ข้อมูลจากเว็บไซต์ขายสินค้าไอทีออนไลน์มือสอง Gazelle.com ระบุว่าระหว่างวันที่ 25-27 สิงหาคมที่ผ่านมา มีปริมาณสมาร์ทโฟนจากซัมซุงเพิ่มขึ้น 50% จากปกติ ทำให้ราคาสินค้าลดลงจากเดิม 10% เพราะมีของเพิ่มมากขึ้น ทางเว็บไซต์คาดว่าแนวโน้มการขายมือถือซัมซุงจะดำเนินไปในระยะยาว โดยเฉพาะหลังจากซัมซุงแพ้คดีในชั้นของลูกขุน
อย่างไรก็ตาม Gazelle.com ไม่ได้ให้ข้อมูลว่ามีสมาร์ทโฟนของซัมซุงรุ่นใดบ้าง ซึ่งในอีกด้านหนึ่ง บริษัทวิเคราะห์การลงทุน Global Equities ไปสำรวจยอดขายมือถือหลังคดีชั้นลูกขุนตัดสินเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พบว่าลูกค้าก็แห่กันไปซื้อ Galaxy S III ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากคดี จนทำให้บางร้านถึงกับสินค้าหมดสต๊อก
ก่อนอื่นต้องแยกแยะให้ชัดว่า คดีนี้เป็นคนละอันกับคดีที่ลูกขุนตัดสินให้ซัมซุงแพ้ (แต่คดียังไม่สิ้นสุด) นะครับ คดีนี้คือคดีของ Galaxy Nexus ในสหรัฐ ซึ่งศาลเพิ่งสั่งคุ้มครองชั่วคราว ยังไม่ได้เริ่มไต่สวนจริงๆ (ดูข่าว ศาลสหรัฐสั่งแบน Galaxy Nexus ประกอบ)
เข้าเรื่องก็คือ แอปเปิลขอเพิ่มเติมสินค้าของซัมซุงอีก 4 รุ่นคือ Galaxy S III, Galaxy S III Verizon, Galaxy Note และ Galaxy Note 10.1 ในรายชื่อผลิตภัณฑ์ที่จะขอให้ศาลสั่งห้ามขายในสหรัฐ นอกเหนือไปจาก Galaxy Nexus และมือถืออื่นๆ ของซัมซุงรวม 17 รุ่น การแก้ไขครั้งนี้ทำให้แอปเปิลขอแบนสินค้าของซัมซุงรวม 21 รุ่น
นี่เป็นอีกหนึ่งคดีที่สองบริษัทนี้ฟ้องกันไปมาในหลายประเทศทั่วโลก เมื่อปีที่แล้ว แอปเปิลยื่นฟ้องต่อศาลเขตโตเกียวว่าซัมซุงละเมิดสิทธิบัตรด้านการซิงก์ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์พกพากับคอมพิวเตอร์ (Kies นั่นเอง) โดยแอปเปิลเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านเยน (ประมาณ 40 ล้านบาท)
วันนี้ศาลญี่ปุ่นตัดสินแล้วว่าซัมซุงไม่ได้ละเมิดสิทธิบัตรชิ้นนี้ เพราะ Kies ใช้วิธีการแยกแยะไฟล์ที่จะซิงก์แตกต่างไปจาก iTunes ของแอปเปิล และผู้พิพากษา Tamotsu Shoji ยังสั่งให้แอปเปิลเป็นฝ่ายจ่ายค่าดำเนินการของคดีนี้
ตัวแทนของซัมซุงออกมาแสดงความยินดีกับผลการตัดสิน (แน่นอนว่าหุ้นขึ้น) ส่วนแอปเปิลก็ปฏิเสธการแสดงความเห็นตามที่คาดกันได้
หนังสือพิมพ์ Korea Times ของเกาหลีใต้ อ้างข้อมูลจากผู้บริหารของซัมซุงถึงผลจากคดีความกับแอปเปิลดังนี้
ผู้พิพากษา Lucy Koh ประกาศเลื่อนนัดคดีแอปเปิล vs ซัมซุง จากเดิมช่วงต้นเดือนกันยายน เป็นวันที่ 6 ธันวาคมแทน
ตอนนี้กระบวนการของคดีคือแอปเปิลจะต้องยื่นคำขอสั่งแบนมือถือซัมซุงให้ศาลพิจารณา (ซึ่งแอปเปิลระบุว่ามี 8 รุ่น) โดยอำนาจอยู่ในดุลยพินิจของผู้พิพากษาว่าจะสั่งแบนหรือไม่ รวมถึงตัดสินว่าจะใช้ตัวเลขค่าเสียหาย 1 พันล้านดอลลาร์ตามที่คณะลูกขุนลงมติหรือไม่
ทั้งแอปเปิลกับซัมซุงจะยังต้องไปศาลในวันที่ 20 กันยายนอยู่ แต่นัดนี้จะพิจารณาเฉพาะการขอยกเลิกแบน Galaxy Tab 10.1 ของซัมซุง (ที่ตัดสินแล้วว่าไม่ละเมิดสิทธิบัตรการออกแบบของแอปเปิล)
หุ้นซัมซุงขึ้น 3% รับข่าวการเลื่อนนัดครั้งนี้
จากคดีแอปเปิล vs ซัมซุง ล่าสุดทางแอปเปิลยื่นเรื่องขอให้ศาลสั่งแบนมือถือซัมซุงในสหรัฐจำนวน 8 รุ่น (จากมือถือที่เกี่ยวข้องในคดีทั้งหมด 28 รุ่น) ดังนี้
ส่วนซัมซุงก็ออกแถลงการณ์สั้นๆ แค่ว่า "จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้สินค้าของตัวเองได้ขายในสหรัฐต่อไป"
ศาลจะตัดสินคดีในวันที่ 20 กันยายนนี้ ระหว่างนี้ Galaxy S3 ก็วางขายในสหรัฐไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้รับผลกระทบอะไร
กูเกิลได้ออกมาแสดงท่าที่อย่างเป็นทางการ หลังจากที่ได้ทราบคำตัดสินของลูกขุนในคดีแอปเปิลกับซัมซุงแล้วว่าเนื้อหาที่มีการฟ้องร้องกันในคดีระหว่างแอปเปิลกับซัมซุง ไม่เกี่ยวข้องกับ Android ซะทีเดียว แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการปรับแต่งซอฟต์แวร์ และการออกแบบฮาร์ดแวร์โดยซัมซุงเอง
กูเกิลยังบอกอีกว่าสิทธิบัตรที่ซัมซุงละเมิดนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหัวใจของระบบปฏิบัติการ Android เลย และสิทธิบัตรเหล่านี้ก็กำลังถูกตรวจสอบอีกครั้งโดย US Patent Office หรือกรรมการสิทธิบัตรของสหรัฐฯ
ก่อนหน้านี้ระหว่างการให้ปากคำในการพิจารณาคดีฯ หนึ่งในหลักฐานที่แอปเปิลได้นำมาใช้ในคดี คือข้อความที่กูเกิลส่งถึงซัมซุง ระบุว่าซัมซุงปรับแต่ง Android ออกมาใกล้เคียง iOS ของแอปเปิลมากเกินไป
Blognone ลงข่าวเกี่ยวกับคดีนี้ไปเยอะมากๆ แล้ว (ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมเขียนด้วย) รายละเอียดย้อนกลับไปอ่านกันเองในข่าวเก่านะครับ
บทความนี้จะเน้นไปที่ผลกระทบถัดจากนี้ต่อทั้งสองบริษัท และวงการไอทีในภาพรวมครับ เนื่องจากประเด็นมีเยอะ ผมจะใช้วิธีเขียนแบบ bullet เพื่อไม่ให้ประเด็นตีกัน
ศาลแคลิฟอร์เนียได้ออกคำตัดสินคดีแอปเปิล-ซัมซุงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยงานนี้ซัมซุงต้องจ่ายค่าเสียหายกับแอปเปิลเป็นมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ จากคดีที่ทั้ง 2 บริษัทได้ฟ้องร้องกล่าวหากันเรื่องการละเมิดสิทธิบัตรหลายรายการ ซึ่งคณะลูกขุนใช้เวลาประชุมหารือร่วมกันทั้งหมด 21 ชั่วโมง กับอีก 37 นาที หลังจากการแถลงปิดคดีเสร็จสิ้นลง ซึ่งถือว่าทำงานกันรวดเร็วมากเมื่อเทียบกับรายละเอียดของคดีที่มีอยู่ค่อนข้างเยอะ
ศาลประเทศเกาหลีใต้ได้ออกคำตัดสินในคดีฟ้องร้องกันระหว่างแอปเปิล และซัมซุงเรื่องสิทธิบัตร โดยออกเป็นสองกรณี กรณีแรกคือซัมซุงฟ้องแอปเปิลว่าละเมิดสิทธิบัตรเรื่องการเชื่อมต่อพีซีกับโทรศัพท์ และสิทธิบัตรเรื่องการใช้เครือข่าย 3G โดยศาลมีคำตัดสินให้แอปเปิลหยุดจำหน่ายสินค้าที่ละเมิดทันที ได้แก่ iPhone 3GS, iPhone 4, iPad รุ่นแรก และ iPad รุ่นที่ 2 รวมทั้งจ่ายค่าเสียหายให้ซัมซุง 40 ล้านวอนหรือคิดเป็นเงิน 35,000 ดอลลาร์
กระบวนการพิจารณาคดีแอปเปิล-ซัมซุงเดินทางมาถึงขั้นตอนเกือบสุดท้ายแล้ว หลังการเจรจารอบสุดท้ายล้มเหลว และศาลได้ออกแบบฟอร์มการพิจารณาคดีสำหรับคณะลูกขุน โดยในขั้นตอนสุดท้ายก่อนแถลงคำตัดสิน ศาลได้เปิดโอกาสให้คู่กรณีสองฝ่ายได้แถลงปิดคดี เพื่อสรุปข้อกล่าวหา ข้อโต้แย้ง พยาน ตลอดจนหลักฐานที่นำเสนอมาอีกครั้ง แล้วลูกขุนจะได้นำพิจารณาในขั้นตอนถัดไป
การเจรจาครั้งสุดท้ายตามคำสั่งศาลของคดีแอปเปิล-ซัมซุงล่มไปแล้ว ทั้งคู่ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาผ่านลูกขุน งานของผู้พิพากษาในตอนนี้ก็คือการออกแบบฟอร์มคำพิพากษาให้คณะลูกขุนไปกรอก แบบเดียวกับคดีกูเกิลและออราเคิลก่อนหน้านี้
โค้งสุดท้ายยังมีการโต้เถียงกันในเรื่องสำคัญ คือ ผู้พิพากษาจะเตือนลูกขุนว่าทั้งสองบริษัทลบอีเมลภายในแม้จะอยู่ในช่วงการเก็บหลักฐานไว้ก็ตาม โดยก่อนหน้านี้แอปเปิลได้ร้องให้ผู้พิพากษาเตือนคณะลูกขุนในเรื่องนี้ ซึ่งผู้พิพากษาก็ทำตาม แต่หลังจากนั้นก็เป็นคำเตือนในฝั่งแอปเปิลที่ถูกแจ้งพฤติกรรมแบบเดียวกันให้กับคณะลูกขุน
ระหว่างการให้ปากคำในคดีฟ้องร้องกันระหว่างแอปเปิลกับซัมซุง ได้จบลงด้วยการที่ผู้พิพากษา Lucy Koh ได้บอกเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่าให้ทั้งสองฝ่ายลองพยายามเจรจากันอีกครั้ง โดยการเจรจาระหว่างทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่สามารถตกลงอะไรได้เลย และสุดท้ายก็คงต้องรอคำตัดสินของศาล
นี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เพราะก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายได้พยายามเจรจากันมาแล้วหลายครั้ง และมีครั้งหนึ่งที่ทั้งซีอีโอของซัมซุง และทิม คุก ต้องมาร่วมเจรจาตามที่ศาลได้ร้องขอเป็นเวลาสองวันเต็ม
ที่มา - Ars Technica
จากรายงานก่อนหน้านี้ ที่กูเกิลได้ฟ้องแอปเปิลผ่านโมโตโรล่า และขอให้ ITC พิจารณาแบนสินค้าของแอปเปิลหลายชนิดด้วยกัน ล่าสุด TechCrunch ทราบแล้วว่ากูเกิลได้ฟ้องแอปเปิลฐานละเมิดสิทธิบัตรหลายใบของโมโตโรล่า ซึ่งเป็นบริษัทลูกของกูเกิลแล้ว
สิทธิบัตรต่าง ๆ ที่กูเกิลกล่าวหาว่าแอปเปิลละเมิด ได้แก่ การแจ้งเตือนตามตำแหน่งสถานที่ (location reminder), การแจ้งเตือนอีเมล (e-mail notification), การเล่นคลิปวีดีโอและ Siri โดยสินค้าของแอปเปิลเกือบทุกชนิดรวมถึงคอมพิวเตอร์ ละเมิดสิทธิบัตรที่กล่าวมานี้ ยกเว้น iPod classic และ iPod nano
ต่อจากข่าว ผู้พิพากษา Alsup สั่งกูเกิลและออราเคิลเปิดเผยชื่อสื่อที่ได้รับเงินเพื่อรายงานข่าวเกี่ยวกับคดีจาวา ทั้งสองบริษัทก็ปฏิบัติตามคำสั่งและเปิดเผยรายชื่อของสื่อที่รับเงินจากตัวเองมาเรียบร้อย
ฝั่งกูเกิลไม่มีอะไรน่าสนใจเพราะกูเกิลบอกว่า "ไม่ได้จ่ายเงินให้สื่อรายไหน" แต่ก็แนบรายชื่อนักวิจัยด้านคอมพิวเตอร์ที่เคยได้รางวัล Focused Research Awards จากกูเกิล และสมาคมการค้า-ล็อบบี้ยิสต์มาจำนวนหนึ่งเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
รายงานล่าสุดเผยว่ากูเกิลให้โมโตโรล่ายื่นฟ้องแอปเปิลแก่คณะกรรมการการค้าสากลหรือ ITC ให้แบนสินค้าของแอปเปิลหลายชนิด ตั้งแต่ iPhone, iPad, iPod touch และคอมพิวเตอร์ของแอปเปิลหลายรุ่น โดยการฟ้องร้องครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่โมโตโรล่าได้ออกมาฟ้องร้องแอปเปิลโดยตรง หลังจากที่กูเกิลได้ซื้อกิจการของโมโตโรล่าไปแล้ว
ในรายงานนี้ ยังไม่ระบุว่ากูเกิลและโมโตโรล่าต้องการฟ้องแอปเปิลจากสาเหตุใด แต่คาดว่าเนื้อหาของคำร้องครั้งนี้น่าจะหนีไม่พ้นเทคโนโลยีที่แอปเปิลได้เลือกใช้ในสินค้าหลายชนิด ที่ได้ละเมิดสิทธิบัตรที่โมโตโรล่าถือครองอยู่
ดูตัวเลขยอดขายของฝั่งแอปเปิลกันไปแล้ว คราวนี้มาดูตัวเลขยอดขายของผลิตภัณฑ์ซัมซุงในเอกสารที่ยื่นต่อศาลของสหรัฐกันบ้างครับ
ตัวเลขของซัมซุงนั้นเปิดเผยเฉพาะช่วงเวลาที่ถูกแอปเปิลฟ้องว่าลอกเท่านั้น ดังนั้นยอดขายสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy จะนับจากต้นไตรมาสที่สองของปี 2010 ถึงสิ้นไตรมาสที่สองของปี 2012 เท่านั้น (รวม 9 ไตรมาส) ในขณะที่แอปเปิลนับยอดขาย iPhone ตั้งแต่วางขายในปี 2007
ส่วนตัวเลขของแท็บเล็ต Galaxy Tab นับจากไตรมาสที่สี่ของปี 2010 ถึงสิ้นไตรมาสสองปี 2012
เนื่องจากมือถือ Galaxy ซอยรุ่นเยอะมาก เอาเฉพาะข้อมูลสำคัญๆ นะครับ
เราเห็น "ประมาณการณ์ยอดขาย" สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตจากบริษัทวิจัยตลาดกันมาเยอะ คราวนี้มาดูตัวเลขจริงๆ จากบริษัทผู้ผลิตกันบ้างครับ
เนื่องจากคดีระหว่างแอปเปิลและซัมซุงในสหรัฐ ทำให้ทั้งสองบริษัทจำเป็นต้องเปิดเผย "ตัวเลขที่แท้จริง" ในเอกสารที่ยื่นต่อศาล โดยนับเฉพาะยอดขายในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
ข่าวแรกเอาของแอปเปิลก่อนนะครับ ส่วนตัวเลขของซัมซุงดูในข่าวนี้
ยอดขายรวมทั้งหมดของผลิตภัณฑ์แอปเปิลแต่ละชนิด (นับตั้งแต่วันเปิดตัวจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 2012)
การพิจารณาคดีของแอปเปิล-ซัมซุงเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 แล้ว โดยแค่วันแรกของสัปดาห์นี้ แอปเปิลได้งัดหลักฐานชิ้นสำคัญเป็นอีเมลที่ส่งกันภายในซัมซุง โดยอีเมลฉบับนี้เขียนโดย JK Shin หัวหน้าฝ่ายอุปกรณ์สื่อสาร ส่งถึงทีมออกแบบโทรศัพท์ในช่วงต้นปี 2010 (ก่อน Galaxy S เปิดตัว) โดยมีใจความบางตอนที่ทนายของแอปเปิลได้ชี้ให้ลูกขุนเห็นว่า iPhone มีผลอย่างมากต่อการปรับเปลี่ยนวิธีการออกแบบโทรศัพท์ของซัมซุง จนมีหน้าตาคล้ายกับ iPhone ซึ่งก็มีเนื้อหาบางตอนดังนี้ครับ
เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค ได้ยื่นฟ้องบริษัท DTAC และ AIS ต่อศาลแพ่งรัชดา เรียกค่าเสียหายในกรณีที่ทั้งสองบริษัทไม่ปฏิบัติตามคำสั่งตามข้อ 11 แห่งประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 กันยายน 2549
ซึ่ง ข้อ 11 ของประกาศกสทช. ระบุไว้ว่า
นอกจากจะโชว์มือถือก่อนหลังมี iPhone เมื่อไม่กี่วันมานี้ ในวันนี้ก็ได้มีข้อมูลเผยออกสู่สาธารณะอีกชุดหนึ่งแล้วและเป็นข้อมูลจากทางแอปเปิล นั่นคือการออกแบบของแท็บเล็ตจากซัมซุงก่อนที่จะมี iPad และหลังจากที่มี iPad ซึ่งเป็นข้อมูลที่แอปเปิลจะใช้สู้กับข้ออ้างของซัมซุงที่บอกว่าไม่ได้เลียนแบบแท็บเล็ตของแอปเปิล
แอปเปิลอ้างว่าซัมซุงนั้นขโมยงานออกแบบของตนเองและต้องการค่าเสียหาย 2.5 พันล้านเหรียญพร้อมกับแบนการขายสินค้าของซัมซุงด้วย ส่วนทางซัมซุงก็ยังคงยืนยันว่าแอปเปิลต่างหากที่เป็นผู้ละเมิดสิทธิ คดีระหว่างแอปเปิลและซัมซุงนั้นมีกำหนดการยาวไปตลอดเดือนสิงหาคมนี้ครับ
คดีแอปเปิลกับซัมซุงยังมีรายละเอียดหลาย ๆ ที่น่าติดตาม โดยเมื่อวาน ผู้พิพากษาได้ออกมาแสดงความไม่พอใจที่ซัมซุงได้นำหลักฐานชิ้นหนึ่งที่ศาลไม่รับพิจารณาไปเผยต่อสื่อโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล และแอปเปิลได้ออกมาบอกว่าซัมซุงทำแบบนี้เพราะต้องการกดดันลูกขุนในคดีนี้
หลักฐานที่ศาลไม่รับพิจารณาที่ว่านี้คือเครื่องต้นแบบ iPhone รุ่นหนึ่งที่ซัมซุงอ้างว่าแอปเปิลได้รับแรงบันดาลใจมาจากโซนี่ และมือถือรุ่น F700 ของซัมซุงเอง ที่ซัมซุงอ้างว่าซัมซุงได้เริ่มออกแบบมือถือนี้มาตั้งแต่กลางปี 2006 ก่อนที่แอปเปิลจะเปิดตัว iPhone ในเดือนมกราคมปี 2007
คดีฟ้องร้องกันระหว่างแอปเปิลกับซัมซุงในชั้นศาลแคลิฟอร์เนีย ทำให้แต่ละฝ่ายต่างก็ยื่นเอกสารและข้อมูลที่ตนเองมีเกี่ยวกับฝ่ายตรงข้าม สิ่งที่ตามมาก็คือการเปิดเผยดีไซน์ iPhone ในรูปแบบต่าง ๆ ที่ยังไม่มีใครเคยเห็น รวมไปถึง iPhone ที่ทำจากกระจกโค้ง และ iPhone อลูมิเนียมทั้งเครื่องที่หน้าตาคล้ายกับ iPod mini
สำหรับดีไซน์ iPhone กระจกโค้ง Doug Satzger ผู้ที่ทำงานที่แอปเปิลมา 12 ปีแต่แล้วได้ย้ายไปอยู่กับ Palm ต้นปี 2009 และตอนนี้ทำงานกับอินเทลแล้ว ได้ให้การกับศาลว่าดีไซน์ดังกล่าวต้องถูกยกเลิกไป เนื่องจากคุณภาพของแก้วกระจกที่ต้องนำมาใช้ต้องดีมาก ทำให้ต้นทุนสูงเกินไป และนี่คือก่อนที่โลกเราจะได้เห็น Gorilla Glass
ตอนนี้ Kodak อยู่ในขั้นตอนเตรียมพร้อมจะเปิดประมูลสิทธิบัตรสิบชิ้นของบริษัท หลังจากที่ได้ยื่นเรื่องขอสถานะล้มละลายไปแล้ว แต่แอปเปิลก็ได้ตัดสินใจเข้ามาฟ้อง Kodak แล้วอ้างว่าสองในสิบสิทธิบัตรของ Kodak นี้เป็นของแอปเปิลตามเนื้อหาของตัวสิทธิบัตร ล่าสุดศาลได้ตัดสินแล้วว่าแอปเปิลจะไม่ได้สิทธิในการเป็นเจ้าของสิทธิบัตรดังกล่าว และ Kodak จะสามารถนำสิทธิบัตรทั้งหมดไปประมูลต่อไปได้
คำตัดสินของศาลในครั้งนี้มีข้อความชี้ว่าแอปเปิลจงใจที่จะรบกวนหรือขัดขวางการประมูลสิทธิบัตรของ Kodak แต่ศาลเองก็ปฏิเสธที่จะตัดสินว่า Kodak เป็นเจ้าของสิทธิบัตรที่เหลือแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ผู้อื่นสามารถเข้ามาฟ้องอ้างสิทธิในสิทธิบัตรที่เหลือของ Kodak ได้อีกเช่นกัน
สำนักข่าว Ars Technica ได้รับรายงานจากแหล่งข่าวรายหนึ่ง ซึ่งบอกว่า Microsoft จะใช้ชื่อใหม่แทนคำว่า "Metro" เนื่องจากบริษัท Metro AG (บริษัทร้านค้าปลีกชื่อดัง มีสาขาในประเทศไทยด้วย) สัญชาติเยอรมันได้ส่งคนเพื่อไปสั่งให้ Microsoft ยกเลิกการใช้ชื่อ "Metro" ในสินค้าของ Microsoft ทุกชนิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โฆษกของ Microsoft ก็ให้ความเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้ว่า "Metro" เป็นเพียงรหัสพัฒนา user interface เท่านั้น และในอีกไม่นานจะเปลี่ยนเครื่องหมายทางการค้าของบริษัท แทนคำว่า Metro ซึ่งมีปัญหาอยู่ตอนนี้