ต่อเนื่องจากข่าว "Cloud เป็นเหตุ มือถือ T-Mobile Sidekick ทุกเครื่องใช้การไม่ได้" ที่ทำเอาผู้ใช้เศร้าและอาจจะประสาทกินไปตามๆ กัน ตอนนี้ได้มีข่าวดีออกมาบ้างแล้วครับ
ข่าวที่ว่าก็ตามหัวข้อเลย คือมีการยืนยันมาจากทาง Microsoft แล้วว่ามีการกู้คืนข้อมูลขึ้นมาได้ "ถ้า" ไม่ใช่ทั้งหมดก็จะเป็น "เกือบทั้งหมด" ซึ่งนับเป็นข่าวดีมากๆ สำหรับผู้ใช้ เพราะถ้าเป็นผมนี่ประสาทกินแน่ๆ
คิดเสียว่าเป็นบทเรียนทั้งกับผู้ให้บริการ และผู้ใช้ที่ไม่คิดสำรองข้อมูลด้วยตัวเองแล้วกันนะครับ
ทุกวันนี้เราเริ่มจะมีการย้ายข้อมูลขึ้นสู่ cloud server มากขึ้นเรื่อยๆ จากที่เห็นได้จากมือถือหลายตัวสามารถ sync กับเว็บต่างๆ ได้ แต่การจะอิงแต่ cloud server เกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดีครับ
เรื่องนี้มีอยู่ว่า T-Mobile Sidekick จากบริษัท Danger เป็นมือถือที่ใช้ cloud server เก็บข้อมูลทั้งหมดครับ (ปฏิทิน, ผู้ติดต่อ, งาน หรือแม้แต่การเข้าเว็บก็ต้องผ่าน server นี้ ลักษณะเดียวกับ Opera Mini) แต่เกิดเรื่องขึ้นเมื่อ server กลางนี้ล่มครับทำให้มือถือทุกเครื่องใช้การไม่ได้
เท่านี้ยังไม่พอครับ เมื่อวานนี้ T-Mobile ได้ออกประกาศมาว่าข้อมูลทั้งหมดในเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นปฏิทิน งาน ผู้ติดต่อ รูปถ่ายจะหายไป! โอกาสที่จะกู้ข้อมูลนี้ได้ มีเพียงริบหรี่เท่านั้น
เมื่อปีก่อน Larry Ellison ซีอีโอของของออราเคิลเคยกล่าวไว้ว่า อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์มีแรงขับดันทางแฟชั่นมากกว่าแฟชั่นสตรี และ Ellison จัดให้ cloud computing เป็นแฟชั่นชิ้นล่าสุด แต่คำว่า "แฟชั่น" ของ Ellison ในที่นี้กลับมีความหมายไปในเชิงลบว่า การที่ผู้คนพากันตามกระแส cloud computing นับว่าเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี และเมื่อเร็วๆนี้ Ellison ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ cloud computing อีกครั้งในงานของ Churchill Club งานหนึ่งว่า cloud computing ไม่ใช่การประมวลผลแห่งยุคอนาคต หากแต่เป็นการประมวลผลของยุคปัจจุบัน รวมถึงในอดีตที่ผ่านมาก็มีการประมวลผลแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
บางครั้งการแปลตรงๆอาจจะทำให้ไม่เห็นภาพได้เท่ากับอ่านเองครับ ผมขอยกคำพูดส่วนหนึ่งของ Ellison มาให้อ่าน ดังนี้
เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทีมงาน TIGR ซึ่งเป็นทีมงานพัฒนาประเทศของรัฐบาลกลางสหรัฐเคยนำเสนอว่า TIGR จะใช้ cloud computing ในการปฎิรูปภาครัฐ [ข่าวเก่า] จนเมื่อเร็วๆนี้ รัฐบาลกลางก็ได้ประกาศเปิดเว็บไซต์ Apps.Gov ที่รวบรวมบริการแอพพลิชันออนไลน์ไว้มากมาย โดยบริการเหล่านี้อาศัย cloud computing ในการให้บริการ ซึ่งหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐสามารถค้นหาและซื้อบริการแอพพลิเคชันออนไลน์ที่ต้องการผ่านทาง Apps.Gov ได้เลย
ความล่าช้าในการขนส่งข้อมูลขนาดใหญ่ถือว่าเป็นหนึ่งในอุปสรรคที่ทำให้ผู้ใช้ส่วนหนึ่งไม่อยากฝากระบบไอทีไว้กับ cloud computing ซึ่งสาเหตุหนึ่งของปัญหานี้เกิดจากกระบวนการที่ฟุ่มเฟือยของโปรโตคอล TCP และเพื่อจัดการกับปัญหานี้ บริษัท Aspera จึงได้พัฒนาโปรโตคอลชื่อ Fast and Secure Protocol หรือมีชื่อย่อว่า FASP เพื่อตัดขั้นตอนบางขั้นตอนของ TCP ออกไป ทั้งนี้ ข้อมูลจากแหล่งข่าวได้ยกตัวอย่างการขนส่งข้อมูลข้ามสหรัฐอเมริกาผ่านแบนด์วิธขนาด 100 Mbps ว่า ถ้าหากใช้โปรโตคอล TCP แล้ว ความเร็วที่ได้จริงอ
หลังจากอเมซอนรุกเข้าตลาด cloud computing ด้วย EC2, S3 และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในตระกูล Amazon Web Services จนเป็นผู้นำในตลาด ตอนนี้ได้เวลาขยายผลิตภัณฑ์ของตัวเอง จากที่ต้องทำงานบนเซิร์ฟเวอร์ของอเมซอนร่วมกับคนอื่นๆ ก็กลายเป็นต่อเชื่อมกับ EC2 ผ่าน VPN เพื่อเป็นโซลูชัน cloud computing ภายในองค์กรได้ บริการนี้มีชื่อว่า Virtual Private Cloud หรือ VPC
SingTel บริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์รายใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ เริ่มรุกตลาดการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆแล้ว นอกจากนี้ SingTel ยังได้ร่วมมือกับภาครัฐและบริษัทชั้นนำในการก่อตั้งศูนย์กลางการประมวลผลแบบกลุ่้มเมฆแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
หลังจากมีภาพหลุดของหน้าจอตัวป้องกันมัลแวร์จากไมโครซอฟท์ โค้ดเนม Morro (ดูข่าวเก่า) ก็มีผู้เขียนบทความลงใน ZDNet iGeneration blog โดยเขาได้คาดการณ์ว่า Morro นั้นอาจทำงานบนกลุ่มเมฆ
ผู้เขียนได้วิเคราะห์การทำงานของ Morro ว่าจะเป็นการสร้างท่อรับส่งข้อมูลเสมือน (virtual tunnel) ระหว่างช่องทางเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจากผู้ใช้งานไปยังดาต้าเซ็นเตอร์ของ Morro ซึ่งจะทำการสแกนข้อมูลที่ผ่านเข้าออกทั้งหมด (แต่ไอเดียดังกล่าวก็ยังมีปัญหาในเรื่องของการทำงานจริง อาทิ จะต้องอัพโหลดไฟล์ภาพขึ้นไปที่เครื่องแม่ข่ายหรือไม่ เป็นต้น)
Amazon นั้นกำลังเปิดให้นักศึกษาจากทั่วโลก รวมไปถึงนักวิจัยจากภาคการศึกษาและผู้สอน สามารถที่จะสมัครเพื่อขอการสนับสนุนในการใช้ Amazon Web Service ซึ่งเป็นบริการ Cloud Computing ฟรี โดยบริการดังกล่าวนั้นจะให้การบริการคิดเป็นถึงกว่า 100 ดอลลาร์ต่อคนเลยทีเดียวครับ
บริการที่เปิดให้ใช้นั้นมีทั้ง Amazon Elastic Compute Cloud, Simple Storage Service, SimpleDB, Amazon Simple Queue, CloutFront และ Elastic MapReduce ซึ่งเป็นบริการด้าน Cloud Computing ที่ Amazon ให้บริการในเชิงธุรกิจอยู่ในปัจจุบัน โดยผู้ที่สนใจนั้นสามารถที่จะดูรายละเอียดและส่งใบสมัครออนไลน์ได้ที่ เว็บ AWS in Education ครับ
ในยุคที่ไวรัสและซอฟต์แวร์อันไม่พึงประสงค์กำลังถล่มโลกผ่านทางอินเทอร์เน็ตอยู่นี้ บริษัท Panda Security ก็ได้อาศัยการเชื่อมต่อออนไลน์ผ่านกลุ่มเมฆช่วยในการค้นพบไวรัสใหม่ๆ ครับ
หนึ่งในเทคโนโลยีที่กล่าวถึงมากในปีนี้คือ การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ หรือ Cloud Computing หากแต่เทคโนโลยีนี้อาจทำให้หลายๆ คนสงสัยและถกเถียงถึงบทบาทที่แท้จริงของมัน Joe Weinman จาก AT&T Business Solutions ได้สรุปคุณสมบัติ 6 ข้อที่เขาคิดว่าทุกคนน่าจะเห็นร่วมกันจากมุมมองธุรกิจ เพื่อให้เป็นประเด็นทางความคิดกันต่อไป ดังนี้
1. ประโยชน์ของกลุ่มเมฆคือการลดค่าใช้จ่าย
เป็นที่รู้กันว่าเซิร์ฟเวอร์ของกูเกิลนั้นมากมายมหาศาลถึงหลักแสนเครื่อง แม้จะไม่มีใครรู้จำนวนที่แท้จริงเพราะเป็นความลับทางการค้า แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนสงสัยกันคือกูเกิลทำอย่างไรให้ประสิทธิภาพของศูนย์ข้อมูลของตนนั้นสูงที่สุด และเมื่อวานนี้กูเกิลก็ได้แสดงเซิร์ฟเวอร์ของตนพร้อมรายละเอียดคร่าวๆ ในการออกแบบให้กับนักข่าวได้ชมกันเป็นครั้งแรก
เซิร์ฟเวอร์ของกูเกิลนั้นใช้ชิปจากทั้งอินเทลและเอเอ็มดีในเมนบอร์ดที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก ความกว้างประมาณ Micro-ATX แต่ลึกกว่า โดยใส่ซีพียูได้สองตัวและแรมอีก 8 แถวกับฮาร์ดิสก์อีกสองลูก ตัวเมนบอร์ดนั้นผลิตโดยบริษัท Gigabyte นั่นเอง
ประเด็นที่น่าสนใจที่มีการเปิดเผยออกมาคือ
บริษัท การ์ตเนอร์ วิเคราะห์ว่า ตลาดของการให้บริการแบบกลุ่มเมฆในปีนี้จะมีรายได้สูงกว่า 56.3 พันล้านเหรียญหรือเพิ่มขึ้น 21.3 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับรายได้ปีก่อนที่ทำไปได้ 46.4 พันล้านเหรียญ และการ์ตเนอร์ทำนายว่าปี ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556) รายได้ของตลาดนี้จะเติบโตถึง 150.1 พันล้านเหรียญ ทั้งนี้ การ์ตเนอร์วิเคราะห์ว่าการเติบโตของตลาดดังกล่าว เป็นผลมาจากการที่องค์กรต่างๆต้องควบคุมงบประมาณของการติดตั้งและดำเนินงานระบบสารสนเทศในองค์กร และหันไปใช้บริการระบบสารสนเทศแบบออนไลน์บนกลุ่มเมฆแทน
TechCrunch รายงานข้อมูลจากวงในว่ากูเกิลเตรียมสนับสนุนจาวาเป็นภาษาที่สองของ App Engine ในเร็วๆ นี้ หลังจากสนับสนุน Python เพียงภาษาเดียวมานาน
ข่าวนี้น่าจะประกาศอย่างเป็นทางการในงาน Google I/O ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้ ภาษาที่มีคนเรียกร้องให้ App Engine สนับสนุนมากที่สุดคือจาวาและ Ruby ส่วนภาษาที่ใช้เป็นการภายในของกูเกิลได้แก่ Python, จาวา และ C++
ที่มา - TechCrunch
เมื่อปลายปีก่อน ซัน ไมโครซิสเต็มส์ ได้ปิดปรับปรุงบริการ NETWORK.COM เพื่อพัฒนาบริการกลุ่มเมฆของตน [ข่่าวเก่า] ล่าสุดนี้ ซันได้ออกมาเผยโฉมหน้าของบริการกลุ่มเมฆของตนในชื่อว่า Sun Cloud แล้ว โดย Sun Cloud จะให้บริการสองบริการหลัก คือ บริการประมวลผลชื่อ Sun Cloud Compute Service และบริการจัดเก็บข้อมูลชื่อ Sun Cloud Storage Service ทั้งนี้ คาดว่าซันจะพร้อมให้บริการ Sun Cloud ในช่วงกลางปีนี้
ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา เอเอ็มดีได้เปิดเผยถึงแผนการครั้งใหญ่ภายในงาน CES 2009 ว่า เอเอ็มดีกำลังสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์พลังเพตาฟลอปภายใต้ชื่อ Fusion Render Cloud (FRC) เพื่อให้บริการพลังประมวลผลสำหรับงานกราฟิกผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และคาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปีนี้ โดยมีบริษัท Dell, HP, Electronic Arts, Lucasfilm และอีกหลายบริษัทให้การสนับสนุน ทั้งนี้ เอเอ็มดีกล่าวว่า FRC จะทำให้เกิดการปฏิวัติสื่อความละเอียดสูง (หรือ HD)
ต้องยอมรับเลยว่าไมโครซอฟท์ลงทุนอย่างมากกับการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ ดูได้จากงบหลายพันล้านเหรียญที่เตรียมไว้กับแผนการสร้างศูนย์ข้อมูลสำหรับการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆอีกหลายแห่ง [รายงานเก่า] แต่ทว่าวิกฤตเศรษฐกิจโลกกลับกลายเป็นขวากหนามอันยิ่งใหญ่ของไมโครซอฟท์ในแผนการครั้งนี้ โดยในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ไมโครซอฟท์เตรียมตัดค่าใช้จ่ายหลายอย่าง รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ข้อมูลด้วย
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา (วันเดียวกันกับที่เกิด Gfail) Google App Engine Blog ได้ประกาศการให้บริการ App Engine ในรูปแบบ "จ่ายตามการใช้งานจริง" (Pay-per-use) และนโยบายการให้โควต้าฟรีแบบใหม่ โดยผู้ใช้ยังคงสามารถใช้โควต้าฟรีแบบเดิมได้จนถึงวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 และหลังจากนั้น กูเกิลจะเริ่มใช้นโยบายโควต้าฟรีแบบใหม่ [อ้างอิง] ดังนี้
แม้ว่าทำเนียบขาวถูกจัดว่าเป็นสถานที่โลว์เทค (ข่าวเก่า) แต่ทีมงานบริหารประเทศของโอบามากำลังปฏิรูปการดำเนินงานและการใช้เทคโนโลยีของหน่วยงานภาครัฐ โดยกลุ่มทีมงานที่อยู่เบื้องหลังการปฏิรูปครั้งนี้มีชื่อว่า Technology, Innovation, and Government Reform หรือ TIGR
Adobe ได้ส่งซอฟต์แวร์ชุดใหญ่ชื่อ LiveCycle ES เพื่อทำงานบนกลุ่มเมฆของอเมซอนหรือ Amazon EC2 โดย Adobe ตั้งชื่อของ LiveCycle เวอร์ชันนี้ว่า LiveCycle ES Developer Express
LiveCycle ES เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการพัฒนาและรันแอพพลิเคชันเพื่อจัดการเอกสารและกระบวนการของระบบงาน ซึ่งผู้พัฒนาสามารถใช้แพลตฟอร์มดังกล่าวในการออกแบบและพัฒนาีระบบงานที่มีการรับส่งเอกสารไปจัดการหรือประมวลผลที่หน่วยต่างๆตามลำดับของระบบงานได้ (หน่วยในที่นี้หมายถึง โปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือผู้ใช้ก็ได้)
ในปีนี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์หรือซีพี วางแผนทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาบริการเทคโนโลยีสารสนเทศแบบพร้อมใช้งานด้วยการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ อย่างเช่นการให้บริการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลออนไลน์และซอฟต์แวร์ออนไลน์ประเภท SaaS ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็ว
ในปีที่ผ่านมา บริษัทหลายแห่งต้องเจอวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นไปได้สูงมากที่ในปีนี้ ผู้บริหารบริษัทต้องควบคุมงบประมาณสำหรับไอทีให้รอบคอบยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าวิกฤตเศรษฐกิจจะสาหัสเพียงใดก็ตาม บริษัทน้อยใหญ่ก็ยังต้องพึ่งพาไอที ดังนั้น ทาง eWEEK จึงได้แนะนำ 5 เทคโนโลยีที่บริิษัทขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ SME ควรจับตามอง อันได้แก่
1.Cloud Computing
บริษัท Alibaba ผู้นำธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของจีน ประกาศแผนก่อตั้งศูนย์ประมวลผลแบบกลุ่มเมฆเชิงพาณิชย์ โดยจะเริ่มสร้างศูนย์ดังกล่าวในต้นปีนี้ที่เมืองหนานจิง และคาดว่าจะใช้งบสำหรับช่วงเริ่มต้นประมาณ 100 ล้านหยวน ทั้งนี้ศูนย์ดังกล่าวจะให้บริการลูกค้าในประเทศด้วยบริการอย่าง บริการการประมวลผลออนไลน์ (อาจจะเป็นแบบ Amazon EC2) และการจัดเก็บข้อมูลออนไลน์ นอกจากนี้ Alibaba ยังมีแผนก่อตั้งศูนย์การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆเพิ่มที่เมืองอื่นๆในภายภาคหน้า
เมื่อวันที่ 10 - 11 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ที่ผ่านมา ผมได้เข้าคอร์สอบรมของไมโครซอฟท์ ในหัวข้อ Live Services Jumpstart 2009 จัดขึ้นที่โรงแรมแมริออท ประเทศสิงคโปร์ ทั้งนี้ Live Services Jumpstart จัดว่าเป็นการอบรมครั้งยิ่งใหญ่ของไมโครซอฟท์ เพราะจัดอบรมในเวลาไล่เลี่ยกันในหลายประเทศ และใช้งบในการจัดอบรมไม่น้อยทีเดียว (ดูจากจำนวนผู้เข้าอบรม และสถานที่อบรมกับอาหารชั้นดี) ขอแนะนำสั้นๆก่อนว่า การอบรมนี้เป็นภาคปฏิบัติที่แนะนำให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์เข้าใจวิธีการพัฒนาแอพพลิเคชันเพื่อทำงานอยู่บน "กลุ่มเมฆของไมโครซอฟท์"
ไมโครซอฟท์เปิดเผยว่า ไมโครซอฟท์ได้พัฒนาต้นแบบของศูนย์ข้อมูลยุคที่สี่ ที่เรียกสั้นๆว่า Gen 4 หรือชื่อเต็มคือ Generation 4 Modular Data Centers โดยไมโครซอฟท์วางแผนไว้ว่าจะใช้ต้นแบบดังกล่าวในการสร้างศูนย์ข้อมูลที่จะเกิดขึ้นอีกหลายแห่งใน 5 ปีข้างหน้านี้ เพื่อรองรับการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ และบริการแบบกลุ่มเมฆ* อาทิเช่น Hotmail, Live Search, Virtual Earth และ Azure เป็นต้น มากไปกว่านั้น ไมโครซอฟท์กล่าวว่าจะเปิดเผยข้อมูลของต้นแบบนี้ต่อสาธารณะ และบริษัทอื่นๆสามารถนำต้นแบบดังกล่าวไปพัฒนาศูนย์ข้อมูลยุคที่สี่ของตนเองได้อีกด้วย