Netflix เปิดตัวเว็บไซต์ทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต Fast.com ชูจุดเด่นที่ใช้ง่ายไม่ซับซ้อน ไม่ต้องกดปุ่มใดๆ เข้าเว็บแล้วระบบจะทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตให้ทันที
ข้อจำกัดของ Fast.com คือมันจะแสดงเฉพาะความเร็วฝั่งดาวน์โหลดเท่านั้น (เหตุเพราะกลุ่มเป้าหมายคือลูกค้า Netflix ที่เป็นคอนซูเมอร์) ไม่มีสถิติอื่นๆ อย่างความเร็วฝั่งอัพโหลด หรือ ping/latency มาให้ด้วย (มันมีไว้สำหรับตอบคำถามว่า "เน็ตเร็วเท่าไร" แค่นั้น)
กระบวนการทดสอบจะลองดาวน์โหลดข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ของ Netflix เองที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลก สามารถใช้งานกับอุปกรณ์ใดก็ได้ที่มีเว็บเบราว์เซอร์
Netflix ได้เปิดตัวเว็บทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต fast.com โดยสามารถทดสอบได้ทั้งอินเทอร์เน็ตมือถือและ broadband โดย fast.com จะมีดีไซน์ที่เรียบง่าย และไม่มีโฆษณา
fast.com จะใช้เซิร์ฟเวอร์ของ Netflix ในการทดสอบ ฉะนั้นหากผู้ใช้พบปัญหาด้านการสตรีมมิ่งก็สามารถใช้ fast.com ทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตได้เลย โดย fast.com จะสามารถใช้งานได้ทุกประเทศ และใช้ฟรี ไม่ว่าจะเป็นสมาชิก Netflix หรือไม่ก็ตาม
ผู้ใช้ที่สนใจสามารถเข้าไปทดสอบได้ที่ fast.com
ที่มา - Netflix
Netflix รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสแรกปี 2016 ยังคงเติบโตโดยมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 1,958 ล้านดอลลาร์ ส่วนกำไรสุทธิลดลงเหลือ 27.7 ล้านดอลลาร์ ขณะที่จำนวนสมาชิกมีเพิ่มขึ้นถึง 6.74 ล้านราย โดยมาจากตลาดต่างประเทศถึง 4.51 ล้านราย ซึ่งก็เป็นผลจากการขยายตลาดในต่างประเทศ
ถึงแม้ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ผ่านมาจะออกมาดี แต่ Netflix ก็ประเมินว่าในไตรมาสที่ 2 จำนวนสมาชิกจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะในต่างประเทศที่จะเพิ่มไม่มากนัก เนื่องจากไตรมาสที่ 1 มีการเติบโตจากการเปิดตลาดใหม่เป็นฐานสูงอยู่แล้ว ส่วนประเทศจีนนั้นยังอยู่ในการเจรจาขอเปิดให้บริการ แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเมื่อใด
ที่มา: Netflix และ Tech Trader Daily
ขึ้นชื่อว่า Netflix เป็นบริการสตรีมมิ่งภาพยนตร์และซีรีย์เบอร์ต้นๆ ของสหรัฐฯ ที่มีรายงานออกมาว่าแคตตาล็อกรายชื่อภาพยนตร์และรายการทีวีของค่ายนี้ในปัจจุบันมีจำนวนลดลงกว่าจาก 8,103 เรื่องในเดือนมกราคมปี 2014 ตอนนี้เหลือเพียง 5,532 เรื่องในเดือนมีนาคม 2016 (โดยเฉพาะภาพยนตร์หายไปเยอะกว่ามาก) นับเป็นกว่า 31.7% ที่มีการลดจำนวนลงไปในระยะเวลาสองปีครึ่ง ซึ่งรายงานไม่ได้บอกว่ามีภาพยนตร์หรือรายการทีวีชุดใดบ้างถูกคัดออกตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ไม่มีการระบุเหตุผลถึงการหดตัวของจำนวนภาพยนตร์และรายการทีวีครั้งนี้ แต่คาดเดาว่าเป็นเพราะสูญเสียลิขสิทธิ์การเผยแพร่ให้กับคู่แข่งอย่าง Hulu และ Amazon Prime และในขณะเดียวกัน Netflix ก็พยายามสร้างภาพยนตร์ชุดไว้แพร่ภาพเฉพาะช่องทางของตัวเองด้วยเช่นกัน
ที่มา - Allflicks
ถ้าคุณติดทีวี ชอบดูละคร และมีมุมมองถ่ายรูปสวยเด็ดลงอินสตาแกรม คุณอาจเป็นคนที่ Netflix กำลังมองหาไปร่วมโครงการ GRAMMASTERS 2016
สิ่งที่คุณต้องทำคือติดตามบัญชี Instagram @Netflix แล้วถ่ายรูปที่สะท้อนความสนใจของตัวเอง 3 รูป โพสต์พร้อมใส่แฮชแท็ก #grammasters3 ทุกรูป ภายในวันที่ 6 มีนาคมนี้
ใครได้รับเลือกจะได้ไปตะลุยโลเกชั่นถ่ายทำซีรีส์และหนังดัง รวมทั้งรายการที่ Netflix อำนวยการสร้างเองด้วยในยุโรปและตะวันออกกลางนาน 2 สัปดาห์
งานนี้ Netflix จัดแจงการเดินทางให้ทุกอย่าง เที่ยวฟรีแถมได้เบี้ยเลี้ยงให้สัปดาห์ละ 2,000 เหรียญด้วย
ที่มา: Highsnobiety
หลังจากเริ่มกระบวนการเปลี่ยนผ่านศูนย์ข้อมูลจากของตัวเอง ไปใช้ระบบกลุ่มเมฆบน AWS มาตั้งแต่ปี 2008 วันนี้ Netflix ประกาศความสำเร็จในการย้ายใช้งานระบบทั้งหมดบนกลุ่มเมฆอย่างเป็นทางการแล้ว
ย้อนไปเมื่อ 7 ปีก่อน ตอนที่ Netflix เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น การตัดสินใจยกระบบขึ้นกลุ่มเมฆก็เพื่อตอบโจทย์การเติบโตของปริมาณผู้ใช้งาน ซึ่งปัจจุบันเพิ่มขึ้นจากปี 2008 ถึงเจ็ดเท่าตัว รวมถึงการขยายไปทั่วโลก 130 ประเทศที่เพิ่งประกาศไปช่วงต้นปีก็ทำได้ง่ายขึ้นจากการใช้ระบบกลุ่มเมฆ
ในปัจจุบัน Netflix ได้ทยอยปรับความละเอียดจาก 720p(SD) เป็น 1080p(HD)และได้เพิ่มซีรีย์ 4K เช่น House of Cards, Marco Polo, The Blacklist, และ Breaking Bad เป็นต้น แต่ก็ยังตกเป็นรองคู่แข่งอย่าง Amazon Prime ที่ปล่อยซีรีย์เรื่อง “Mozart in the Jungle” เมื่อหน้าร้อนปีที่แล้วในรูปแบบ HDR (High Dynamic Range)
ดังนั้น Netflix จึงประกาศที่จะเริ่มให้บริการภาพเป็น HDR กับรายการของตนในอนาคต ซึ่ง Netflix เองยังมองว่า HDR จะเป็นนวัตกรรมของวงการวีดิทัศน์ มากกว่า 4K เนื่องจากสามารถมองเห็นถึงความแตกต่างมากกว่าการพัฒนาจาก 1080p ไป 4K
หลังประกาศได้เพียงอาทิตย์เดียว Netflix ก็เริ่มบล็อคผู้ใช้ที่ใช้บริการ proxy หรือ VPN มุดไปยังประเทศอื่นๆ อย่างเช่นสหรัฐฯ เพื่อดูคอนเทนท์ที่จำกัดการฉายเฉพาะบางประเทศแล้ว
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นมีเพียงผู้ใช้บางรายในออสเตรเลียเท่านั้น ที่ Netflix แจ้งเตือนและขอให้ผู้ใช้ปิดบริการ proxy หรือ VPN ซึ่งคาดว่าอีกไม่นาน Netflix น่าจะเริ่มบังคับใช้มาตรการนี้อย่างแพร่หลายมากขึ้น
ที่มา - Engadget
Netflix รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ของปี 2015 รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 1,823.33 ล้านดอลลาร์ และมีกำไรสุทธิ 43.18 ล้านดอลลาร์
เมื่อไตรมาสที่ 3 จำนวนลูกค้าในตลาดอเมริกาเพิ่มขึ้นไม่มากจนดูเหมือนตลาดอิ่มตัว แต่ไตรมาสที่ผ่านมาเฉพาะอเมริกา Netflix มีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีก 1.56 ล้านราย เป็นการเติบโตอีกครั้ง ส่วนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นมา 4.35 ล้านราย รวมแล้วตอนนี้มีสมาชิก 74.76 ล้านรายทั่วโลก ซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่รวมสมาชิกใหม่จากการประกาศขยายตลาดอีก 130 ประเทศเมื่อต้นเดือน
ข่าวใหญ่ของวงการไอทีช่วงต้นปีนี้คือ Netflix ขยายประเทศที่ให้บริการอีก 130 ประเทศ แต่กลับมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนเนื้อหาในหลายๆ ประเทศ ที่น้อยกว่าสหรัฐอเมริกามาก
หนังสือพิมพ์ The New York Times มีบทสัมภาษณ์ซีอีโอ Reed Hastings ที่ยอมรับว่า Netflix ยังมีข้อจำกัดเรื่องกำแพงภาษา มีเนื้อหาในภาษาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษน้อย และบริษัทต้องทำงานอีกมากในการรองรับภาษาใหม่ๆ ให้มากขึ้น เขายังเล่าว่าหลังขยายบริการของ Netflix ก็มีผู้ใช้งานจากประเทศแปลกๆ อย่างโซมาเลีย และเกาะ Reunion Island ซึ่งเป็นเกาะของฝรั่งเศสในทวีปแอฟริกาด้วย
ให้หลังการเปิดให้บริการทั่วโลก 130 ประเทศของ Netflix ก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงที่กระทบกับผู้ชมออกมาจนได้ โดยในวันนี้ทาง Netflix ได้ประกาศว่าจะเพิ่มมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เข้าถึงคอนเทนต์ที่อยู่นอกประเทศของตัวเองได้แล้ว
ก่อนหน้าที่ Netflix จะขยายบริการไปทั่วโลก คนที่อยากเข้าไปใช้งานต้องเล่นท่ายากอย่างการใช้ proxy หรือ VPN ไปยังประเทศที่ Netflix รองรับเสียก่อนจึงจะสามารถใช้งานได้ ให้หลังการเปิดให้บริการทั่วโลก การใช้งานเครื่องมือดังกล่าวแม้ยังคงมีประโยชน์กับผู้ใช้เนื่องจากช่วยปลดล็อกคอนเทนต์บางอย่างที่ยังไม่ฉายทั่วโลก หรือคอนเทนต์เฉพาะประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ซึ่งดูเหมือนว่าทาง Netflix จะไม่ค่อยพอใจกับวิธีนี้นักจนออกมาเป็นมาตรการในครั้งนี้
จากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการใน 130 ประเทศรวมถึงประเทศไทยของ Netflix บริการดูหนังออนไลน์ชั้นนำจากสหรัฐฯ ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะได้หยิบบริการระดับโลกที่เพิ่งมาเป็นน้องใหม่ในบ้านเราว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้างเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาด
การรีวิวจะใช้หลักเกณฑ์เดียวกับรีวิวบริการดูหนังออนไลน์สี่เจ้าใหญ่ในไทย อันประกอบไปด้วยตัวเว็บไซต์หลัก, คุณภาพวิดีโอ, ประเภทของเนื้อหา, แอพบนอุปกรณ์พกพา และอุปกรณ์อื่นๆ ปิดท้ายด้วยราคาว่าคุ้มค่าแค่ไหน ว่าแล้วก็ไปเริ่มดูกันเลย
หลังจาก Netflix เปิดตัวให้บริการพร้อมกันในหลายประเทศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย และในภูมิภาค คำถามหนึ่งที่ตามมาอย่างพร้อมใจกันก็คือ ทำไมไม่มีซีรี่ส์เรื่อง House of Cards ซึ่งเป็นซีรี่ส์ที่ Netflix ผลิตเพื่อฉายในแพลตฟอร์มของตนเองโดยเฉพาะ (รวมถึงซีรี่ส์อื่นที่ผลิตเองด้วยเช่นกันอย่าง Orange Is The New Black หรือ Arrested Development)
Netflix ผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งรายใหญ่ของโลก ได้เปิดบริการเพิ่มอีก 130 ประเทศ ซึ่งมีประเทศไทยรวมอยู่ด้วย ทำให้ต่อไปนี้ผู้ใช้บริการในไทยไม่จำเป็นต้องไปยุ่งยากดูผ่าน VPN อีกต่อไป
ราคาเริ่มต้นที่ 280 บาท ความละเอียดแบบ SD ดูได้ 1 อุปกรณ์ ราคา 350 บาท ความละเอียดแบบ HD ดูได้จาก 2 อุปกรณ์พร้อมกัน และ 420 บาท ความละเอียดแบบ UHD และดูได้จาก 4 อุปกรณ์พร้อมกัน
สมัครช่วงนี้ฟรีค่าบริการ 30 วันแรก
ที่มา - Netflix
หลังจากให้รอมาเป็นเวลาเนิ่นนาน รวมถึงมีข่าวลือต่างๆ ว่าทาง Netflix จะมาเปิดให้บริการในประเทศไทย ในวันนี้ในงาน CES 2016 ทาง CEO ของ Netflix เองได้ประกาศเปิดตัวบริการ Netflix ถึง 130 ประเทศ รวมถึงทั้งประเทศไทยด้วยครับ
โดยประเทศดังกล่าวมีไทย สิงคโปร์ ซาอุดิอาระเบีย อินโดนีเซีย เวียดนาม อาเซอร์ไบจัน อินเดีย เป็นต้น
ส่วนที่น่าเสียใจในคราวนี้คือยังไม่มีประเทศจีนติดใน 130 ประเทศ
โดยราคาต่อเดือนมี 3 แบบคือ 280 บาท 350 บาท และ 420 บาท โดยสามารถใช้บริการได้ฟรีๆ ได้ในเดือนแรก
ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ดูได้ที่รูปประกอบท้ายข่าว
ความฝันของไมโครซอฟท์ตามแผนการ Universal Windows Platform (UWP) ดูประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ หลังแอพดังหลายตัวทยอยออกเวอร์ชัน UWP ที่รันได้ทั้งบน Windows 10 และ Windows 10 Mobile
พันธมิตรรายล่าสุดที่เข้าร่วมทำแอพ UWP คือ Netflix ผู้ให้บริการวิดีโอออนไลน์รายใหญ่ โดยแอพ Netflix แบบ Universal (Windows Store) ออกแบบให้รองรับหน้าจอหลายขนาดทั้งพีซี-แท็บเล็ต (สมาร์ทโฟนอยู่ในแผนและจะตามมาในเร็วๆ นี้) รองรับอินพุตหลายรูปแบบทั้งเมาส์และนิ้วสัมผัส และรองรับฟีเจอร์ของ Windows 10 ทั้ง Live Tiles และ Cortana
Netflix เผยข้อมูลกับผู้สื่อข่าวของนิตยสาร Variety ถึงแผนการเข้ารหัส (encode) วิดีโอใหม่ทั้งหมด เพื่อลดปริมาณแบนด์วิดท์ที่ต้องใช้งานลง ตอบสนองปัญหา Netflix กินปริมาณข้อมูลเยอะจน ISP บ่น และการขยายตลาดไปยังประเทศใหม่ๆ ที่ยังมีข้อจำกัดด้านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
เดิมที Netflix มีตัวเข้ารหัสวิดีโอเพียงตัวเดียวใช้งานกับวิดีโอทุกไฟล์ แบ่งความละเอียด 3 ระดับคือ 320x240 (235 kbps), 1280x720 (1750 kbps) และ 1920x1080 (5800 kbps) แต่ภายหลังบริษัทพบว่า วิดีโอแต่ละไฟล์ไม่ควรเข้ารหัสด้วยบิตเรตระดับเดียวกัน ตัวอย่างเช่น การ์ตูนแอนิเมชันที่มีความซับซ้อนของสีน้อย สามารถลดบิตเรตลงได้มากโดยยังรักษาคุณภาพของวิดีโอเอาไว้ได้
Netflix รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2015 มีรายได้ 1,738.3 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 23% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิลดลง 50% เหลือ 29.4 ล้านดอลลาร์ โดยธุรกิจหลักอย่างสตรีมมิ่งมีรายได้ 1,581 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นมา 6.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้
จำนวนผู้ใช้งาน Netflix เพิ่มขึ้นมาอีก 3.62 ล้านคน แบ่งเป็นในอเมริกา 0.88 ล้านคน และต่างประเทศ 2.74 ล้านคน ทำให้ตอนนี้มีผู้ใช้งานทั่วโลก 69.17 ล้านคน
แม้การเติบโตภาพรวมยังดูดี แต่การเติบโตในอเมริกานั้นเริ่มเห็นสัญญาณถดถอยติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สองแล้วครับ
ที่มา: The Verge
Netflix เคยบอกไว้ว่าจะเปิดให้บริการใน 200 ประเทศภายในปี 2016 รวมทั้งในเอเชียเช่น เกาหลีใต้, สิงคโปร์, ฮ่องกง และไต้หวัน ล่าสุดได้ประกาศขยายการให้บริการมาประเทศกัมพูชาแล้ว
หนังสือพิมพ์ The Phnom Penh Post อ้างคำพูดของโฆษก Netflix ว่าบริษัทจะขยายการให้บริการไปทั่วโลกภายในปี 2016 และนั่นรวมถึงประเทศกัมพูชาด้วย แต่ยังไม่มีการเปิดเผยค่าสมาชิกออกมา
นอกจากวงการเกมจะได้สัมผัสประสบการณ์ Virtual Reality ช่วงต้นปีหน้าพร้อมกับการมาของ Oculus Rift แล้ว ฝั่งคนชอบดูรายการทีวีอย่าง Netflix ก็กำลังจะได้ดูคอนเทนต์ในรูปแบบ VR เช่นกัน
พร้อมๆ กับการเปิดตัว Gear VR รุ่นจริงที่ซัมซุงเกริ่นไว้แล้วว่าทำได้มากกว่าแค่เล่นเกม ทาง Netflix ก็ออกมารับลูกต่อด้วยการเปิดตัวบริการใหม่เพื่อมาตอบโจทย์ว่าที่ลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มีแผนจะซื้อ Gear VR หรือ Oculus Rift มาใช้ ด้วยการเพิ่มแอพ Netflix สำหรับใช้งานกับอุปกรณ์ VR อย่างเป็นทางการ
คอนเทนต์ที่เคยรับชมได้ผ่าน Netflix ปกติ จะสามารถเข้าถึงได้จากแอพ Netflix เวอร์ชันสำหรับ VR เช่นกัน โดยฟีเจอร์หลักๆ ในช่วงแรกจะเป็นการทำให้สามารถชมคอนเทนต์ได้จากอุปกรณ์ VR ก่อนจะขยับไปทำรายการสั้นๆ ในอนาคต
ไม่กี่วันก่อน มีผู้ใช้จำนวนหนึ่งได้รับแบบสำรวจจาก Chadwick Martin Bailey ส่งในนาม EA โดยเนื้อหาในแบบสำรวจมีข้อความเกี่ยวกับบริการ ระยะเวลาปล่อยให้เล่นหลังจากเกมออกวางขาย และราคาสมาชิกรายเดือน
ภายในแบบสำรวจ ยังมีชื่อผู้จัดจำหน่ายเกมชื่อดัง อย่างเช่น Ubisoft, Activision, Bethesda, Take-Two และเกมจากผู้จัดจำหน่ายดังกล่าวปรากฏอยู่ด้วย ราวกับว่า EA พยายามจะทำบริการคล้ายๆ Netflix คือ จ่ายเงินรายเดือน และเลือกเล่นเกมจากคลังได้ตามใจชอบ ซึ่ง EA ก็มีบริการแบบเดียวกันนี้อยู่แล้ว คือ EA Access แต่มีเฉพาะบน Xbox One เท่านั้น (บ้านเราถ้าให้เทียบง่ายๆ น่าจะคล้าย Apple Music แต่เป็นในรูปแบบเกม)
Reed Hastings ซีอีโอ Netflix ผู้ให้บริการสตรีมรายการทีวีชื่อดังออกมาให้แสดงการเติบโตของ Netflix ตลอดช่วงให้บริการมา รวมถึงความเห็นเกี่ยวกับอนาคตของวงการทีวีว่าจะเดินไปในทิศทางใด
Hastings บอกว่าเมื่อ 13 ปีก่อน ราคาหุ้นของ Netflix มูลค่าเพียง 85 เซนต์ต่อหุ้นเท่านั้น แต่ปัจจุบันถีบตัวไปมากกว่า 100 เหรียญแล้ว แสดงให้เห็นถึงความนิยมของการรับชมทีวีที่เปลี่ยนไป จากการเข้ามาของอินเทอร์เน็ตได้เป็นอย่างดี จนถึงตอนนี้ Netflix เริ่มมีบทบาทในวงการทีวีมากขึ้น เริ่มถ่ายทำซีรีส์ของตัวเอง และได้รับผลตอบรับค่อนข้างดี จากการวิเคราะห์ข้อมูลภายใน สวนทางกับช่องทีวีแบบดั้งเดิมที่เริ่มมีปัญหารายได้หดตัวในช่วงที่ผ่านมา
บริการดูวิดีโอออนไลน์ Netflix ประกาศเตรียมเปิดให้บริการเพิ่มเติมในอีกหลายประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้, สิงคโปร์, ฮ่องกง และไต้หวัน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ในต้นปีหน้า
Netflix เคยประกาศก่อนหน้านี้ว่าบริษัทจะสร้างการเติบโตโดยการออกสู่ประเทศต่างๆ ซึ่งมีเป้าหมาย 200 ประเทศ ภายในปี 2016 ซึ่ง Netflix เองก็เพิ่งเริ่มทำตลาดในทวีปเอเชีย โดยเริ่มต้นที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ที่มา: Reuters
ช่วงหลังผู้ให้บริการวิดีโอออนไลน์บางราย เช่น Amazon Prime Instant Video เริ่มเปิดฟีเจอร์การดูหนังแบบออฟไลน์กันแล้ว คำถามจึงไปอยู่ที่เจ้าตลาดอย่าง Netflix ว่ามีแผนอย่างไรในเรื่องนี้
Neil Hunt ผู้บริหารของ Netflix ตอบคำถามนี้กับ Gizmodo UK ว่าฟีเจอร์นี้มีผู้ใช้เรียกร้องกันมาเยอะ แต่เขาไม่แน่ใจว่าถ้าทำจริงๆ แล้วจะมีคนใช้เยอะจริงหรือไม่ นอกจากนี้การเปิดให้ดูหนังออฟไลน์ได้จะเพิ่มความซับซ้อนในการใช้งานอีกมาก เช่น ต้องเช็คว่ามีพื้นที่เก็บข้อมูลพอหรือไม่ ต้องสั่งดาวน์โหลดก่อนดู หนังบางเรื่องห้ามดาวน์โหลด ความซับซ้อนเหล่านี้เป็นข้อเสียด้านกลับของการมีตัวเลือกมากเกินไป จนผู้ใช้ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรเลือกแบบไหน (paradox of choices)
ผู้ผลิตเบราว์เซอร์ 3 รายใหญ่คือ Mozilla, Google, Microsoft ร่วมกับบริษัทไอทีอีกหลายราย ได้แก่ Amazon, Intel, Cisco, Netflix ประกาศตั้งกลุ่ม Alliance for Open Media พัฒนา codec วิดีโอยุคถัดไปที่ไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้สิทธิบัตร
ปัญหานี้เกิดจาก codec รุ่นหน้า H.265 มีค่าใช้งานแพงกว่า H.264 ในปัจจุบันมาก จนเป็นเหตุให้ Cisco ออกมาประกาศโครงการ Thor เพื่อเป็นทางเลือกใหม่เมื่อไม่นานมานี้
ฝั่งของ Google มีโครงการ VP9/VP10 ของตัวเอง และ Mozilla ก็มีโครงการแบบเดียวกันชื่อ Daala สุดท้ายทุกฝ่ายจึงมารวมกลุ่มกันเป็น Alliance for Open Media เพื่อพัฒนา codec ร่วมกัน