ดัชนี Nasdaq-100 ที่คำนวณจากหุ้นบริษัทในตลาดแนสแดคสูงสุด 100 อันดับแรก ไม่รวมธุรกิจการเงิน ประกาศการเปลี่ยนแปลงหลักทรัพย์ในดัชนีประจำปี เพิ่ม 3 บริษัท ได้แก่ Palantir Technologies (PLTR) บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ข้อมูลขนาดใหญ่, MicroStrategy Incorporated (MSTR) บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์องค์กร ที่มีชื่อเสียงด้านการลงทุนบิตคอยน์ และ Axon Enterprise (AXON) บริษัทพัฒนาเทคโนโลยีและอาวุธสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐ
บริษัทที่ถูกนำออกจากดัชนีมี 3 บริษัทเท่ากันได้แก่ Illumina, Moderna และ Super Micro Computer
ผลจากการเข้าสู่ดัชนี Nasdaq-100 ทำให้กองทุน ETF ที่ลงทุนเลียนแบบดัชนี ซึ่งรวมทั้งกองทุนยอดนิยม QQQ ต้องซื้อหุ้นบริษัทเหล่านี้เพิ่มเข้ามาในพอร์ตโฟลิการลงทุนด้วย
หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ยังคงมาแรง โดยเมื่อคืนนี้มีสถิติใหม่หลายอย่าง ทั้งดัชนีหุ้น Nasdaq ที่สูงกว่า 20,000 จุดเป็นครั้งแรก จากราคาหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ปรับเพิ่มขึ้น
ราคาของหุ้น 7 นางฟ้า หรือ Magnificent Seven ที่นักลงทุนเรียกรวมบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 7 แห่ง ต่างปรับเพิ่มสูงและทำสถิติใหม่สูงสุดหลายบริษัท โดย Alphabet บริษัทแม่ของกูเกิล ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นเป็น 195.40 ดอลลาร์ ทำสถิติใหม่สูงสุด เช่นเดียวกับ Tesla ที่ 424.77 ดอลลาร์ รวมทั้ง Amazon, Apple และ Meta ราคาหุ้นเมื่อคืนนี้ต่างทำสถิติสูงสุดเช่นกัน ส่วน Microsoft และ NVIDIA แม้ราคาหุ้นปรับขึ้น แต่ยังต่ำกว่าราคาสูงสุดเล็กน้อย
นินเทนโดเข้าถือหุ้นทั้งหมด 100% ของสตูดิโอ Monolith Soft ผู้สร้างเกม Xenoblade Chronicles แล้ว
นินเทนโดซื้อหุ้นของ Monolith Soft ต่อจาก Namco ในปี 2007 โดยตอนนั้นถือหุ้น 80% แล้วค่อยๆ ขยับเพิ่มมาเป็น 96% ในปี 2011 ส่วนอีก 4% สุดท้ายนั้นเป็นของกลุ่มผู้ก่อตั้งสตูดิโอคือ Hirohide Sugiura, Tetsuya Takahashi, Yasuyuki Honne จนถึงเมื่อต้นปี 2024
ข้อมูลบนเว็บไซต์ Monolith Soft ระบุว่าตอนนี้นินเทนโดถือหุ้นทั้งหมด 100% แล้ว นับสถานะเป็นสตูดิโอ 1st party ได้อย่างสมบูรณ์ แม้ก่อนหน้านี้ก็อาจเป็น 1st party ในทางพฤตินัยอยู่แล้วก็ตาม
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า บริษัทผู้ผลิตชิปรายเล็กอย่าง Marvell มีราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นมากในปี 2024 จนตอนนี้ Marvell มีมูลค่าบริษัทตามราคาหุ้น (market cap) ที่ 98.22 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าอินเทล ที่มูลค่าปัจจุบัน 90.22 พันล้านดอลลาร์แล้ว ทั้งที่อินเทลมีรายได้เข้าบริษัทมากกว่า Marvell ถึง 10 เท่า
เหตุผลที่หุ้นของ Marvell เพิ่มขึ้นมากก็เป็นสิ่งที่หลายคนน่าจะคาดเดาได้ว่า "AI"
Reuters รายงานข่าวว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Ubisoft เช่น ตระกูล Guillemot ในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัท (มีหุ้นราว 15% แต่มีเสียงโหวต 20.5%) และ Tencent (มีหุ้นราว 10%) กำลังหารือกันเพื่อซื้อหุ้นส่วนที่เหลือจากผู้ถือหุ้นรายย่อย เพื่อนำ Ubisoft ออกจากตลาดหุ้น
การที่หุ้นของ Ubisoft ร่วงลงหนักในช่วงหลัง ทำให้เป็นไปได้ที่กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่หรือกลุ่มผู้บริหารจะซื้อหุ้นทั้งหมดคืน (management buyout) เพื่อให้บริหารบริษัทได้คล่องตัวขึ้น
Berkshire Hathaway บริษัทการลงทุนของ Warren Buffett รายงานข้อมูลการลงทุนของบริษัทประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2024 พบว่ามีการจำนวนหุ้นของแอปเปิลที่ถือครอง ลดลงต่อเนื่องอีกไตรมาส หลังจากรายงานในไตรมาสที่ 2 ขายออกมาเกือบครึ่งหนึ่ง
จำนวนหุ้นแอปเปิลที่ Berkshire ถืออยู่ล่าสุดมีประมาณ 300 ล้านหุ้น ลดลงจากตัวเลขไตรมาสก่อนหน้านี้ที่ 400 ล้านหุ้น และลดลงจากเมื่อต้นปีที่ 915 ล้านหุ้น โดยมูลค่าหุ้นแอปเปิลที่บริษัทมีตอนนี้ประมาณ 7 หมื่นล้านดอลลาร์
ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average) หรือที่หลายคนอาจคุ้นว่าดัชนีหุ้นดาวโจนส์ของสหรัฐอเมริกา ประกาศการเปลี่ยนแปลงบริษัทที่ใช้คำนวณมูลค่าดัชนี มีผลวันที่ 8 พฤศจิกายน 2024 โดย NVIDIA ถูกเพิ่มมาคำนวณ และถอด Intel ออกจากรายชื่อ
การเปลี่ยนแปลงนี้อาจมีผลต่อราคาหุ้นไม่มากนัก เนื่องจากดัชนีดาวโจนส์ไม่เป็นที่นิยมอ้างอิงสำหรับกองทุนต่าง ๆ เท่ากับ S&P 500 (ซึ่งทั้งสองบริษัทนี้ต่างอยู่ในดัชนี) เพราะเป็นดัชนีที่คำนวณด้วยค่าเฉลี่ยราคาต่อ 1 หุ้น ของบริษัท 30 แห่ง ที่สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐ ขณะที่ดัชนีหุ้นส่วนใหญ่คำนวณจากมูลค่ากิจการของบริษัท (รวมทั้ง SET Index ของไทย) แต่การสลับที่กันของ NVIDIA กับ Intel ครั้งนี้ก็ดูเป็นสัญลักษณ์บางอย่างทันที
WeRide บริษัทพัฒนารถยนต์ไร้คนขับของจีน นำบริษัทไอพีโอเข้าซื้อขายที่ตลาดหุ้นแนสแดคเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตัวย่อในการซื้อขายคือ WRD โดยราคาหุ้นปิดการซื้อขายที่ 16.55 ดอลลาร์ต่อหุ้น เพิ่มจากราคาเริ่มต้น 6.8% มูลค่ากิจการเพิ่มเป็น 4.5 พันล้านดอลลาร์
WeRide มีบริการรถยนต์ไร้คนขับผ่านแพลตฟอร์ม WeRide One โดยได้ระดับการขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ L2 ถึง L4 ขึ้นอยู่กับลักษณะยานพาหนะและสถานที่ใช้งาน
WeRide ให้บริการรถในหลายรูปแบบทั้งแท็กซี่ รถตู้โดยสาร และรถทำความสะอาดถนน ได้ใบอนุญาตทดสอบและให้บริการใน 30 เมือง 7 ประเทศ รวมทั้ง จีน สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสหรัฐอเมริกา
ต่อเนื่องจากข่าวว่าความสัมพันธ์ระหว่าง OpenAI และไมโครซอฟท์ ที่เป็นผู้ลงทุนรายสำคัญ เริ่มมีปัญหาขัดแย้งกันมากขึ้น The Wall Street Journal มีรายงานพิเศษเกี่ยวกับการเจรจาต่อรองระหว่างสองบริษัท เรื่องจำนวนหุ้นและผลตอบแทนใหม่เมื่อ OpenAI ปรับโครงสร้างองค์กรสำเร็จ
เรื่องนี้ต้องย้อนไปตั้งแต่แรกเมื่อก่อตั้ง OpenAI ซึ่งเป็นบริษัทไม่แสวงหากำไร (Non-Profit) ใช้เงินนักลงทุนเพื่อเป้าหมายการสร้าง AGI หรือปัญญาประดิษฐ์ที่ทำได้ทุกอย่าง แต่ต่อมาพบว่าต้องใช้เงินอีกมาก เลยตั้งบริษัทลูกสำหรับแสวงหากำไร (For-Profit) แบบจำกัดผลตอบแทนให้นักลงทุน แล้วรับเงินใหม่จากนักลงทุนรวมทั้งไมโครซอฟท์ผ่านบริษัทนี้ ทั้งหมดทำให้โครงสร้าง OpenAI เลยไม่เหมือนใคร
ASML ออกรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ประจำปี 2024 แม้ผลประกอบการยังคงแข็งแกร่ง ยอดขาย 7.5 พันล้านยูโร กำไรสุทธิถึง 2.1 พันล้านยูโร แต่ยอดจองรายไตรมาสกลับเหลือ 2.6 พันล้านยูโรเท่านั้นเทียบกับไตรมาสที่แล้วที่ยอดจองถึง 5.5 พันล้านยูโร ทำให้ต้องลดประมาณการรายได้ปี 2025 จากเดิมเคยอยู่ในช่วง 35-40 พันล้านยูโร ลงมาเหลือ 30-35 พันล้านยูโร
แม้ว่ายอดจองล่าสุดจะลดลงแต่บริษัทก็ยังคาดว่าไตรมาสสี่ของปีนี้จะยังมียอดขายเติบโตต่อไป อยู่ระหว่าง 8.8-9.2 พันล้านยูโร แต่กระแสเงินสดอาจจะลดลงบ้างเพราะเงินดาวน์เข้ามาน้อยลง
ราคาหุ้นของ Tesla ปรับลดลง 8.78% เมื่อคืนนี้ที่ 217.80 ดอลลาร์ต่อหุ้น หลังการเปิดตัวแท็กซี่ไร้คนขับ (Robotaxi) ในชื่อ Cybercab ขณะเดียวกันหุ้นบริการเรียกรถแท็กซี่อย่าง Uber และ Lyft ซึ่งราคาหุ้นปรับลดลงในช่วงที่ผ่านมาจากความกังวลของรถแท็กซี่ไร้คนขับ Tesla ก็ปรับเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 10% เมื่อคืนนี้
John Colantuoni นักวิเคราะห์จาก Jefferies ให้ความเห็นว่า Tesla ให้แต่เป้าหมายที่บริษัทต้องการไปถึง แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลประกอบที่สำคัญ ทั้งความก้าวหน้าของเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ L3 ตลอดจนแผนเข้าสู่ตลาดรถแท็กซี่ที่จะสามารถเจาะตลาดของคู่แข่งได้
Bloomberg รายงานข่าวว่า พี่น้องตระกูล Guillemot ผู้ก่อตั้งบริษัท ร่วมกับ Tencent กำลังสนใจซื้อหุ้นทั้งหมดของ Ubisoft เพื่อออกจากตลาดหุ้น
หุ้นของ Ubisoft ราคาลดต่ำลงมากในช่วงหลัง (ปีนี้ลดลงมา 40% แล้ว เทียบกับราคาตอนปีใหม่) ทำให้กลุ่ม Guillemot + Tencent ที่ถือหุ้นบางส่วนอยู่แล้ว (20.5% + 9.2%) มีต้นทุนต่ำลงมากหากต้องการซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่นๆ กลับคืนมา
Bloomberg รายงานว่าสถานะของแผนการซื้อหุ้นคืนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และผู้ถือหุ้นกลุ่มนี้อาจเลือกหนทางอื่นได้เช่นกัน แต่ที่แน่ๆ คือตลาดหุ้นตอบรับข่าวลือนี้ ทำให้หุ้น Ubisoft เด้งกลับมา 33%
เพียงไม่กี่วันจากที่ Mark Zuckerberg มีสินทรัพย์มูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 4 ของโลก หุ้นของบริษัท Meta ก็ราคาพุ่งอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขสินทรัพย์ของ Mark เพิ่มเป็น 2.06 แสนล้านดอลลาร์ และทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 2 ของโลก แซงหน้า Jeff Bezos และ Bernard Arnault เรียบร้อย
ตอนนี้สินทรัพย์ของ Mark มีมูลค่าเป็นรองแค่ Elon Musk คนเดียว (2.56 แสนล้านดอลลาร์) ส่วนคำถามเมื่อไร บุคคลที่รวยที่สุดในโลกสองคนจะต่อยกัน ก็คงสุดแล้วแต่ฟ้าจะทราบได้
ที่มา - Bloomberg
Jensen Huang ซีอีโอ Nvidia ขายหุ้นบริษัทมูลค่ากว่า 700 ล้านเหรียญ ตามข้อมูลในเอกสารที่ยื่นต่อ SEC หรือ กลต. ของสหรัฐฯ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยที่ผ่านมาก็มีการขายหุ้นออกไปต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้
ก่อนหน้านี้ เขาได้ระบุว่า จะขายหุ้น Nvidia 6 ล้านหุ้น ภายในไตรมาสแรกปี 2025 เป็นไปตามกฎ 10b5-1 ที่อนุญาตให้ซีอีโอสามารถขายหุ้นได้แต่ต้องแจ้งล่วงหน้าเพื่อป้องกันการเทรดด้วยข้อมูลวงใน
ไมโครซอฟท์ประกาศแผนเพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น โดยบอร์ดบริษัทอนุมัติแผนซื้อหุ้นคืนวงเงิน 60,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการแทนที่โครงการซื้อหุ้นคืนที่เคยประกาศในปี 2021 แผนซื้อหุ้นคืนนี้ไม่ได้ระบุวันครบกำหนด และไมโครซอฟท์อาจยกเลิกแผนเมื่อใดก็ได้
นอกจากนี้บอร์ดยังอนุมัติแผนเพิ่มเงินปันผล จากเดิมปันผลไตรมาสละ 0.75 ดอลลาร์ เป็น 0.83 ดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 10% โดยเริ่มมีผลในรอบการจ่ายเงินปันผลวันที่ 12 ธันวาคม 2024 ตามรายชื่อผู้ถือหุ้นปิดวันที่ 21 พฤศจิกายน 2024
ปัจจุบันไมโครซอฟท์มีเงินสดและรายการเทียบเท่าในงบแสดงฐานะทางการเงิน (งบดุล) 7.55 หมื่นล้านดอลลาร์ กระแสเงินสดอิสระในไตรมาสที่ผ่านมา 2.33 หมื่นล้านดอลลาร์
S&P Global ประกาศเพิ่มหุ้นบริษัทเทคโนโลยี 2 แห่ง ในดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐ ได้แก่ Palantir Technologies บริษัทซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ และ Dell Technologies โดยมีหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่ถูกปรับออกด้วยจากการเปลี่ยนแปลงนี้คือ Etsy โดยไปอยู่ดัชนี S&P SmallCap 600 แทน ทั้งหมดมีผลตั้งแต่ 23 กันยายน เป็นต้นไป
Dell Technologies เคยอยู่ในดัชนี S&P 500 แต่ถูกถอดออกในปี 2013 หลังจากบริษัทซื้อหุ้นคืนทั้งหมดและออกจากตลาดหุ้น แล้วกลับมาอีกครั้งในปี 2018 ส่วน Palantir เข้าตลาดหุ้นในปี 2020
Elon Musk ซื้อ X (Twitter) มาในราคา 44,000 ล้านเหรียญ และเมื่อปลายปีที่ผ่านมาบริษัทประเมินว่ามูลค่าลดลงเหลือ 19,000 ล้านเหรียญ (ลดลง 56%) เพราะแจกหุ้นให้พนักงานในราคาหุ้นละ 45 เหรียญ และล่าสุด Fidelity ประเมินว่ามูลค่าของ X ตอนนี้ร่วงลงมาแล้วกว่า 72%
ข้อมูลดังกล่าวมาจากการที่ Fidelity ประเมินหุ้น X ที่ถืออยู่ในกองทุนไว้ที่ 88 ล้านเหรียญ จากมูลค่าเดิม 316 ล้านเหรียญ (-72%)
หนึ่งในคนที่น่าอิจฉาที่สุดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาคงเป็น "พนักงาน NVIDIA" ที่ได้ค่าตอบแทนบางส่วนเป็นหุ้นของบริษัท เพราะมูลค่าหุ้นพุ่งทะยานฟ้าต่อเนื่อง (รอบ 2 ปีล่าสุดหุ้นขึ้นมาประมาณเกือบ 10 เท่า) แต่ชีวิตจริงของพนักงานอาจไม่ได้สวยหรูมากอย่างที่คิด
Bloomberg มีสัมภาษณ์พนักงานและอดีตพนักงานของ NVIDIA หลายคน ทุกคนพูดตรงกันว่างานหนัก พนักงานรายหนึ่งเล่าว่ามีความคาดหวังต่อพนักงานว่าต้องทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ ทำงานเลิกตี 1-2, พนักงานอีกรายบอกว่ามีประชุมทั้งวัน วันละ 7-10 ประชุม แต่พนักงานทุกคนก็บอกกับ Bloomberg ว่างานหนักก็ทนได้ เพราะค่าตอบแทนมันสูงจนปฏิเสธไม่ได้
ถึงแม้ NVIDIA รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ผ่านมา โดยมีอัตราการเติบโตที่สูงของรายได้ระดับเลขสามหลักติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ห้า ตัวเลขทั้งรายได้-กำไร ออกมามากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันก่อนหน้านี้ รวมทั้งประกาศแผนซื้อหุ้นคืนวงเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ราคาหุ้นกลับลดลงถึง 7% ในช่วงหลังการปิดตลาด
Stacy Rasgon นักวิเคราะห์จาก Bernstein ให้ความเห็นว่าผลสะท้อนจากราคาหุ้นน่าจะมาจากความคาดหวังว่า NVIDIA จะให้ตัวเลขคาดการณ์รายได้ในไตรมาสปัจจุบันที่ระดับ 3.3-3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่บริษัทให้ตัวเลขที่ประมาณ 3.25 หมื่นล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม Rasgon มองว่ายังไม่เห็นสัญญาณว่าความต้องการซื้อชิปจาก NVIDIA ลดลง และบริษัทก็ยังสามารถส่งมอบสินค้าได้ตามความต้องการของตลาด
มีรายงานจาก Bloomberg ว่า Walmart กลุ่มธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ มีแผนเสนอขายหุ้น JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ในจีน ที่บริษัทถืออยู่ โดยคาดว่าจะได้เงินจากการขายประมาณ 3.74 พันล้านดอลลาร์
โดย Walmart มีแผนเสนอขายหุ้น 144.5 ล้านหุ้น ของ JD.com ในช่วงราคา 24.85-25.85 ดอลลาร์ต่อหุ้น รายงานบอกว่าธนาคาร Morgan Stanley ได้เข้ามาเป็นตัวกลางในดีลนี้
อินเทลส่งรายงาน 13-F ให้กับ SEC เกี่ยวกับการถือครองหุ้นบริษัทอื่น โดยพบว่าอินเทลได้ขายหุ้น Arm ที่ถืออยู่ทั้งหมดออกไปจำนวน 1.8 ล้านหุ้น ในช่วงไตรมาสเดือนเมษายน-มิถุนายนที่ผ่านมา จึงไม่มีข้อมูลว่าอินเทลขายหุ้น Arm ออกไปวันไหน และได้เงินจากการขายเท่าใด
Arm ไอพีโอเข้าตลาดหุ้นเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ซึ่งมีหลายบริษัทเทคโนโลยีที่ร่วมซื้อหุ้นไอพีโอรวมทั้งอินเทล โดยมี SoftBank เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด
ในรายงาน 13-F ได้ระบุถึงหุ้นบริษัทอื่นที่อินเทลลงทุนอยู่ได้แก่ Astera Labs, Joby Aviation, MariaDB และ Senti Biosciences
เจนเซน หวง ซีอีโอของ NVIDIA ขายหุ้นของตัวเองออกไปกว่า 322.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม อ้างอิงจากข้อมูลของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ถือเป็นการขายหุ้นครั้งประวัติศาสตร์ของตัวเขา ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาเขาขายหุ้นออกไปรวม ๆ แล้วเกือบ 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
การขายหุ้นครั้งนี้อยู่ในแผนการซื้อขายล่วงหน้าตั้งแต่เดือนมีนาคม แต่ก็ถือว่าเกิดขึ้นค่อนข้างถูกเวลา เพราะการขายครั้งนี้คาบเกี่ยวกับการปรับฐานของหุ้นเทคในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอ และผลประกอบการที่ออกมาต่ำกว่าคาดของบริษัทเทค
Berkshire Hathaway บริษัทการลงทุนของมหาเศรษฐี Warren Buffett รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส และรายงานข้อมูลการลงทุนล่าสุด โดยมีไฮไลท์สำคัญคือจำนวนหุ้นแอปเปิลที่ Berkshire ถืออยู่ลดลงไปเกือบครึ่งหนึ่งของที่เคยรายงานล่าสุด
ในไตรมาสที่ผ่านมา Berkshire ขายหุ้นแอปเปิลออกมาประมาณครึ่งหนึ่งของที่ถือครองเป็นจำนวน 390 ล้านหุ้น ทำให้ตอนนี้บริษัทยังมีหุ้นแอปเปิลอยู่ประมาณ 400 ล้านหุ้น และยังเป็นการลงทุนมูลค่าสูงที่สุดในพอร์ตการลงทุนบริษัท
เมื่อคืนนี้ราคาหุ้นอินเทลปรับตัวลดลงถึง 26% ปิดการซื้อขายที่ 21.48 ดอลลาร์ต่อหุ้น มูลค่ากิจการตามราคาหุ้นหรือ Market Cap. น้อยกว่าแสนล้านดอลลาร์อยู่ที่ 91,848 ล้านดอลลาร์ เป็นอัตราลดลงมากที่สุดในรอบ 50 ปี นับตั้งแต่ปี 1974 หลังจากบริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาสก่อนหน้านี้ ซึ่งออกมาน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ รวมทั้งประกาศแผนปลดพนักงานมากกว่า 15% และจะงดจ่ายเงินปันผลตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปีนี้
ราคาหุ้นอินเทลเคยมีมูลค่าลดลงภายในวันเดียวมากกว่านี้ในเดือนกรกฎาคม 1974 โดยตอนนั้นหุ้นอินเทลลดลง 31% ซึ่งเกิดขึ้นสามปีหลังบริษัทไอพีโอเข้าตลาดหุ้น
ศาลเกาหลีใต้อนุมัติคำสั่งจับกุม Brian Kim หรือ Kim Beom-soo ผู้ก่อตั้งบริษัท Kakao ในข้อหาปั่นหุ้น
คดีนี้เกิดจาก Kakao เข้าไปซื้อหุ้นของบริษัทบันเทิง SM Entertainment เมื่อปี 2023 เพื่อกันท่าไม่ให้บริษัท Hybe (เอเยนซี่ของวง BTS) ที่เป็นคู่แข่งของ SM เข้ามาซื้อหุ้นแข่ง ปัจจุบัน Kakao เป็นเจ้าของหุ้น SM คิดเป็นสัดส่วน 40.3% ส่วน Hybe เป็นเจ้าของหุ้น SM สัดส่วน 12.6%
Kim Beom-soo ถูกกล่าวหาว่าจงใจปั่นราคาหุ้นของ SM ให้สูงขึ้นเพื่อกีดกัน Hybe ไม่ให้เข้ามาซื้อหุ้นแข่ง ซึ่งเขาปฏิเสธข้อหานี้มาโดยตลอด จนหน่วยงานสอบสวนได้ยื่นขออนุมัติหมายจับต่อศาล เพื่อป้องกันไม่ให้เขาทำลายหลักฐาน