ในงานระดมทุนเข้ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Bill Gates พูดถึงการออกแบบระบบปฏิบัติการวินโดวส์ให้ผู้ใช้ต้องกด Control-Alt-Delete นั้นเพื่อป้องกันไม่ให้แอพอื่นสามารถจำลองหน้าจอล็อกอินขึ้นมาเพื่อหลอกเอาข้อมูลล็อกอินจากผู้ใช้ แต่เขาก็ยอมรับว่าการบังคับให้ผู้ใช้กดคีย์ลัดข้างต้นเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง Gates กล่าวว่าที่จริงบริษัทสามารถออกแบบให้ผู้ใช้กดเพียงปุ่มเดียวได้ แต่คนที่ออกแบบคีย์บอร์ดมาตรฐานไอบีเอ็มไม่ยอมให้ปุ่มนั้นตามที่ไมโครซอฟท์ต้องการ
Bill Gates ให้ความเห็นว่า Project Loon ของ Google นั้น เป็นเพียงการต่อยอดจุดแข็งและเทคโนโลยีของตนเอง โดยไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริงของผู้คนที่ยากลำบากจำนวนมาก
Project Loon นั้นเป็นผลงานของ Google.org (เป็นมูลนิธิเพื่อการกุศลที่ Google ก่อตั้งขึ้นในปี 2006) เป็นบอลลูนพร้อมแผงโซลาร์เซลล์และวงจรควบคุมพร้อมระบบรับ-ส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ต ซึ่งมุ่งเน้นใช้ประโยชน์เพื่อกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตแบบไร้สายให้ไปสู่พื้นที่ทุรกันดารที่ห่างไกล ซึ่ง Gates มองว่างานนี้ออกจะแก้ปัญหาไม่ตรงจุด เพราะผู้คนที่ยากจนจำนวนมากนั้น แท้จริงแล้วยังต้องการสิ่งอื่นที่จำเป็นและเร่งด่วนมากกว่าอินเทอร์เน็ต
การจัดอันดับมหาเศรษฐีโลก Bloomberg Billionaires Index (คนละอย่างกับการจัดอันดับของ Forbes ที่นิยมใช้อ้างอิงกัน) เลื่อนบิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์กลับมาเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกอีกครั้ง หลังจากตกจากอันดับหนึ่งไปตั้งแต่ปี 2007
เหตุผลเป็นเพราะอดีตแชมป์ Carlos Slim มหาเศรษฐีชาวเม็กซิโก เริ่มเจอปัญหารัฐบาลเม็กซิโกออกกฎหมายจำกัดอำนาจการผูกขาดตลาดของบริษัท American Movil ของเขา ส่งผลให้หุ้น Amercian Movil ตกไป 14% ในปีนี้ และมูลค่าสินทรัพย์ของ Slim หายไป 3 พันล้านดอลลาร์
ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ของ Bill Gates กับ Warren Buffet กับช่อง CNBC เมื่อพิธีกรถาม Gates ว่าในอนาคตโลกจะเป็นอย่างใดในยุคที่แท็บเล็ตแข่งขันกับพีซี เขาก็ตอบว่า Windows 8 ได้รับการออกแบบให้ทำงานได้ทั้งบนแท็บเล็ตและพีซี และ Surface ก็มีทั้งคุณสมบัติของการพกพาได้แบบแท็บเล็ตและการใช้งานแบบพีซี เขายังกล่าวว่า
ภาพประวัติศาสตร์ภาพหนึ่งของวงการคอมพิวเตอร์คือ ภาพของบิล เกตส์ และพอล อัลเลน สองผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ที่ยืนอยู่กับเครื่องพีซียุคแรกๆ ในปี 1981
เวลาผ่านมา 32 ปี ในปี 2013 ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ทั้งสองคนกลับมาถ่ายภาพซีนเดิมซ้ำอีกครั้งที่พิพิธภัณฑ์ Living Computer Museum ในซีแอทเทิล ซึ่งก่อตั้งโดยตัวของพอล อัลเลนเอง
เครื่องพีซีในภาพเวอร์ชันใหม่ถูกคัดเลือกให้เหมือนกับในภาพต้นฉบับ สิ่งที่เปลี่ยนไปมีแค่บุคคลที่แก่ไปกว่าเดิม (และหนวดเคราของอัลเลนหายไป) ดูภาพทั้งสองเวอร์ชันได้ท้ายข่าวครับ
บิล เกตส์ ไปออกรายการทีวี CBS This Morning เขายอมรับว่าไมโครซอฟท์ดำเนินยุทธศาสตร์ด้านสมาร์ทโฟนผิดพลาดหลายอย่าง ทั้งที่มีโอกาสเป็นผู้นำอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง
เกตส์บอกว่าไมโครซอฟท์ไม่ได้ล้มเหลวในตลาดสมาร์ทโฟนอย่างสิ้นเชิง แต่สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ทำให้ไมโครซอฟท์ไม่สามารถเป็นผู้นำในตลาดนี้ได้ และสถานการณ์ตอนนี้ชัดเจนว่ายุทธศาสตร์ของไมโครซอฟท์ผิดพลาด (clearly a mistake)
เขาพูดถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของไมโครซอฟท์ทั้ง Windows 8, Surface, Bing ว่าทำออกมาได้ดี แต่เขาและสตีฟ บัลเมอร์ ก็ยังไม่พอใจกับนวัตกรรมในภาพรวมของไมโครซอฟท์ในตอนนี้
หลังจากเว็บไซต์ Reddit ได้บุคคลดังระดับประธานาธิบดีบารัค โอบามา ไปตอบกระทู้ Ask Me Anything ไปแล้ว รอบนี้เป็นคิวของคนดังโลกไอทีอย่างบิล เกตส์บ้าง เขาตอบคำถามหลายอย่างเกี่ยวกับงานที่มูลนิธิ แต่ที่เกี่ยวข้องกับไอทีและน่าสนใจมีดังนี้ครับ
บิล เกตส์ ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ CNBC สั้นๆ โดยมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
ช่วงเวลา 6 ปีที่ผ่านมา Bill Gates บริจาคเงินเพื่อการกุศลไปกว่า 28 พันล้านดอลลาร์ แต่ถึงอย่างนั้นในปีที่ผ่านมาเขากลับรวยขึ้นอีก 7 พันล้านดอลลาร์ และนั่นทำให้เขาเปลี่ยนสถานะจากชายผู้มั่งคั่งเป็นอันดับ 3 ของโลกเมื่อปีก่อนหน้า ขึ้นสู่อันดับ 2 ในปีล่าสุด
ตัวเลขดังกล่าวได้จากการรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลโดย Bloomberg ซึ่งชี้ให้เห็นว่าแม้ Bill Gates และภรรยาของเขาจะอุทิศตนให้กับงานการกุศลและบริจาคเงินรวมกันกว่า 36.2 พันล้านดอลลาร์ แต่รายได้ที่เพิ่มขึ้นของเขานั้นมากเกินกว่าที่เขาจะแจกจ่ายมันได้ทัน
ไมโครซอฟท์เผยแพร่วิดีโอสัมภาษณ์บิล เกตส์ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทที่กำลังจะเปิดตัวในช่วงนี้ เกตส์ตอบคำถามสั้นๆ แต่ก็มีประเด็นน่าสนใจหลายส่วน
บิล เกตส์กล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีว่า เขาได้ใช้ Windows 8 แล้ว และรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็กล่าวว่าการประสบความสำเร็จของ Windows 8 ในอนาคตนั้นเดิมพันอยู่กับผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ที่กำลังพัฒนาอุปกรณ์โดยใช้ข้อได้เปรียบที่มากับระบบปฏิบัติการอยู่
ที่มา: สำนักข่าววอชิงตันโพสต์
เป็นบทความที่น่าสนใจมากอีกเรื่องหนึ่งของประวัติศาสตร์คอมพิวเตอร์ครับ
เมื่อครั้งที่ IBM บุกเข้ามายังตลาดพีซีเป็นครั้งแรก (ด้วยการสร้างฮาร์ดแวร์ IBM PC ขึ้นมา) บริษัทตัดสินใจไม่ทำระบบปฏิบัติการเอง แต่เลือกทำสัญญาใช้งานระบบปฏิบัติการจากบริษัทอื่นๆ แทน
ตอนนั้น IBM มีตัวเลือกอยู่สองบริษัทคือ CP/M ระบบปฏิบัติการยอดฮิตสำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในยุคนั้น สร้างโดย Gary Kildall แห่งบริษัท Digital Research (ปัจจุบันเขาเสียชีวิตแล้ว) และอีกทางหนึ่งคือ DOS ของไมโครซอฟท์ที่บิล เกตส์ไปซื้อมาอีกต่อหนึ่งจากบริษัท Seattle Computer Products
ข่าวน่ารักๆ ประจำวันครับ บิล เกตส์ และภรรยา เมลินดา เกตส์ ไปลอนดอนเพื่อร่วมชมการแข่งขันโอลิมปิก และมีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งเดินไปพบเขาเข้า จึงขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
ปัญหาคืออุปกรณ์ที่หยิบมาถ่ายรูปกลายเป็น iPad ทำให้เมลินดาต้องร้องขึ้นมาทันทีว่า "You can't use an iPad!!" ก่อนจะตามด้วยประโยค "I'm just kidding"
ส่วนตัวบิล เกตส์เองก็ยืนนิ่งๆ ให้ถ่ายรูปโดยไม่มีปัญหาอันใด
ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับรายการ ชาลี โรส (Charlie Rose) (รายการที่พิธีกรชื่อดัง ชาลี โรส จะสัมภาษณ์บุคคลสำคัญของสหรัฐฯ) บิล เกตส์มองว่าไมโครซอฟท์ทำถูกต้องแล้วที่จะผลิตแท็บเล็ตเอง โดยการทำสินค้าพิเศษ (signature device) ที่แสดงถึงความแตกต่างระหว่างแท็บเล็ตและพีซี คู่ขนานไปกับสินค้าจากผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ (OEM) รายอื่น
เกตส์ยืนยันว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้วที่ในอดีตไมโครซอฟท์ไม่ได้เลียนแบบแอปเปิลที่ทำทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เอง แต่ก็สนับสนุนให้ไมโครซอฟท์ผลิตแท็บเล็ตของตนเองให้มากขึ้นในอนาคต
บิลล์ เกตส์ให้สัมภาษณ์เว็บ The Chronicle of Higher Education เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา โดยสัมภาษณ์ถึงหลายประเด็น ตั้งแต่การเรียนทางไกลที่อาจจะนำมาใช้ผสมกับการเรียนแบบตัวต่อตัว แต่ประเด็นที่น่าจะเป็นที่สนใจมากที่สุดคือคำถามว่า การใช้แท็บเล็ตจะทำให้การศึกษาเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่
เกตส์ระบุว่าที่ผ่านมาแท็บเล็ตมีประวัติที่แย่มากหากเป็นเพียงการแจกตัวเครื่องอย่างเดียว จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงทั้งตัวหลักสูตรและครูไปพร้อมกัน และยังระบุว่าอุปกรณ์ที่ไม่มีคีย์บอร์ดนั้นไม่เหมาะสำหรับการศึกษาเพราะการเรียนไม่ใช่แค่การอ่าน แต่ยังเป็นการสื่อสารที่ต้องการการโต้ตอบ และพีซีราคาถูกนั้นให้การโต้ตอบที่ดีกว่า
มัลคอล์ม แกลดเวลล์ (Malcolm Gladwell) นักเขียนหนังสือที่ขายดีที่สุด (best selling) หลายเล่ม อาทิ Outliers: The Story of Success (ชื่อภาษาไทย: สัมฤทธิ์พิศวง) ได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องระบบทุนนิยมและความเป็นผู้ประกอบการ (capitalism and entrepreneurship) ที่ห้องสมุดของกรุงโตรอนโต ประเทศแคนาดา ว่า ความไม่มีศีลธรรม (อาทิ *การขาดคุณธรรมกำกับชีวิตและการกระทำ (moral compass) ในการตัดสินใจในทางธุรกิจ) เป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะทำให้นักธุรกิจรายนั้นประสบความสำเร็จ เขาได้ยกตัวอย่าง บิล เกตส์ และ สตีฟ จ็อบส์
นิตยสาร Forbes ประกาศอันดับมหาเศรษฐีโลกประจำปี 2012 ออกมาเรียบร้อยแล้ว (อันดับของปี 2011) ปีนี้กลุ่มอันดับต้นๆ ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงนัก โดยอันดับ 1 เป็นของ Carlos Slim มหาเศรษฐีชาวเม็กซิโกและครอบค
บิล เกตส์ ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ The Telegraph ของอังกฤษในหลายประเด็น ทั้งเรื่องงานที่มูลนิธิ หลักการดำเนินชีวิต วิธีการเลี้ยงลูก และไลฟ์สไตล์ส่วนตัว
แต่ส่วนสำคัญในบทสัมภาษณ์คือเรื่องที่เกตส์พูดถึงสตีฟ จ็อบส์ โดยเกตส์บอกว่าทั้งสองคนเป็นทั้งคู่แข่งและเพื่อน ถึงแม้จ็อบส์เคยวิจารณ์เกตส์แรงๆ หลายครั้ง แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีขึ้นมากโดยเฉพาะหลังเกตส์ออกจากไมโครซอฟท์
ก่อนจ็อบส์ตายไม่กี่เดือน เกตส์ไปเยี่ยมจ็อบส์ที่บ้าน ทั้งคู่ใช้เวลาหลายชั่วโมงพูดคุยในเรื่องต่างๆ รวมถึงพูดคุยเกี่ยวกับอนาคต และในช่วงที่จ็อบส์ใกล้เสียชีวิต เกตส์เขียนจดหมายไปหาจ็อบส์ โดยเนื้อหาในจดหมายบอกให้จ็อบส์ภูมิใจกับบริษัทที่เขาสร้างขึ้นและสิ่งที่เขาทำ รวมถึงพูดถึงลูกๆ ของจ็อบส์ที่เกตส์รู้จัก
เมื่อวันที่ 12 ม.ค. ที่ผ่านมานิตยสาร Businessweek เผยบทความจากปก (cover story) ที่จัวหัวไว้ว่า "No more Mr.Monkey Boy" ซึ่งสตีฟ บัลเมอร์ได้ให้สัมภาษณ์ถึงตัวเขาและการทำงานตลอดสามปีครึ่งที่เป็นซีอีโอของไมโครซอฟท์ ทาง ZDNet สรุปไฮไลต์สำคัญไว้ ดังนี้
ช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา มีกระแสข่าวว่าบิล เกตส์ อาจจะกลับไปเป็นซีอีโอของไมโครซอฟท์อีกครั้ง หลังจากบริษัทของเขาทำผลงานได้ไม่ดีนักในช่วงปีหลังๆ ซึ่งก็สร้างกระแสวิจารณ์ทั้งที่สนับสนุนและไม่เห็นด้วย
แต่ล่าสุดเกตส์ไปให้สัมภาษณ์กับสื่อออสเตรเลียที่ซิดนีย์ เขาพูดชัดเจนว่าตอนนี้ทำงานเต็มเวลาที่มูลนิธิ Bill & Melinda Gates Foundation และ "จะทำงานนี้ไปชั่วชีวิต"
เขาบอกว่ายังให้คำปรึกษากับไมโครซอฟท์ในบางโอกาส ซึ่งเขาจะไม่ทำงานให้ไมโครซอฟท์ไปมากกว่านี้ เพราะงานที่มูลนิธิต้องการเวลาและพลังงานของเขาอย่างเต็มที่ และเขารู้สึกว่างานที่มูลนิธิสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกอย่างมาก
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บิล เกตส์ เดินทางไปที่ศาลเมืองซอลต์เลคซิตี้ เพื่อให้การคดีที่ Novell ฟ้องไมโครซอฟท์ว่ากีดกันชุดโปรแกรมสำนักงาน WordPerfect ไม่ให้ทำงานบน Windows 95 ได้ดี
ผลก็คือ WordPerfect สูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้ Microsoft Word (จากเดิมมีส่วนแบ่งตลาด 50% ลดลงมาเหลือ 10% อย่างรวดเร็ว) และ Novell จำเป็นต้องขายแผนก WordPerfect ออกไปให้ Corel ซึ่ง Novell อ้างในคำฟ้องว่าสูญเงินจากกรณีนี้ไป 1.2 พันล้านดอลลาร์
มูลนิธิของบิล เกตส์และภรรยา (Bill and Melinda Gates Foundation) บริจาคเงิน 30 ล้านดอลลาร์ ร่วมสนับสนุนโครงการของรัฐบาลเวียดนามที่มีเป้าหมายเพิ่มอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตในชนบท
โครงการนี้ใช้งบประมาณรวม 50.6 ล้านดอลลาร์ โดยได้เงินสนับสนุนส่วนหนึ่งจากมูลนิธิของบิล เกตส์ และได้ซอฟต์แวร์สนับสนุนจากไมโครซอฟท์ (ที่เหลือเป็นเงินของรัฐบาลเอง) รูปแบบโครงการจะติดตั้งคอมพิวเตอร์จำนวน 12,070 เครื่อง กระจายในห้องสมุด 1,900 แห่งใน 40 จังหวัดของเวียดนาม คาดว่าจะเพิ่มปริมาณผู้ใช้เน็ตได้อีก 760,000 คน
ชาวเวียดนามสามารถใช้เน็ตได้ฟรีจากคอมพิวเตอร์เหล่านี้ หรือบางแห่งจะคิดค่าใช้จ่ายในราคาครึ่งหนึ่งของร้านเน็ตท้องถิ่น
ในหนังสือชีวประวัติของ สตีฟ จ็อบส์ นั้นวอลเตอร์ ไอแซคสันผู้เขียนได้ถอดคำพูดของจ็อบส์ที่กล่าววิจารณ์บิลล์ เกตส์เอาไว้ว่า "บิลล์เป็นคนที่ไร้จินตนาการ และไม่เคยประดิษฐ์คิดค้นอะไรเลย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงเหมาะที่จะทำงานมูลนิธิมากกว่าสายเทคโนโลยี เขาก็แค่คนที่ขโมยไอเดียจากผู้อื่นอย่างหน้าไม่อาย"
หลังจากนั้นเกตส์ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว ABC "สตีฟ ได้สร้างผลงานที่สุดวิเศษ"
เขากล่าวกับนักข่าวว่า
"เมื่อคุณนึกถึงว่าทำไมโลกเราทุกวันนี้ถึงได้ดีขึ้น อินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โทรศัพท์ วิธีการจัดการกับข้อมูลข่าวสาร ล้วนแล้วแต่เป็นปาฏิหารย์ทั้งนั้น"
ผู้อ่าน Blognone คงจำต้นแบบแท็บเล็ต Microsoft Courier ที่เป็นข่าวตั้งแต่ปี 2009 (ก่อน iPad เปิดตัวด้วยซ้ำ) แท็บเล็ตตัวนี้ยังเป็นแค่โครงการภายในของไมโครซอฟท์ ที่ไม่เคยเปิดตัวอย่างเป็นทางการ (แต่ Gizmodo เป็นคนนำมารายงาน) น่าเสียดายว่า
ข่าวนี้เป็นผลมาจากบทสัมภาษณ์โดย Walter Isaacson บันทึกเทปรายการ 60 Minutes ซึ่งตอนหนึ่งจากบทสัมภาษณ์นั้นจ็อบส์ได้กล่าวถึงบุคคลสำคัญทางด้านไอทีสามคนไว้อย่างน่าสนใจ ดังรายละเอียดในข่าว
จ็อบส์พูดถึงซัคเกอร์เบิร์กไว้ว่าเขารู้สึกชื่นชมที่ซัคเกอร์เบิร์กไม่ตัดสินใจขายเฟซบุ๊กและมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างบริษัทเป็นของตัวเอง และแม้คำว่าโซเชียลเน็ตเวิร์คจะพูดถึงบริการโดยรวม แต่เขาก็ไม่เห็นผู้เล่นรายใดโดดเด่นกว่าเฟซบุ๊ก