แหล่งข่าวของ Bloomberg ระบุว่า Amazon ชะลอการจ้างพนักงานในธุรกิจโฆษณาที่ยังทำกำไรให้กับบริษัท โดยยังคงรับสมัครงานในตำแหน่งที่ว่างอยู่ แต่จะไม่เพิ่มตำแหน่งใหม่อีกแล้ว ทำให้ Amazon เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่เตรียมแผนรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจที่ทำให้การเติบโตของยอดขายชะลอตัวลง
การที่ Amazon จะไม่เปิดตำแหน่งใหม่ในธุรกิจโฆษณาแสดงให้เห็นว่าบริษัทต้องการลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มกำไรให้มากขึ้นหลังจากที่ซีเอฟโอของบริษัทได้เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า Amazon จะยังลงทุนในฝั่งโฆษณาและฝั่ง AWS ด้วยและจะเปลี่ยนไปลดต้นทุนด้านอื่นแทน
ทางฝั่ง Amazon ยังเผยว่าบริษัทมีธุรกิจหลายอย่างที่กำลังเติบโต จึงต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การรับสมัครพนักงานในแต่ละฝั่งธุรกิจเพื่อลดต้นทุน
เว็บไซต์ข่าว Protocol รายงานว่า Amazon ประสบความสำเร็จในการเจรจากับกูเกิล โดยกูเกิล "ยอม" ให้ผู้ผลิตสมาร์ททีวี Google TV สามารถไปผลิตทีวีที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Fire TV OS ของ Amazon ได้
แม้จะมีข่าวการพัฒนา Project Kuiper โครงการดาวเทียมให้บริการอินเทอร์เน็ตของ Amazon มานานกว่า 3 ปีแล้ว แต่เรียกได้ว่าโครงการนี้ยังตามหลังคู่แข่งอย่าง Starlink อยู่หลายช่วงตัว อย่างไรก็ตาม Amazon ก็ยังไม่ได้ลดละความพยายามกับโครงการนี้และล่าสุดได้วางแผนเพิ่มกำลังการผลิตดาวเทียมโดยตั้งเป้าจะผลิตให้ได้เร็วถึง 4 ดวงต่อวัน
เป้าหมายของ Project Kuiper นั้นจะต้องยิงดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรให้ได้ 3,236 ดวง จึงจะสามารถให้บริการอินเทอร์เน็ตได้ตามแผน และเพื่อการนั้น Amazon จึงขยายกำลังการผลิตดาวเทียมโดยจะเพิ่มฐานการผลิตใหม่ในอาคารขนาด 16,000 ตารางเมตร ในเมือง Kirkland รัฐ Washington
Amazon รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 3 ปี 2022 ยอดขายรวมเพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนเป็น 127,101 ล้านดอลลาร์ แบ่งเป็นยอดขายในอเมริกา 78,843 ล้านดอลลาร์ (+20%) ต่างประเทศ 27,720 ล้านดอลลาร์ (-5%) และ AWS 20,538 ล้านดอลลาร์ (+27%) มีกำไรสุทธิ 2,872 ล้านดอลลาร์
Andy Jassy ซีอีโอ Amazon กล่าวในแถลงผลประกอบการว่าแม้อยู่ในปัญหาเศรษฐกิจที่ผันผวน แต่การตอบรับของลูกค้ายังเป็นไปในทิศทางที่ดี ขณะเดียวกัน Amazon ก็มีการปรับต้นทุนในการดำเนินงานให้เหมาะสมขึ้น โดยยังคงเดินหน้าการลงทุนในระยะยาวเพื่อรองรับอนาคตต่อไป
Amazon ปิดเว็บไซต์ Fabric.com เว็บขายผ้าและสินค้าการฝีมือ มีผลตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม เป็นต้นไป โดยลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้าเป็นประจำจากที่นี่ แนะนำให้ไปซื้อที่หมวดสินค้าผ้าและการฝีมือใน Amazon แทน
Fabric.com ก่อตั้งเว็บในปี 1999 โดย Phoenix Textiles Group ที่เป็นบริษัทค้าส่งผ้า เพื่อเป็นช่องทางในการขายสินค้าโดยตรงกับลูกค้า Amazon มาซื้อกิจการไปในปี 2008 และยังให้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป จนมาถึงการประกาศปิดส่วนเว็บไซต์นี้ในที่สุด
ฝั่งผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนหนึ่งให้ความเห็นว่า Fabric.com เป็นเว็บที่มีราคาสินค้าที่ถูกกว่า และมีการออกแบบเพื่อการค้นหาผ้าและลวดลายที่สะดวกมากกว่าใน Amazon
Amazon ถูกยื่นฟ้องแบบกลุ่มในสหราชอาณาจักร ถูกกล่าวหาว่าบริษัทใช้อัลกอริธึม “ลับ” กับฟีเจอร์ Buy Box ที่เป็นการเลือกร้านค้าตั้งต้นให้ผู้ซื้อสามารถกดซื้อได้ทันทีแม้จะมีผู้ขายหลายราย โดยการฟ้องระบุว่าบริษัทใช้อัลกอริธึมเพื่อทำให้สินค้าของ Amazon เองขึ้นมาก่อนสินค้าจากผู้ขายภายนอก (third party) แม้จะขายในราคาถูกกว่าทั้งบนเว็บไซต์และในแอปพลิเคชัน
การยื่นฟ้องดำเนินการโดยสำนักงานกฎหมาย Hausfeld โดยมี Julie Hunter ซึ่งเป็นที่ปรึกษาขององค์กรสิทธิผู้บริโภคเป็นตัวแทนของคนหลายล้านคน ส่วนมูลค่าความเสียหายของคดีนี้ นักเศรษฐศาสตร์ประมาณการไว้ว่าอาจสูงถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
Amazon เตรียมเงินราว 1 พันล้านยูโร เพื่อใช้จ่ายลงทุนกับรถบรรทุกและรถตู้ส่งของในยุโรปให้เปลี่ยนมาใช้ระบบไฟฟ้าทั้งหมดภายใน 5 ปีข้างหน้า
ในปัจจุบันนี้ Amazon ระบุว่ามีรถตู้ส่งของในยุโรปที่เป็นระบบไฟฟ้าอยู่แล้วส่วนหนึ่ง ซึ่ง Amazon อ้างว่ารถกลุ่มดังกล่าวได้ถูกใช้งานส่งสินค้าไปแล้ว 100 ล้านชิ้นเมื่อปีก่อน ซึ่งแม้ไม่ได้มีการระบุตัวเลขที่แน่นอนแต่ก็พึงประเมินได้ว่าจำนวนรถตู้ไฟฟ้าของ Amazon ที่ถูกใช้งานอยู่มีจำนวนหลายร้อยคันหรือหลักพันคัน และส่วนหนึ่งของแผนงานที่กล่าวไปข้างต้นจะเป็นการเปลี่ยนรถตู้เพื่อการส่งของทั้งหมดในภาคพื้นยุโรปรวมมากกว่า 10,000 คันให้เป็นระบบไฟฟ้าภายในปี 2025
Amazon ปิดโครงการหุ่นยนต์เดลิเวอรีสินค้าถึงบ้าน Scout ที่เริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2019 หลังทดลองแล้วไม่ประสบความสำเร็จมากนัก
พนักงานในทีม Scout มีทั้งหมดราว 400 คน จะกระจายไปทำงานตำแหน่งอื่นของ Amazon แทน โฆษกของ Amazon ยอมรับว่าหลังทดสอบหุ่นกับการใช้งานภาคสนามแล้ว ได้เสียงตอบรับที่ยังไม่ดีมากพอจากลูกค้า จึงตัดสินใจยุติโครงการ
ในตลาดยังมีบริษัทสตาร์ตอัพหุ่นยนต์เดลิเวอรีลักษณะเดียวกันอีกหลายราย เช่น Nuro, Serve Robotics, Starship Technologies, Kiwibot เป็นต้น
Amazon ได้หยุดการขาย Amazon Glow อุปกรณ์สำหรับวิดีโอคอลล์ สำหรับให้คนในครอบครัวติดต่อกับเด็ก โดยมีฟังก์ชันรองรับการเรียนการสอน ซึ่งสินค้าถูกถอดออกจากเว็บของ Amazon แล้ว
ตัวแทนของ Amazon บอกว่าจะชี้แจงการเปลี่ยนแปลงนี้กับลูกค้าที่ซื้อ Glow ไปเร็ว ๆ นี้ อย่างไรก็ตาม Amazon ยังคงไม่หยุดพัฒนาและทดลองไอเดียใหม่ ๆ ที่น่าสนใจสำหรับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
Amazon Glow เปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว เป็นอุปกรณ์ที่มีหน้าจอแนวตั้งสำหรับให้เด็กวิดีโอคอลล์ แล้วแสดงเนื้อหาโดยฉายโปรเจกเตอร์ลงบนพื้นโต๊ะ ทำให้สามารถโต้ตอบแสดงผลได้ สินค้ามีจำนวนรีวิวใน Amazon ประมาณ 500 รีวิว ซึ่งไม่สูงสำหรับสินค้าแบรนด์ Amazon เอง จึงอาจบอกได้ว่าขายไม่ดีมากนัก
AWS มีบริการเช่าเดสก์ท็อปเสมือน (VDI) บนคลาวด์ Amazon Workspaces มานานตั้งแต่ปี 2013 (ตอนนั้นเป็น Windows 7)
ที่ผ่านมา บริการ Amazon Workspaces ขยับขยายมาเป็น Windows 10 และ Amazon Linux 2 ของ AWS เอง ที่ราคาถูกกว่าแต่อาจไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายนัก
Amazon เปิดตัว Halo Rise อุปกรณ์ตรวจจับคุณภาพการนอนหลับ แบบที่ไม่ต้องสัมผัสตัวผู้ใช้งาน อาศัยเซ็นเซอร์ช่วยเก็บข้อมูลในการนอน แล้วนำมาปรับปรุงให้คำแนะนำสำหรับผู้ใช้งานแต่ละคน
Halo Rise ใช้เซ็นเซอร์ในการตรวจจับบุคคลเพื่อดูระดับการนอนหลับในตอนนั้น รวมกับค่าสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ในห้องนอน ประมวลผลเป็นคะแนนคุณภาพการนอนหลับ รวมทั้งคำนวณเวลาที่ควรปลุกด้วย
อุปกรณ์ Halo Rise ไม่มีไมโครโฟนหรือลำโพงในตัว จะเริ่มทำงานอัตโนมัติเมื่อตรวจจับว่าผู้ใช้งานเริ่มนอนหลับเท่านั้น Amazon แนะนำให้นำอุปกรณ์วางไว้ด้านข้างของเตียงนอน อุปกรณ์จะเริ่มตรวจจับค่าการนอนตั้งแต่ตอนนั้น ข้อมูลการนอนหลับและคำแนะนำจะถูกเก็บในแอป Amazon Halo และทำงานร่วมกับ Alexa จึงสามารถเรียกขอข้อมูลผ่านคำสั่งเสียงได้เช่นกัน
Amazon เปิดตัวลำโพงอัจฉริยะ Echo Dot รุ่นใหม่ (เป็น 5th Gen) มีสองรุ่นย่อยคือ Echo Dot และ Echo Dot with Clock ที่มี LED นาฬิกาแสดงเวลาด้วย ในรุ่นนี้ Amazon บอกว่าคุณภาพเสียงเบสดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า 2 เท่า, เพิ่มเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ และมี Eero Mesh Wifi มาในตัว ทำให้เป็นอุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติครบครันในชิ้นเดียว
นอกจากนี้ยังมี Echo Studio ลำโพงสเตอริโอ ในรุ่นอัพเกรดนี้รองรับระบบเสียง Spatial Audio เพื่อให้ประสบการณ์เสียงแบบตามระยะที่ดีมากขึ้น และ Echo Auto ลำโพงสำหรับไว้ในรถยนต์รุ่นใหม่ มีขนาดเล็กลง ไมโครโฟนในอุปกรณ์ 5 ตัว และเพิ่มขาติดตั้งในรถยนต์แบบใหม่
Amazon เปิดตัว Kindle Scribe เครื่องอ่านอีบุ๊กหน้าจอ 10.2 นิ้ว นับเป็นเครื่องขนาดใหญ่นับแต่ Kindle DX ที่เลิกขายไปเมื่อสิบปีก่อน น้ำหนักเครื่อง 490 กรัมพอๆ กับแท็บเล็ตหน้าจอขนาดใกล้เคียงกัน แต่จุดเด่นของ Kindle Scribe คือหน้าจอ e-Ink ความละเอียด 300ppi และอายุแบตเตอรี่ที่ใช้ได้นานนับสัปดาห์
ราคา 339 ดอลลาร์แถมปากกาพื้นฐานมาในตัว หรือเลือกปากกาพรีเมี่ยมที่มีปุ่มเพิ่มและยางลบด้านท้ายปากกาได้ในราคา 30 ดอลลาร์ สามารถจดโน้ตลงหนังสือ, ไฟล์ PDF, หรือ Microsoft Word ก็ได้ ตอนนี้ยังไม่กำหนดวันวางจำหน่ายแน่นอนแต่ Amazon ระบุว่าจะขายก่อนสิ้นปีนี้
Amazon อัพเกรดแท็บเล็ตตระกูล Fire HD 8 แท็บเล็ตขนาดหน้าจอ 8 นิ้ว โดยแบ่งเป็นรุ่นย่อยคือ Fire HD 8, Fire HD 8 Kids Pro และ Fire HD 8 Kids จุดขายคือการทำงานที่เร็วขึ้น 30% จากรุ่นก่อนหน้า วางตำแหน่งเป็นแท็บเล็ตเพื่อความบันเทิง
แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสูงสุด 13 ชั่วโมง ชาร์จ USB-C ตัวเลือกหน่วยความจำ 32GB และ 64GB เพิ่มความจุ microSD ได้สูงสุด 1TB
ราคาขาย Fire HD 8 เริ่มต้นที่ 119.99 ดอลลาร์ มีให้เลือก 3 สี คือ ดำ, เดนิม และโรส ส่วน Fire HD 8 Kids และ Fire HD 8 Kids Pro ราคาเริ่มต้น 189.99 ดอลลาร์
ที่มา: Amazon
อัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนียยื่นฟ้อง Amazon ฐานมีพฤติกรรมผูกขาดการค้าและกีดกันการแข่งขันด้านราคา หมายฟ้องระบุว่า Amazon ทำสัญญากับผู้ขายที่เป็นบุคคลที่สามโดยห้ามไม่ให้ผู้ขายขายสินค้าแบบเดียวกันในราคาถูกกว่าบนแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น Walmart, Target หรือบนเว็บไซต์ของผู้ขายเอง ทำให้ผู้บริโภคในรัฐแคลิฟอร์เนียซื้อสินค้าออนไลน์ผ่าน Amazon มากขึ้นและราคาสินค้าจากแพลตฟอร์มอื่นทั่วรัฐแพงขึ้น
ผู้ขายบุคคลที่สามเป็นแหล่งรายได้หลักของ Amazon และเป็นผู้ขายสินค้ามากกว่าครึ่งหนึ่งของสินค้าทั้งหมดที่ขายใน Amazon ในทางกลับกัน รายได้ 80-100% ของผู้ขายราวครึ่งหนึ่งบน Amazon ก็มาจากสินค้าที่ขายบนแพลตฟอร์มของ Amazon เอง
Amazon เปิดตัว Kindle รุ่นเริ่มต้น เป็นรุ่นที่ 11 หลังจากรุ่นก่อนหน้านี้วางขายมาตั้งแต่ปี 2019 ความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างทำให้สเปคโดยรวมใกล้เคียงกับ Kindle Paperwhite มากขึ้น
ราคาเริ่มต้นรุ่นมีโฆษณา 99.99 ดอลลาร์ แพงขึ้นจากรุ่นเดิม 10 ดอลลาร์ รุ่นไม่มีโฆษณาราคา 119.99 ดอลลาร์ เริ่มวางจำหน่ายจริงวันที่ 12 ตุลาคมนี้
ที่มา - Amazon
Amazon เสริมแกร่งให้ธุรกิจตนเองด้วยการซื้อ Cloosterman บริษัทจากเบลเยียมผู้ผลิตหุ่นยนต์ที่ใช้จัดเรียงกล่องพัสดุและกระบะลำเลียงในคลังสินค้า
Amazon ได้ซื้อหุ่นยนต์จาก Cloosterman มาใช้งานในคลังสินค้าตั้งแต่ปี 2019 ทั้งใช้เพื่อการจัดเรียงและลำเลียงกระบะสินค้ารวมกล่องพัสดุต่างๆ ในพื้นที่คลังสินค้าของ Amazon การซื้อกิจการในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการซื้อธุรกิจมาเพื่อลดต้นทุนในการผลิตหุ่นยนต์เพื่อใช้งานเองเท่านั้น แต่ Amazon ยังจะได้รับเอาเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาระบบจัดการสินค้าในคลังด้วยการผนวกทีมงานของ Cloosterman เข้าในฝ่าย Amazon Global Robotics ภาคพื้นยุโรป ซึ่งจะมุ่งเน้นการพัฒนาหุ่นยนต์ให้ตรงความต้องการใช้งานของ Amazon เองยิ่งขึ้นด้วย
Amazon ประกาศข้อตกลงเพื่อซื้อกิจการ Cloostermans บริษัทออกแบบและพัฒนาโซลูชันแมคคาทรอนิกส์จากเบลเยี่ยม ซึ่ง Amazon ได้นำเทคโนโลยีของบริษัทมาใช้งานในคลังสินค้าตั้งแต่ปี 2019 ทั้งงานเคลื่อนย้าย ซ้อนพาเลท ไปจนถึงจัดการแพ็คเกจสินค้า
ในดีลนี้ Amazon บอกว่าเป็นการนำเทคโนโลยีการจัดการในคลังสินค้า มาช่วยให้คนทำงานมีความปลอดภัยในการทำงาน และได้ประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้น
พนักงานของ Cloostermans ทั้งหมดกว่า 200 คน จะเข้าไปร่วมทีม Amazon Global Robotics สำนักงานในยุโรป เพื่อพัฒนาหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติสนับสนุนการทำงานของ Amazon ต่อไป
CVS Health ร้านขายยารายใหญ่ของอเมริกา ประกาศซื้อกิจการ Signify Health บริษัทผู้ให้บริการระบบรักษาพยาบาลที่บ้าน ที่มูลค่าดีลราว 8,000 ล้านดอลลาร์
ก่อนหน้านี้มีข่าวผู้สนใจร่วมประมูลซื้อกิจการ Signify Health หลายราย ซึ่งรวมทั้ง Amazon และร้านขายยา Walgreens ด้วย
CVS บอกว่าดีลนี้จะช่วยเสริมกลยุทธ์การเป็นแพลตฟอร์มด้านสุขภาพครบวงจรของบริษัท ซึ่งตอนนี้ทั้ง Walgreens, Walmart รวมทั้ง Amazon ที่เป็นธุรกิจค้าปลีกต่างสนใจเข้ามาในพื้นที่นี้
ที่มา: CVS
มีรายงานจาก Nikkei เผยว่า Amazon มีแผนเข้าสู่ธุรกิจจ่ายยาตามใบสั่งแพทย์ในประเทศญี่ปุ่น โดยจะเป็นพาร์ตเนอร์ร่วมกับร้านขายยาขนาดเล็กและกลางในประเทศ
ข้อมูลบอกว่า Amazon พร้อมดำเนินธุรกิจส่วนนี้ทันที เมื่อระบบจ่ายใบสั่งยาแบบอิเล็กทรอนิกส์ มีผลใช้งานในปีหน้า ปัจจุบันยาที่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ถูกควบคุมราคาโดยรัฐบาลญี่ปุ่น มีร้านยาขายส่งที่ได้รับอนุญาต 70 แห่งทั่วประเทศ และร้านรายย่อยกว่า 60,000 แห่ง ซึ่ง Amazon แห่งโอกาสจากช่องว่างดังกล่าว
Amazon ประกาศว่าซีรี่ส์ออริจินัล The Lord of the Rings: The Rings of Power มีผู้ชมทั่วโลกในวันแรกที่ออกฉาย 2 ตอนแรก รวม 25 ล้านคน เป็นสถิติสูงสุดที่เคยมีมาของแพลตฟอร์ม Prime Video โดยซีรี่ส์ดังกล่าวเผยแพร่ในกว่า 240 ประเทศทั่วโลก
ซีรี่ส์ The Lord of the Rings: The Rings of Power สร้างจากนิยายของ J.R.R. Tolkien และเป็นซีรี่ส์ฉายทางโทรทัศน์ที่ลงทุนสูงสุดเท่าที่เคยมีมา โดยกำหนดฉายเป็นรายสัปดาห์ไปจนถึงวันที่ 14 ตุลาคมนี้
ก่อนหน้านี้ HBO ก็เพิ่งประกาศว่า House of the Dragon ซีรี่ส์ที่เล่าเรื่องก่อน Game of Thrones ก็เปิดตัวด้วยจำนวนผู้ชมสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ของแพลตฟอร์มเช่นกัน
ตู้ล็อกเกอร์รับพัสดุเป็นหนึ่งในบริการที่ผู้ประกอบการขนส่งพัสดุนำเสนอเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้าที่ไม่สะดวกให้นำพัสดุไปส่งถึงหน้าบ้าน แต่หนึ่งในปัญหาที่ผู้ให้บริการพบเจออยู่หลายครั้งคือการโดนคนงัดแงะตู้ด้วยหวังจะขโมยพัสดุที่อยู่ข้างใน และหนึ่งในผู้ประกอบการขนส่งอย่าง Amazon ก็เจอปัญหานี้เช่นกัน นั่นจึงเป็นที่มาของไอเดียใหม่ที่จะป้องกันปัญหาโดยการนำตู้ล็อกเกอร์ไปวางให้บริการในพื้นที่สถานีตำรวจ
ด้วยความร่วมมือจากหน่วยงานตำรวจของ Washington DC ตั้งแต่สัปดาห์นี้ Amazon จะเริ่มนำตู้ล็อกเกอร์ไปให้บริการในพื้นที่สถานทีตำรวจ 2 แห่ง และหากผลการทดลองใช้งานเป็นไปด้วยดีก็จะขยายผลเพิ่มจุดให้บริการในพื้นที่สถานีตำรวจแห่งอื่นต่อไป
เรื่องเริ่มจาก USA Today รายงานข่าวว่า Amazon สนใจเสนอซื้อกิจการ Electronic Arts หรือ EA ทำให้ราคาหุ้นของ EA ปรับเพิ่มขึ้นทันกว่า 3%
อย่างไรก็ตาม CNBC รายงานข้อมูลตรงกันข้าม โดยผู้สื่อข่าว David Faber อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง บอกว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ทำให้ราคาหุ้น EA ที่เพิ่มขึ้นปรับลดลงมาและปิดราคาที่ +0.39%
ตัวแทนของ Amazon บอกว่าจะไม่แสดงความเห็นต่อข่าวลือ ส่วน EA ปฏิเสธที่จะให้ความเห็น
ปัจจุบัน Amazon กับตลาดเกมมีหลายส่วน ทั้งการเป็นเจ้าของ Twitch, แพลตฟอร์มคลาวด์เกมมิ่ง Luna และบริการ Prime ก็มีเกมสำหรับสมาชิกให้เล่น หากดีลนี้เกิดขึ้นจริงก็น่าจะเป็นเติมเต็มอีกช่องทางในธุรกิจเกมให้ Amazon ได้
Amazon ส่งอีเมลเป็นการภายในระบุว่า Amazon Care บริการปรึกษาหมอทางไกลหรือ telemedicine จะปิดตัวสิ้นปีนี้
Neil Lindsay รองประธานอาวุโสส่วนธุรกิจด้านสุขภาพของ Amazon บอกว่า บริษัทพิจารณาอยู่หลายเดือนก่อนออกประกาศนี้ ที่ผ่านมาบริการ Amazon Care ซึ่งมีพนักงาน Amazon เป็นลูกค้าด้วย ได้รับการตอบรับที่ดี แต่บริษัทพบว่ายังทำได้ไม่ดีพอ ในระดับที่ลูกค้าระดับองค์กรจะเลือกใช้บริการแบบระยะยาว
Amazon ประกาศฟีเจอร์ Alexa Game Control ที่ให้เราสั่งงานเกมด้วยเสียงได้ เช่น พูดว่า "swap to my best weapon" เพื่อเปลี่ยนมาสวมใส่อาวุธที่ดีที่สุดของตัวละครนั้น
ฟีเจอร์นี้ใช้เอนจินวิเคราะห์เสียงตัวเดียวกับ Alexa เป็นการทำงานที่ระดับซอฟต์แวร์ล้วนๆ ไม่จำเป็นต้องผ่านลำโพง Echo และไม่ต้องสั่งคำว่า Alexa นำหน้า แต่จำเป็นต้องต่อเน็ตตลอดเวลา และฝั่งนักพัฒนาเกมต้องรองรับด้วย โดย Amazon ระบุว่ามี SDK/plugin ให้กับเกมที่สร้างด้วย UE4, Unity และเอนจินอื่นที่เป็น C++ เบื้องต้นยังใช้ได้เฉพาะเกมพีซีและ Xbox เท่านั้น