelly Bean ลงในคำฟ้องด้วย นอกจากนี้แอปเปิลยังระบุว่าอยากเพิ่มอุปกรณ์อีก 17 รุ่นลงในคำฟ้อง โดยอุปกรณ์เหล่านี้ไม่ได้มาพร้อมปากกาสไตลัสแต่สามารถใช้สไตลัสได้ (ไม่บอกว่ามีอะไรบ้าง)
เส้นทางของคดีนี้ยังอีกยาวไกลมาก เพราะศาลนัดไต่สวนปี 2014 นู่นเลยครับ
Apple ถูกสั่งปรับเงิน 368.2 ล้านดอลลาร์ หลังแพ้คดีสิทธิบัตรกรณีการใช้ระบบสนทนา FaceTime
บริษัท VirnetX ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ต ได้ยื่นฟ้องต่อศาล Texas และกล่าวหาว่าระบบสนทนา FaceTime ของ Apple ซึ่งมีใช้งานทั้งบน iPhone, iPod Touch, iPad และเครื่องคอมพิวเตอร์ Mac ละเมิดสิทธิบัตรของตน 4 รายการ โดยเรียกร้องค่าเสียหาย 708 ล้านดอลลาร์
สิทธิบัตรของ VirnetX นั้นครอบคลุมการใช้งานโดเมนเนมเพื่อสร้างเครือข่ายส่วนตัวบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งเดิมที VirnetX ตั้งใจพัฒนาขึ้นเพื่อการใช้งานสำหรับองค์กรธุรกิจ โดยจะช่วยให้พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ และใช้เป็นช่องทางติดต่อสนทนากับลูกค้าอย่างปลอดภัย
คดีนี้เป็นคดีที่แอปเปิลยื่นฟ้องโมโตโรลาตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2010 (ก่อนกูเกิลซื้อโมโต) โดยยื่นฟ้องข้อหาโมโตโรลาละเมิดสิทธิบัตรต่อศาลเขตวิสคอนซิน (ข่าวก่อนหน้านี้ Apple จะยอมจ่ายค่าใช้งานสิทธิบัตรไร้สายของ Motorola แค่ 1 ดอลลาร์ต่อเครื่อง)
คดีอยู่ระหว่างการรอไต่สวนโดยทนายความจากฝั่งแอปเปิล แต่ยังไม่ทันไต่สวน ศาลก็พิพากษา "ยกฟ้องโดยห้ามให้ฟ้องใหม่" (dismiss with prejudice) ในศาลเขตอื่นๆ (แต่ยังสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลเขตนี้ได้)
ตัวแทนของกูเกิลออกมาแสดงความยินดีกับผลการตัดสินของศาล ส่วนตัวแทนของแอปเปิลปฏิเสธการให้ความเห็น
ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก หลังจากที่แอปเปิลลงประกาศขอโทษซัมซุงบนหน้าเว็บ และศาลออกมาบอกว่าแอปเปิลละเมิดคำสั่งศาล จนในที่สุดต้องลงประกาศขอโทษซัมซุงในหน้าเว็บใหม่
หลังจากที่ศาลได้ออกคำสั่งให้แอปเปิลไปแก้หน้าประกาศขอโทษซัมซุงใหม่ในเวลา 24 ชั่วโมง เมื่อวานนี้แอปเปิลเหมือนจะไม่ยอมเล่นด้วยตามคำสั่งของศาลจึงเอาหน้าเว็บที่ประกาศออกไปและเปลี่ยนไปซื้อโฆษณาในหนังสือพิมพ์แทน
ท้ายที่สุดแอปเปิลก็เป็นฝ่ายที่จนตรอกและอยู่ในสภาวะที่ไม่มีทางเลือก แอปเปิลจึงนำหน้าเพจดังกล่าวกลับมาประกาศไว้บนหน้าเว็บไซต์ Apple UK อีกครั้ง โดยครั้งนี้เปลี่ยนจากการวางลิงค์ของเก่า เป็นลงข้อความตัวอักษรขนาด 14.6 พิกเซลเอาไว้ด้านล่าง โดยมีใจความว่า
หลังจาก Motorola ยินยอมออกไลเซนส์สำหรับสิทธิบัตรเทคโนโลยีไร้สายให้ Apple ล่าสุดทาง Apple ออกมาบอกว่ายินดีจ่ายค่าไลเซนส์ให้แก่ Motorola ที่ราคา 1 ดอลลาร์ ต่อ iPhone 1 เครื่องเท่านั้น
มูลค่าไลเซนส์ที่ Apple ยินดีจ่ายนี้ น้อยกว่าตัวเลขที่ Motorola ต้องการอยู่ไม่น้อย โดยก่อนหน้านี้ Motorola ได้แสดงความต้องการส่วนแบ่ง 2.25% ของรายได้จากการขาย iPhone ทั้งหมด
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แอปเปิลได้ลงประกาศขอโทษซัมซุงบนหน้าเว็บตามคำสั่งศาลสหราชอาณาจักร
แต่หากใครได้เข้าไปชมประกาศดังกล่าวจะพบว่า นอกจากแอปเปิลจะลงประกาศคำสั่งศาลสหราชอาณาจักร ที่ว่าซัมซุงไม่ได้ลอกแอปเปิลแล้ว แอปเปิลยังแอบใส่ข้อความคำสั่งศาลประเทศอื่น เช่นที่อเมริกา และ เยอรมัน ที่ตัดสินว่าซัมซุงลอกแอปเปิล เพิ่มลงไปประกาศดังกล่าวด้วย
และด้วยเหตุนี้ Robin Jacob ผู้พิพากษาศาลสหราชอาณาจักรจึงได้ออกมาประกาศว่าการที่แอปเปิลนำเอาคำพิพากษาของศาลอื่นมาลงด้วยนั้นถือเป็นการละเมิดคำสั่งศาล (breach of order) และขอให้แอปเปิลแก้ไขประกาศดังกล่าวทันทีภายใน 48 ชั่วโมง
SurfCast บริษัทพัฒนาระบบปฏิบัติการที่ตั้งอยู่ที่เมืองพอร์ตแลนด์ในสหรัฐ ได้ยื่นฟ้องไมโครซอฟท์ที่ละเมิดสิทธิบัตรเกี่ยวกับ Live Tiles โดยระบุว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้ละเมิดสิทธิบัตรนั้นประกอบด้วยระบบปฏิบัติการ Windows 8/RT, Windows Phone และแท็บเล็ต Surface with Windows RT นอกจากนั้น SurfCast ยังระบุว่าแอพที่ถูกส่งขึ้น Windows Store จะละเมิดสิทธิบัตรดังกล่าวอีกด้วย
จากข่าว ศาลสหราชอาณาจักรยกฟ้องคำขออุทธรณ์ แอปเปิลต้องขอโทษซัมซุง ล่าสุดแอปเปิลปฏิบัติตามคำสั่งศาลแล้ว โดยหน้าเว็บของแอปเปิลสาขาสหราชอาณาจักร (apple.co.uk) ได้แสดงลิงก์ตัวเล็กๆ ด้านล่างสุดของเว็บไซต์ เขียนว่า Samsung/Apple UK judgement
เนื้อหาภายในเพจนี้ก็มีข้อความ 6 ย่อหน้า ยกข้อความตัดสินของศาลที่เคยบอกว่า แท็บเล็ตซัมซุงไม่ได้ลอกแอปเปิล เพราะมันไม่ดูดีขนาดนั้น มาแสดง พร้อมทั้งระบุว่าคดีในเยอรมนีที่ฟ้องด้วยสิทธิบัตรฉบับเดียวกัน ศาลเยอรมนีบอกว่าซัมซุงลอกแอปเปิล ... นะจ๊ะ
บริษัท Dynamic Advances (ซึ่งว่ากันว่าเป็นบริษัทที่หากินกับการไล่ฟ้องสิทธิบัตร) ยื่นฟ้องแอปเปิลว่า Siri ละเมิดสิทธิบัตรเกี่ยวกับการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (natural language processing) ของตัวเอง
อย่างไรก็ตามสิทธิบัตรหมายเลข 7,177,798 ที่อยู่ในคำฟ้องไม่ใช่สิทธิบัตรที่คิดค้นโดย Dynamic Advances แต่บริษัทซื้อมาจากสถาบัน Rensselaer Polytechnic Institute ในนิวยอร์กอีกทึหนึ่ง
ที่น่าสนใจคือสิทธิบัตรใบนี้ออกในปี 2007 ให้กับอาจารย์และนักศึกษาของสถาบันในขณะนั้น ซึ่งนักศึกษาเป็นคนไทยชื่อ Veera Boonjing ด้วยครับ
ที่มา - The Register
อีกหนึ่งคดีระหว่างซัมซุงกับแอปเปิลในเนเธอร์แลนด์ครับ คดีนี้เกี่ยวกับสิทธิบัตรมัลติทัช ซึ่งแอปเปิลกล่าวหาว่าซัมซุงละเมิดสิทธิบัตร pinch-to-zoom ของตัวเอง
ศาลเนเธอร์แลนด์ตัดสินเมื่อวานนี้ว่า ซัมซุงไม่ได้ละเมิดสิทธิบัตรของแอปเปิลในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นผลการตัดสินแบบเดียวกับศาลอังกฤษและเยอรมนีต่อสิทธิบัตรชิ้นเดียวกัน
ที่มา - รอยเตอร์ส